จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลู่หลันจืออดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
“มันจะวุ่นวายได้สักแค่ไหนกัน? ฉันพาการ์ดไปด้วยไม่ได้รึไง? อีกอย่าง ตระกูลเราก็ขนาดนี้จะไปกลัวความวุ่นวายทำไม ใครจะกล้ามาแหย็มกับเรา ใช่ไหมล่ะจิ่งเซิน?”
ขณะพูด เธอก็หันไปยิ้มประจบให้ลู่จิ่งเซินด้วย
ลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้ห้ามที่เธอจะออกไปเที่ยวเล่น เพราะถึงยังไง เขาก็รู้จักนิสัยของลู่หลันจือดี หล่อนเป็นคนที่ใครห้ามก็ไม่ฟังหรอก
ดังนั้น เขาจึงหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้เธอ
ชายหนุ่มพูดต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “อยู่กับการ์ดดี ๆ อย่าก่อเรื่อง”
ลู่หลันจือรีบยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับทันที “ตกลง ฉันจะจำไว้ ขอบใจมากนะหลานชาย”
จากนั้นลู่จิ่งเซินจึงพาจิ่งหนิงและทุกคนกลับไปทางโรงแรม
หลังจากกลับมาถึง โม่ไฉ่เวยก็รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย หลังจากนัดแนะกับจิ่งหนิงเรียบร้อยแล้วว่าถึงเวลาทานอาหารเย็นค่อยลงมาเจอกัน เชวซู่ก็พาเธอเข้าไปพักที่ห้องก่อน
จิ่งหนิงเองก็ตามลู่จิ่งเซินเข้าไปพักที่ห้องด้วยเช่นกัน
พอกลับมาถึงห้อง จิ่งหนิงก็อดที่จะโอดครวญไม่ได้ “คุณตามใจคุณป้าเกินไปแล้วนะ พวกเรายังไม่ชินกับที่นี่เลย ยิ่งนิสัยของเธอที่ชอบก่อเรื่องอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ การ์ดที่พาไปจะช่วยอะไรได้?”
ลู่จิ่งเซินเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะโอบเธอจากด้านหลัง แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หลานสะใภ้พูดถูก”
ถึงแม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่มือกลับไม่เป็นอย่างที่พูด
ชายหนุ่มย่อตัวลง จากนั้นก็จับเอวเนียนนุ่มของจิ่งหนิงไว้ แล้วค่อย ๆ เอาหูแนบไปที่ท้องของเธอ
“ให้ผมฟังหน่อย วันนี้ลูกชายพูดกับผมรึยัง?”
จิ่งหนิงยืนอยู่อยู่ที่เดิม ปล่อยให้เขาเอาหูแนบกับท้อง ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังไม่ทันคลอดเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกชาย?”
ลู่จิ่งเซินเงยหน้ามองเธอเล็กน้อย “ผมทำเองผมก็ต้องรู้สิ”
จิ่งหนิง “…….”
เธออยากจะทุบผู้ชายคนนี้สักทีจริง ๆ
ลู่จิ่งเซินฟังไปสักพัก ไม่รู้ว่าเขาได้ยินอะไรรึยัง สุดท้ายเขายืดตัวขึ้นอย่างพออกพอใจ ก่อนจะพยุงเธอไปนั่งที่โซฟาด้านข้าง
จิ่งหนิงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณได้ยินลูกชายพูดอะไรกับคุณรึยัง?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าได้ยินแล้ว”
“งั้นเขาพูดกับคุณว่าอะไรเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินตอบกลับอย่างมีลับลมคมนัยว่า “เขาพูดว่า ความลับบอกไม่ได้”
จิ่งหนิงรู้ในทันทีว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด เพียงแค่อยากล้อเธอเล่นก็เท่านั้น
หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วตีเขาไปหนึ่งที
ลู่จิ่งเซินเองก็ไม่หลบ เขายอมให้เธอตีแต่โดยดี เพราะถึงยังไงกำปั้นน้อย ๆ ของเธอก็ทำให้เขาแค่คัน ๆ เท่านั้น ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย
ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่ง จนจิ่งหนิงเริ่มเหนื่อย หญิงสาวเลยเอนกายลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน
ส่วนลู่จิ่งเซินก็ออกไปจัดการเอกสารบางอย่างที่ซูมู่เพิ่งจะส่งมาให้ ซึ่งเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องให้เขาตรวจเช็ค
ภายในห้องค่อย ๆ เงียบสงบลงอีกครั้ง
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ลู่จิ่งเซินเองก็ตั้งใจจัดการกับเอกสารอยู่ ชายหนุ่มนั่งจัดการเอกสารอยู่ตรงนั้นจนเสร็จถึงจะเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
เขาเหลือบมองไปที่นาฬิกา แล้วก็เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
หัวใจเขากระตุกไปเล็กน้อย อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่จมดิ่งกับงานเกินไป จนลืมแม้กระทั่งดูเวลา
เขารีบยืดตัวขึ้นจากโต๊ะทำงาน ก่อนที่เขาจะเห็นภาพเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าอาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป หรือรอนานเกินไป แต่ตอนนี้จิ่งหนิงนอนหลับอยู่บนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ร่างบางของหญิงสาวนอนขดตัวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ราวกับตุ้กตากระดาษ
ตัวเธอขาวซีดจนทำให้คนที่เห็นอดรู้สึกเป็นห่วงและอยากปกป้องไม่ได้
ลู่จิ่งเซินเดินออกไปข้างหน้า ก่อนจะเอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมตัวให้เธอ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือลูบไปที่หน้าผากเบา ๆ อย่างใส่ใจ พอเห็นว่าอุณหภูมิเป็นปกติ เขาถึงค่อย ๆ วางใจลง
เขาเห็นจิ่งหนิงนอนเหมือนร้อนมาก พอนึก ๆ ดูแล้วช่วงสองวันนี้เธอวิ่งตามเขาไปแทบทุกที่ คงจะเหนื่อยไม่น้อย
เพราะงั้นชายหนุ่มเลยแข็งใจปลุกเธอขึ้นมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ ช้อนตัวเธอขึ้นอย่างเบามือ จากนั้นก็วางเธอลงบนเตียง ห่มผ้าให้ แล้วจึงหมุนตัวเดินออกมา
ขณะเดียวกัน โม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่ก็ยังอยู่ที่ห้องของตัวเอง
ลู่จิ่งเซินเดินไปทางห้องพวกเขา ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ
ไม่นานคนในห้องก็เปิดประตูออกมา
เชวซู่สวมชุดสูทพอดีตัวยืนอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นว่าเป็นเขา อีกฝ่ายจึงเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน
ทว่าลู่จิ่งเซินกลับส่ายหน้าเบา ๆ
โม่ไฉ่เวยเองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน เธอเลยเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่ามีแค่ลู่จิ่งเวินคนเดียว จิ่งหนิงไม่ได้ออกมาด้วย เธอเลยคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงเอ่ยถามชายหนุ่มอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะมาบอกว่า หนิงหนิงนอนหลับอยู่ น่าจะอีกสักพัก คงจะไปทานอาหารเย็นกับพวกคุณไม่ได้ ถ้าทั้งสองท่านหิว ไปทานกันก่อนดีไหมครับ ผมได้ยินว่าแถวนี้มีร้านอาหารอร่อย ๆ อยู่สองร้าน รสชาติไม่เลวเลย เดี๋ยวผมพาไปเอง”
โม่ไฉ่เวยชะงักไปชั่วขณะ เธอเองก็ไม่ได้โง่ แค่เคยได้รับบาดแผลมาก่อน จนทำให้สภาพจิตใจอ่อนไหวและมีอุปสรรคในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าเท่านั้น
ดังนั้น เธอถึงเข้าใจขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร พวกเราไปเองก็ได้ เพราะยังไงหนิงหนิงก็เหนื่อยมากแล้ว คุณอยู่พักเป็นเพื่อนเธอเถอะ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับ “งั้นเดินทางกันดี ๆ นะครับ มีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ตลอดเลย”
ทั้งสองพยักหน้า จากนั้นลู่จิ่งเซินก็เดินจากไป
พอกลับไปถึงห้อง ชายหนุ่มก็เห็นจิ่งหนิงที่ไม่รู้ว่ารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไรตื่นอยู่
ลู่จิ่งเซินจึงรีบก้าวเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว
“เมื่อครู่ผมปิดประตูรบกวนคุณใช่ไหม?”
จิ่งหนิงเหลือบตามองเขา ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“เปล่า” เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบตามองสำรวจตัวเองด้วยความสงสัย
“ฉันหลับไปได้ยังไงกัน?”
ลู่จิ่งเซินนั่งลง ก่อนจะลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน
“คุณเหนื่อยเกินไปน่ะสิ เมื่อครู่คุณนั่งรอผมอยู่ตรงนั้น นั่งไปนั่งมาก็หลับไปเฉยเลย”
จิ่งหนิงก็เพิ่งจะคิดขึ้นได้ หญิงสาวเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่เธอจะตกใจนึกถึงโม่ไฉ่เวยขึ้นมา
“เฮ้ ตอนนี้กี่โมงแล้ว? คุณแม่ได้เวลาออกไปทานข้าวแล้วใช่ไหม?”
เธอพูดไปพลาง พร้อมกับควานหาโทรศัพท์เพื่อจะดูเวลาไปด้วย
ลู่จิ่งเซินจึงต้องรีบรั้งเธอไว้ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ผมไปบอกคุณแม่คุณแล้ว พวกท่านจะออกไปทานเอง ไม่ได้รอพวกเรา”
จิ่งหนิงได้ฟังดังนั้น ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
บางทีอาจเป็นเพราะโม่ไฉ่เวยหายตัวไปนานกว่าสิบปี จิ่งหนิงเลยมักจะรู้สึกเหมือนกับกำลังจะสูญเสียหล่อนไป ยิ่งตอนนี้เธอให้ความสำคัญกับผู้เป็นแม่มาก เพราะงั้น เธอเลยเลี่ยงความรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้
ลู่จิ่งเซินก็เข้าใจความรู้สึกของเธอดี เขาจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เกลี่ยผมขึ้นทัดหูให้เธอเบา ๆ แล้วถามขึ้นว่า “หิวรึยัง?”
จิ่งหนิงรูปท้องตัวเองไปมา
ไม่น่าพูดเลย เมื่อครู่นี้ไม่พูดเธอก็ไม่รู้สึกอะไร พอตอนนี้อีกฝ่ายพูดขึ้นมา เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหิวแล้วจริง ๆ
หญิงสาวพยักหน้ารับ
ลู่จิ่งเซินจึงพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “มีสองตัวเลือก หนึ่งคือให้คนขึ้นมาส่งอาหารแล้วทานในห้อง สองคือลงไปทานที่ห้องอาหารข้างล่าง คุณจะเลือกอะไร?”
จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ทำไมถึงมีแค่สองตัวเลือกล่ะ? เรายังออกไปเดินเล่นข้างนอก หาร้านอื่น ๆ ทานได้ไม่ใช่เหรอ?”
ทว่าลู่จิ่งเซินกลับส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ วันนี้คุณเดินนานเกินไปแล้ว จะออกไปเดินตะลอนอีกไม่ได้”