ใบหน้าของหนานมู่หรงนั้นกลับดูมีความเป็นมิตร และถึงกับเดินทำกรีดกรายนั่งตรงข้ามพวกเขา แล้วหยิบผลไม้ชิ้นหนึ่งจากโต๊ะไปกิน
“พวกคุณอย่าจ้องผมเลย จ้องผมก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบ แต่เป็นเบื้องบน”
ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ชี้ไปที่ศีรษะ
กู้ซือเฉียนยิ้มอย่างเย็นยะเยือก
“คุณหมายถึงหนานกงจิ่น?”
หนานมู่หรงผวา
“หนานกงจิ่นคือใคร?”
กู้ซือเฉียนสำลัก ครุ่นคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าหนานมู่หรงจะยังไม่รู้มีหนานกงจิ่นบุคคลคนนี้อยู่
ไม่รู้ว่าคนในตระกูลหนานอีกมากมายแค่ไหนที่เหมือนเขาถูกปิดหูปิดตา ตลอดเวลาที่ผ่านนึกว่าได้ฟังคำสั่งจากหนานกงยวู่มาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง คนที่คอยอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นคนอื่น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สายตาของเขาเคร่งขรึมลง
หนานกงจิ่นคนนี้ เป็นคนอะไรกันแน่?
ดูจากอายุของเขาแล้ว ก็พอๆ กับตัวเขาเอง แต่ทำไมคนอย่างหนานกงยวู่ถึงได้เชื่อฟังเขาได้ล่ะ?
และอีกอย่างหนานกงยวู่ดูเหมือนมีลักษณะท่าทางที่เคารพนับถือและสามารถก้มลงกราบต่อเขาเลย ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับการถูกบังคับ แต่ดูเหมือนเป็นความซื่อสัตย์และความศรัทธาจากก้นบึ้งของหัวใจ ก็เหมือนกับบรรดาผู้ศรัทธาแบบนั้น
ใช่ มันคือบรรดาผู้ศรัทธา
ก่อนหน้านี้กู้ซือเฉียนยังไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจของความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงยวู่และหนานกงจิ่นยังไง ในที่สุดตอนนี้ก็นึกได้แล้ว พอหนานมู่หรงเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เขากัดแอปเปิลอีกคำหนึ่งในมือแล้วพูดว่า:“อันที่จริงก็ไม่ถึงขั้นบังคับหรอก ก็เพราะรู้ว่าพวกคุณมีอยู่แล้วในมือแล้วหนึ่งชิ้น ก็ให้คุณส่งมาเท่านั้นเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกคุณก็ต้องส่งมันมาอยู่ดี”
กู้ซือเฉียนยิ้มเย็นยะเยือก
“ถ้าหากว่าผมหาได้หนึ่งชิ้นก็ส่งให้หนึ่งชิ้น แล้วถ้าพวกคุณไม่ให้ยากับผมในตอนท้ายล่ะ?สุดท้ายแล้วพวกผมทำยังไง?”
หนานมู่หรงยิ้มและพูดว่า:“อันนี้เป็นไปไม่ได้ ตระกูลหนานของเราทำเรื่องอะไรก็เน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ แล้วอีกอย่าง ยานี้พวกเรากินกันทุกคน มันก็ไม่ใช่ของหายากอะไรเลย ด้วยอำนาจของคุณแล้วพอถึงเวลาแล้วฉีดหน้ากัน พวกเราก็ไม่ได้ดีอะไรถึงไหน ฉะนั้นแล้วจะไม่ทำเรื่องที่ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองอย่างนั้นหรอก”
พอสักครู่ เขาก็ได้พูดเสริมว่า:“อีกอย่าง คุณก็เก็บชิ้นสุดท้ายไว้ในมือหนึ่งชิ้นสิ เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้ายังไม่ครบทั้งสิบสองชิ้น ถึงแม้ในมือจะมีหนึ่งชิ้นหรือสิบเอ็ดชิ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ผมพูดเช่นนี้คุณคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหม?”
บนใบหน้าของกู้ซือเฉียนปรากฏความยุ่งยากใจ
ไม่ใช่ว่าใส่ใจกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้จริงๆ แต่กลับเป็นความรู้สึกนี้ที่ถูกควบคุมโดยผู้อื่น
เขามีเพียบพร้อมทุกอย่างแต่เกิด ถึงแม้ว่าในตอนเด็กนั้น ไม่เป็นที่ชื่อชอบในตระกูลกู้ ในเวลาเดียวกันก็ถูกตระกูลน่าหลันเบียดเสียดยัดเยียด
แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตของเขาล้ำเลิศ เหนือกว่าคนอื่น และเขาจะไม่มีวันถูกบังคับให้ต้องตกลงในบางสิ่งเพราะการบังคับของใครบางคน
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกเสมอว่าทุกย่างก้าวที่เขาเดิน เขากำลังเดินอยู่บนปลายมีดทั้งนั้น
มือและเท้าถูกผูกมัดด้วยผู้อื่น ความรู้สึกนี้ช่างเลวร้ายจริงๆ
ขนาดเขาก็ยังรู้สึกเช่นนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองมาแต่เด็กจนโต เฉียวฉีที่เคยชินกับอิสรภาพมาโดยตลอดทำไมจะไม่รู้สึกเหมือนกันล่ะ?
เธอจ้องไปที่หนานมู่หรงอย่างเย็นชา จนแทบอยากจะจ้องให้เกิดช่องโหว่ที่ร่างกายของเขาเลย
หนานมู่หรงแตะจมูกของเขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย
พูดตามตรง ไม่ว่าเมื่อก่อนกู้ซือเฉียนจะทำไม่ดีต่อเขาไม่ว่าจะกี่ครั้ง แต่เรื่องครั้งนี้ เป็นเขาที่รู้สึกขอโทษกู้ซือเฉียน
เพราะไม่ว่ายังไง ไม่รวมผลประโยชน์ในตระกูลแล้ว เขาและกู้ซือเฉียนก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนกัน
ภรรยาของเพื่อเดือดร้อน แล้วเขายังไปผีซ้ำด้ำพลอยซ้ำเติมเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไร้ความปรานีอยู่ดี
พอนึกเช่นนี้แล้ว เขาก็ถอนหายใจ
“ช่างเถอะๆ ถ้าพวกคุณไม่ยอมเอาออกมาจริงๆละก็ ผมก็สามารถช่วยไปขอร้องแทนพวกคุณก็ได้ แต่พวกคุณต้องรู้นะ ว่าผมเพียงแค่คนที่ช่วยทำงานในตระกูลเท่านั้นเอง ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเท่าไหร่ ผมแทบสามารถนึกภาพการปฏิเสธตอนขอร้องได้เลย แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ?ผมอยากช่วยพวกคุณ ก็คงจะช่วยได้ถึงเพียงจุดนี้เองแหละ มีความสามารถเท่านี้ จนปัญญาแล้วจริงๆ ”
ขณะที่เขาพูด เขาส่ายพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วและจ้องมองเขาสักครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูด
“ไม่ต้องหรอก ของอยู่ที่นี่ คุณเอาไปก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ ก็ให้ฉินเยว่หยิบกล่องไม้ขึ้นมา แล้วโยนให้กับหนานมู่หรงโดยตรง
หนานมู่หรงผงะไปครู่หนึ่ง รีบหยิบมันขึ้นมาและเปิดกล่องออกมา พบว่าที่อยู่ข้างในนั้นเป็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ขาวและโปร่งแสง
เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย และมองขึ้นไปที่กู้ซือเฉียน
“คุณเด็ดขาดขนาดนี้ คงไม่ได้ฉ้อโกงอะไรข้างในนี้ใช่ไหม?”
กู้ซือเฉียนยิ้มอย่างเย็นชา
“คุณจะเอาหรือไม่เอา หากไม่เอาก็คืนผมมา”
พอพูดจบ ก็ยื่นมือไปแย่งกันจริงๆ
หนานมู่หรงรีบเก็บกล่องนั้นไว้ที่ข้างหลัง ใบหน้าระแวดระวัง
“ไหนๆ คุณก็ให้แล้ว ยังคิดจะเอากลับไปอีก คุณละอายใจบ้างไหมเนี่ย?”
เขาหยุดและถอนหายใจขณะที่มองดูใบหน้าที่ไม่พอใจของทั้งสองคน
“เอาเหอะ พวกคุณก็อย่าทำหน้าทำตาเหมือนกับว่าถูกผมเอาเปรียบอย่างนั้นเลย ก็พูดกันแล้วไม่ใช่หรือ?เมื่อหาครบทั้งหกชิ้นแล้ว พวกเขาก็จะเอายาที่เฉียวฉีกินหลังจากนั้นให้พวกคุณหมด พอถึงเวลานั้นพวกคุณก็เก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งชิ้นกันไว้ก่อน ยังกลัวอะไรอีกล่ะ?”
กู้ซือเฉียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า
“ผมรู้แล้ว ของคุณก็เอาได้แล้ว คุณกลับเถอะ”
พอเห็นกิริยาท่าทางของเขาเช่นนี้แล้ว หนานมู่หรงก็ไม่พูดอะไรอีก
ได้บอกกล่าวกับเฉียวฉีแล้ว ก็หันไปพร้อมพาคนอื่นๆจากไป
หลังจากที่พวกเขาจากไป เฉียวฉีก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“ฉันมักรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของกู้ซือเฉียนเย็นชา
“ผิดปกติอยู่แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเราไม่รู้ส่วนผสมของยาค่อยว่าไปอีกอย่าง ตอนนี้รู้แล้ว หึ!”
เสียงเขาเย็นเยือก“เขาบอกว่าเขาจะให้ยาทั้งหมดที่คุณต้องใช้ในหลังจากนั้นแก่พวกเรา แต่จริงๆ แล้วนั่นมันไม่ใช่ยาเลย แต่เป็นผลของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่าต้นเงินทอง พืชผลแบบไหนกัน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานหลายสิบปีโดยไม่เสียหายและยังคงกินได้?นี่มันเป็นเพียงการหลอกลวงแต่แรก!หนานกงจิ่นกำลังหลอกพวกเรา”
ความคิดของเฉียวฉีกับเหมือนกันเขาเลย
เธอขมวดคิ้วและมีความกังวล
“แล้วตอนนี้พวกเราทำยังไงกันดี?”
กู้ซือเฉียนหันไปมองดูเธอ นัยน์ตาดูมีความเย็นชา
“ไม่ต้องเป็นห่วง ผมคิดวิธีได้แล้ว”
เฉียวฉีตกตะลึง และมีความประหลาดใจเล็กน้อย
“วิธีอะไร?”
กู้ซือเฉียนมีท่าทางที่ดูลึกลับ“ผมได้วางกลอุบายไว้ในกล่องที่หนานมู่หรงเพิ่มหยิบไปเมื่อกี้นี้”
เฉียวฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนุ่ง และในไม่ช้านัก ก็ได้ตั้งสติขึ้นมาได้
เธอและกู้ซือเฉียนนั้นเต็มไปด้วยความรู้ใจกันแต่แรก พอตอนนี้แค่ต้องส่งซิกอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอก็เข้าใจแผนของอีกฝ่ายทันที
ใบหน้านั้นอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มออกมา“ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ พวกเราก็รอเก็บข้อมูลได้เลย”
“ใช่”
หลังจากที่ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
และอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่หนานมู่หรงได้รับของแล้ว เขาก็รีบขึ้นเครื่องบินบินข้ามคืนไปยังเกาะที่หนานกงจิ่นอาศัยอยู่
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าหนานกงจิ่นพักอยู่ที่นี่
ผู้ที่ออกคำสั่งให้กับเขานั้น เป็นหนานกงยวู่มาตลอด ก่อนหน้านี้เขาก็พูดเพียงว่า ถ้าได้รับของมาแล้ว ก็ส่งมาที่เกาะนี้ ฉะนั้น เขาจึงได้รีบบินข้ามคืนมา ไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่วินาทีเดียว
ในขณะนี้ ทันทีที่เครื่องบินลงจอด ก็มีผู้ที่ได้รับข่าวรออยู่ตรงนั้นแล้ว