พอผ่านไปสักพัก ค่อยเห็นเขาเอายาวางลง
“ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หนานกงจิ่นให้คุณหรือ?”
เฉียวฉีพยักหน้า
“เขาบอกว่าของสิ่งนี้มีเพียงแค่ตระกูลหนานของพวกเขาเท่านั้นที่จะมี ก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้เอาให้หมอคนอื่นๆ ที่ฝีมือดีระดับหนึ่งดูแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถวิเคราะห์ส่วนผสมข้างในได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องก๊อบปี้ออกมา”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวฉีขมวดคิ้วพร้อมกับมีความเศร้าโศกมาด้วย
เชวซู่พยักหน้า “พวกเขาก๊อบปี้ออกมาไม่ได้ เพราะว่านี่มันไม่ใช่ยาแต่แรก แต่เป็นผลของพืชที่เรียกว่าต้นเงินทอง!”
พอคำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างตกตะลึงกันหมด
“ต้นเงินทอง?นั้นมันคืออะไร?”
เชวซู่พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า:“มันเป็นวัชพืชมีพิษที่พบได้ยากชนิดหนึ่ง เขาลือกันว่ามันมักพบในที่ที่เย็นหนาวและแห้งแล้ง ส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับสุสาน แต่ผมแค่เคยเห็นแต่ในหนังสือและสื่อต่างๆ และไม่เคยเห็นมันจริงๆ ”
สีหน้าของจิ่งหนิงได้เปลี่ยนไป
“แล้วไม่มีขายอยู่ที่ตลาดหรือ?”
เชวซู่เหลือบมองเธอ ยิ้มอย่างเย็นยะเยือก“ขาย?ถ้าวันนี้ผมไม่เห็นสิ่งนี้ ผมคงคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว ใครจะขายมัน?”
จิ่งหนิงตกตะลึง
กู้ซือเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม:“ถ้าหากหนานกงจิ่นสามารถเอาสิ่งนี้ออกมาได้ งั้นก็หมายความว่าเขามีมันอยู่ที่นั่น อย่างมากสุดผมก็แค่พาพวกฆ่าเข้าไปแล้วแย่งออกมาสองสามต้น”
เชวซู่พยักหน้า
“ไม่มีประโยชน์หรอก มันยุ่งยากมากที่จะปลูกสิ่งนี้ มันจะต้องอยู่ที่เดิมที่มันเติบโตมา ถ้าทิ้งดินเดิมมา มันจะเหี่ยวเฉาทันที ต่อให้คุณเอามันได้แล้วก็ไม่มีค่าอะไร”
คำพูดของเชวซู่ทำให้ทุกคนเงียบลง
เฉียวฉีเม้มริมฝีปากพร้อมฝืนยิ้ม
“ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นก็ปล่อยมันเถอะ”
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึมทันที
หลังจากที่เชวซู่พูดจบ ก็เดินจากไปพร้อมกับโม่ไฉ่เวย
ในห้องพักก็เงียบลงทันที แต่ละคนต่างนั่งอยู่กับที่ของตัวเอง ไม่พูดไม่จาอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่จิ่งเซินก็ได้ทำลายความเงียบนี้
“ถึงแม้ว่าคุณอาเชวจะพูดอย่างนี้ แต่พวกคุณก็อย่าท้อแท้ ยังโชคดีที่ตอนนี้หนานกงจิ่นยังยอมทำข้อตกลงกับพวกคุณอยู่ พอถึงเวลาแล้วก็รวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งหมด ถ้างั้นพวกเราก็ไม่แลกกับยาแล้ว แต่จะแลกเป็นต้นเงินทองสองสามต้นแทน เชื่อว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธหรอก”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“จุดประสงค์หลักของพวกก็ยังเป็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ ไม่ว่าเฉียวฉีจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว ก็ไม่สำคัญสำหรับเขา ฉะนั้นพวกคุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากจนเกินไป”
กู้ซือเฉียนเหลือบมองเธอ ไม่ได้พูดอะไร
เฉียวฉีกลับหัวเราะ
“ฉันรู้แล้ว พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ก็ทำตามที่พวกคุณบอก ฉันก็ไม่เห็นใครจากตระกูลหนานและผู้ที่อายุเยอะได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฉันเชื่อว่าเพียงแค่เราได้ต้นเงินทองมา ก็จะไม่เป็นอะไรแน่นอน ”
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
ท้ายที่สุด ถึงจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
พอหลังจากที่กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีได้จากไป จิ่งหนิงก็ถามด้วยความกังวลว่า:“ลู่จิ่งเซิน ฉันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในเรื่องนี้”
ลู่จิ่งเซินได้พาเธอไปนั่งที่เตียงนอน และช่วยนวดขาของเธอที่เดินไปเดินมาทั้งวัน
“ผิดปกติยังไง?”
“คุณว่าวัชพืชที่พบได้ยากเช่นนี้ ทำไมถึงมีแต่หนานกงจิ่นเท่านั้นที่มี?แล้วแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อีก ทั้งคุณและฉันก็รู้ สิ่งที่เรียกว่าตายแล้วเกิดใหม่นั้น มันเป็นเพียงเรื่องโกหกทั้งนั้น ฉันดูว่าหนานกงจิ่นคนนั้นไม่เหมือนคนโง่ เขาเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?ถึงขนาดยึดติดกับมันและต้องหามันให้เจอ?”
ลู่จิ่งเซินเงียบไปครู่หนึ่งและพูดอย่างเงียบ ๆ:“ นี่อาจเป็นความเห็นแก่ตัวและความโลภของมนุษย์!”
เขาหยุดและพูดว่า:“คนคนหนึ่งยิ่งมีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหวังว่าจะมีเยอะยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อความมั่งคั่งและเงินทองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ เขาก็จะหาวิธีลงมือทำในด้านอื่น อย่างเช่นช่วงชีวิต และปาฏิหาริย์เป็นต้น”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มอยางเย็นชา
“แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น หนานกงจิ่นไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นเพียงของปลอม เพียงแต่ว่า ถึงจะมีความแค่หนึ่งในพันล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากมันเป็นความจริงล่ะ?เขาไม่อยากปล่อยข้ามไปกับความหวังอันน้อยนิดนี้ ดังนั้นเขาจะขยายมันออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจลึกๆของเขา จากนั้นเชื่อมั่นว่ามันเป็นเรื่องจริงแล้วพยายามหนักเพื่อตามหามัน ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเพียงแค่หาความศรัทธาให้กับตัวเองเท่านั้นเอง”
จิ่งหนิงผงะและหัวเราะ“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับความศรัทธาล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินพูดอย่างเฉยเมยว่า:“คุณไม่เข้าใจมันใช่ไหมล่ะ?คนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องเชื่ออะไรสักอย่าง และไล่ตามบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดี โดยเฉพาะคนอย่างหนานกงจิ่นที่ฉลาดและมั่นใจในตัวเองนั้น เขาควบคุมตระกูลหนาน และตระกูลหนานกลับควบคุมทรัพย์สินอย่างน้อยหนึ่งในสามของโลกนี้ ซึ่งหมายความว่า เขาควบคุมทรัพย์สินหนึ่งในสามของโลก”
“เมื่อคนคนหนึ่งมีความมั่งคั่งได้ถึงจุดจุดนี้แล้ว เงินนั้นไม่ได้มีความสนใจสำหรับเขาเลย คุณดูเขาใช้ชีวิตอย่างใจที่บริสุทธิ์และความปรารถนาน้อย ราวกับคนที่ปล่อยวางเรื่องพวกนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาจะยังใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร?สำหรับเขาแล้วโลกใบนี้ไม่ได้มีอะไรให้ไล่ตามเลย ฉะนั้นแล้ว ในใจของเขาต้องมีสิ่งที่ยึดติดอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอมตะ ฟื้นจากความตาย หรืออย่างอื่น โดยรวมแล้ว ไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีความหวัง ปราศจากความหวังก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างความเป็นกับความตาย ก็เพียงแค่ร่างกายเดินได้แต่ไม่มีจิตวิญญาณเท่านั้นเอง”
จิ่งหนิงไม่เคยได้ยินทฤษฎีดังกล่าวมาก่อน ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบกลับโดยอัตโนมัติ
“นี่มันโรคจิตชัดๆ”
ลู่จิ่งเซินยิ้มมุมปาก
จิ่งหนิงนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และเอนตัวไปถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“พอพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคุณก็มีเงินพอสมควรเหมือนกันเน้อ งั้นความศรัทธาของคุณคืออะไรหรือ?”
ท่าทางชายคนนั้นหยุดนิ่งและมองเธออย่างลึกซึ้ง
เปลือกตาของลู่จิ่งเซินนั้นลึกมาก เหมือนกับกระแสน้ำวนลึกสองอัน ราวกับจะดูดเธอเข้าไป
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม:“คือคุณ”
จิ่งหนิงยืนนิ่ง
ชายคนนั้นพูดย้ำอีกรอบ“ความศรัทธาของผมคือคุณ ตราบใดที่เธออยู่ในโลกนี้หนึ่งวัน ผมจะอยู่กับเธอหนึ่งวัน ถ้าวันไหนเธอตาย ผมก็จะตามเธอไปทันที ทั้งชีวิตนี้ เป็นหรือตายไปด้วยกัน ”
ทันใดนั้นจิ่งหนิงก็ตกตะลึง
เดิมทีเธอแค่พูดหยอดเล่นเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบจริงจังขนาดนี้
แต่พอเห็นเขาในตอนที่จริงนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร น้ำตาคลอ และกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้วไหลออกมา
“ลู่จิ่งเซิน คุณนี่มันแย่จริง”
เธอร้องไห้และตีเขาด้วยกำปั้น
ลู่จิ่งเซินยิ้มลึก ดึกกระดาษทิชชูมาแผ่นหนึ่ง เงยหน้าเธอขึ้นและเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเบาๆ
แล้วเกลี้ยกล่อมอย่างอบอุ่น:“เด็กดีนะ ไม่ต้องร้องไห้ ระวังลูกจะหัวเราะเยาะคุณนะ”
“เขาคงกล้า”
จิ่งหนิงมองมาที่เขาและยิ้ม“จะหัวเราะเยาะใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฉัน ฉันเป็นแม่ของเขาเลยนะ”
“ใช่ ใช่ ใช่ พวกเราต่างไม่หัวเราะเยาะคุณกัน เด็กดีหน่อย มาให้ผมช่วยคุณนวดอีก”
จิ่งหนิงถึงจะค่อยยื่นขาของเธอไปให้เขา
วันรุ่งขึ้น พวกเขาจะเดินทางกลับไปเมืองหลวงแล้ว
ก่อนออกเดินทาง จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินเข้าไปหากู้ซือเฉียนพวกเขา และถามพวกเขาเกี่ยวกับการจัดเตรียมครั้งต่อไป
กู้ซือเฉียนได้รับข่าวว่ามีชิ้นส่วนอยู่ที่นี่ ซึ่งถูกขุดขึ้นมาจากสุสานโบราณ แต่ตอนนี้ มันถูกปกป้องไว้อย่างดี พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้ในขณะนี้ และพวกเขายังคงคิดหาวิธีอื่นอยู่