ศพ – ตอนที่ 10 ยายโม่

แม้ว่าผมจะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังรูปปั้น แต่ผมก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

ช่วงเวลาที่ประตูถูกเปิดออก ผีผู้หญิงตนนั้นก็ยืนอยู่ด้านหน้าประตูแล้ว

ดวงตาขาวโพน ใบหน้าครึ่งเสี้ยวที่มีเนื้อสีแดงสดๆ จากการถูกเลือดหมาดำสาดใส่ใบหน้า

เธอจ้องเข้ามาในศาลเจ้าทั้งแบบนี้ และยังแหกปากร้องตะโกนออกมาด้วย

แต่เสียงของผีผู้หญิงพึ่งหายไป อาจารย์และเหล่าฉินที่ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของประตูก็กระโดดออกมา

อาจารย์ตะโกน “ตายไปซะนางสารเลว!”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็นำดาบไม้ที่กำอยู่ในมือแทงเข้าไปที่ร่างของผีผู้หญิงทันที

ส่วนเหล่าฉินเอง ก็แทงไปที่ผู้หญิงเช่นกัน

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นกลับเผยรอยยิ้มที่น่าสยดสยองออกมา เธอผงะร่างถอยออกไปทันที ระหว่างนั้นเธอยังหัวเราะเสียงแปลกๆ “หิหิหิ”

เมื่อผมเห็นฉากนี้ ผมก็ใจสั่นทันที และกลัวจนสุดขีด

แต่ขณะที่อาจารย์และเหล่าฉินกำลังลงมือกับผีผู้หญิงตนนั้น จู่ๆผมก็รู้สึกว่าด้านบนหัวของตัวเองมีน้ำหยดดิ๋งๆลงมาใส่หน้าผาก และมันยังรู้สึกเย็นๆอีกด้วย

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสตามสัญชาตญาณ จากนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นไปมอง

 

แต่สิ่งที่ผมเห็น เกือบทำให้ผมตกใจจนแทบช็อก

เพราะด้านบนนั้นเป็นส่วนของหลังคาที่ทรุดโทรมของศาลเจ้า และตรงนั้นยังมีคนกำลังปีนอยู่หนึ่งคน

ใบหน้าของคนนั้นซีดขาว ดวงตากลวงโบ๋ สีหน้าสยดสยอง และน้ำลายก็ล่วงลงมาจากเขี้ยวที่กำลังกางออก

มันไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือสามีของผีผู้หญิงนั้นเอง

น้ำที่พึ่งหยดลงมาโดนตรงหน้าผาก ก็คือน้ำลายของเขานั้นเอง

การเห็นฉากที่เกิดขึ้นกระทันหันแบบนี้ ทำให้ผมตกใจในทันที

ก้นของผมก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น จากนั้นปากก็กรีดร้องออกมา “อ้า….”

 

เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินได้ยินเสียงในศาลเจ้า พวกเขาก็รีบกลับมาทันที

และพวกเขาก็พบว่าด้านบนหลังคากำลังมีผีผู้ชายปีนอยู่ พร้อมกับใบหน้าที่สยองขวัญ พวกเขาจึงรีบเข้ามาปกป้องผมทันที

แต่มันก็สายเกินไป หลังจากผีผู้ชายตนนั้นทำหน้าตาสยดสยองใส่ผม เขาก็พูดกับผมด้วยเสียงต่ำ “ฉันจะฆ่าแก ตัวตายตัวแทนของฉันและเมียของฉันจะได้สมบูรณ์ซะที!”

เมื่อพูดจบ ผีผู้ชายตนนั้นก็กระโดดลงมาหาผมที่อยู่ด้านหลังรูปปั้นทันที

เขาขยายกรงเล็บที่แหลมคม และอ้าปากกว้างมาก จนเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมสองซี่

เมื่อเห็นภาพแบบนี้ ตัวผมก็รู้สึกแข็งทื่อทันที เหงื่อเย็นๆได้ไหลออกมาจากหน้าผากของผม

 

เมื่ออาจารย์เห็นแบบนั้น เขาก็ตะโดนใส่ผมทันที “เสี่ยวฝานรีบวิ่งหนีไป!”

แม้ว่าในใจของผมจะรู้สึกกลัวมาก แต่มันก็ยังหลงเหลือสติอยู่บ้าง

ผมไม่ได้นั่งอยู่แบบนั้น เพื่อรอให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาแบบโง่ๆ

ตอนนี้ในมือของผมมีดาบไม้และแส้ขนหมาอยู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งลงมาข้างล่าง ผมเลยไม่คิดอะไรมาก ฟาดแส้ขนหมาขึ้นไปข้างบนทันที

แส้ขนหมาฟาดฟันออกไปเป็นเส้นโค้ง มันพุ่งตรงเข้าไปหาผีผู้ชายตนนั้นทันที

ผีผู้ชายตนนั้นคิดว่าผมตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ป้องกันตัวจากผมมากนัก

 

ผลลัพธ์ก็มีเสียงดัง “เพียะ” เกิดขึ้น  แส้เส้นนี้ฟาดโดนร่างของผีผู้ชายตนนั้นอย่างจัง

พูดแล้วก็ว่าแปลก แส้ขนหมาเส้นนั้นเบามาก แต่เมื่อฟาดโดนร่างของผีผู้ชาย มันกลับแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมา

ผีผู้ชายตนนั้นกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรง ร่างของเขากระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงดัง “ปัง”

เหมือนกับร่างของเขาโดนรถสิบล้อชนยังไงยังงั้น จากนั้นร่างของเขาก็ลอยไปกระแทกเข้ากับผนังของศาลเจ้า

ในเวลานี้ อาจารย์ได้มาถึงด้านหน้าของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ผม เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับการกระทำของผมเมื่อกี้

 

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ดึงผมให้ยืนขึ้น “ทำได้ไม่เลว!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับไป และพุ่งเข้าไปหาผีผู้ชายที่ยังไม่ลุกขึ้นมาจากพื้นทันที

“ไอ้เลว!” ขณะพูด อาจารย์ก็กระโดดเข้าไป หมายจะแทงผีผู้ชายตนนั้น

เนื่องจากผีผู้ชายตนนั้นโดนแส้ของผมเข้าไป ดังนั้นเขาจึงโกรธมาก เขาคำรามออกมา และพุ่งตรงเข้าไปหาอาจารย์ทันที

หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงเกิดการต่อสู้ขึ้น ผมคิดจะเข้าไปช่วย แต่ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้

เพราะอาการบาดเจ็บของอาจารย์พึ่งหายเป็นปกติ และไม่มีพลังเท่ากับผีผู้ชายที่ร้ายกาจตนนั้น ดังนั้นหลังจากพึ่งสู้มาได้สิบกระบวนท่า อาจารย์ก็ถูกผีผู้ชายทำร้ายจนต้องลงไปนอนกองกับพื้น

 

ในเวลาเดียวกัน ผีผู้หญิงที่ถูกเลือดของหมาดำในครั้งก่อน แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังบาดเจ็บสาหัส แต่เธอก็สามารถดันตัวเหล่าฉินให้ถอยกลับเข้ามาในศาลเจ้าได้เช่นกัน

ตอนนี้พวกเราสามคนยืนอยู่เดียวกัน ผมช่วยพยุงตัวอาจารย์เอาไว้ และใช้ดวงตาจับจ้องไปที่ผีสองตน

ส่วนผีสองตนนั้นก็เข้ามาหาพวกเราอย่างต่อเนื่อง ผีผู้ชายเปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงอันดุร้าย “อยากจะดื่มเลือดสดๆจากพวกแกจริงๆ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

พวกเราก็เผยสีหน้าที่เคร่งเครียด อาจารย์เองก็หายใจหอบเหนื่อย แต่เขาก็ยังจับดาบไม้และพุ่งออกไปต่อสู้ด้านหน้าอีกครั้ง

 

แต่แล้วในเวลานี้ ด้านนอกกลับมีเสียงแปลกๆดังขึ้น กริ่ง…กริ่ง…กริ่ง……

ขณะที่เกิดเสียง ก็มีเงาปรากฎขึ้นที่หน้าประตู และยังมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามา

ทุกคนตกตะลึง และหันไปจ้องที่หน้าประตู

ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีเสียงที่อ่อนแรงของคนแก่ดังเข้ามา “พวกแกเป็นใครกัน! ถึงได้ใจกล้ามากขนาดนี้!”

เสียงนั้นทำให้คนฟังถึงกับขนลุก ผมรู้สึกได้เลยว่าขนมันลุกขึ้นมาทันที

หลังจากเสียงถูกเปล่งออกมา ที่หน้าประตูก็มีร่างของยายแก่ที่อยู่ในชุดคนตายสีดำปราฎตัวขึ้น

 

ในมือของคุณยายกำลังถือไม้เท้ามังกร และเขย่งเท้าเดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว

เห็นได้ชัด ว่าคุณยายท่านนี้ก็ไม่ใช่คน แต่เป็นผีอีกตนหนึ่ง

แต่ขณะที่ผมมองยาย ตัวผมเองกลับรู้สึกว่าเสียงของเธอนั้นฟังดูคุ้นๆ แต่ในชั่วครู่นั้นผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี

อาจารย์และเหล่าฉินเอง ก็ต่างมองคุณยายด้วยสีหน้าแปลกใจ พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาซักพัก

แต่สิ่งสุดท้ายที่ทำให้พวกเราแปลกใจก็คือ เมื่อผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นมองเห็นคุณยาย

สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาเผยให้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา

ไม่เพียงเท่านั้น ผีทั้งสองตนยังคุกเข่าลงที่พื้นดัง “ตุ๊บ” ร่างกายสั่นเทา พร้อมพูดออกมาด้วยเสียงสั่น “โม่ โม่ ยายโม่……”

 

ยายโม่งั้นหรอ พวกเราต่างแสดงท่าทางสงสัยออกมา ไม่รู้ว่าผีร้ายสองตนนั้นกำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่

แต่หญิงชราที่ถูกเรียกว่ายายโม่ กลับทำสีหน้ามืดมนและพูดว่า “กับฉันพวกแกก็ยังกล้าคิดจะทำร้ายงั้นเหรอ ฮึช่างเลวซะจริงๆ!”

เสียงพึ่งจางหาย ผีชาวประมงสองสามีภรรยาก็รีบหันมามองหน้าผมทันที และยังเป็นสีหน้าที่ตกตะลึง “พวก พวกเราสามี พวกเราสองสามีภรรยาไม่รู้ ได้ ได้โปรดยาย ยายโม่โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”

หญิงชราพูดด้วยเสียงเย็นชา “ไสหัวกลับไปที่อ่างเก็บน้ำ ถ้าฉันรู้ว่าพวกแกคิดจะทำอีก ยายโม่คนนี้จะไม่ยั้งมืออีกแล้ว!”

 

หลังจากพูดจบ หญิงชราก็กระแทกไม้เท้ามังกรที่อยู่ในมือ

เสียง “ปัง” ดังสนั่นหวั่นไหว มันเป็นเสียงที่ทรงพลังมาก

ส่วนผีชาวประมงสองสามีภรรยา ก็ตกใจกลัวจนแทบขาดใจ

รีบพูดขอบคุณ และเดินไปด้านนอกด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว พวกเขาสองคนออกไปจากศาลเจ้าหลักเมืองด้วยท่าทางที่หดหู่

เมื่อพวกเราเห็นเหตุการณ์นี้ ก็มึนงงกันทันที

เมื่อกี้ผีชาวประมงสามีภรรยาคู่นั้นยังดุร้ายอยู่เลย ตอนนี้พวกเขากลับหวาดกลัวเนี่ยนะ และยังกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลยด้วย

 

การปล่อยพวกเขาไปทั้งแบบนี้ ต่อไปพวกเขาจะไม่กลับมาอีกงั้นเหรอ

แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หญิงชราคนนี้คือใครต่างหาก

เธอมาที่นี่ทำไม แล้วทำไมถึงช่วยพวกเรายับยั้งการทวงชีวิตของผีร้ายสองตนนี้ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นในสมองของผมก็มีความคิดปรากฏขึ้น คู่แต่งงาน

ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะสามารถอธิบายได้แค่นี้เท่านั้น

หญิงชราคนนี้จะต้องเป็นผีอย่างแน่นอน เพราะเวลาเดินเธอจะเขย่งเท้าทั้งสองข้าง มันก็เป็นตัวอธิบายทุกสิ่ง

 

และหญิงชราคนนี้ ปรากฎตัวได้พอเหมาะพอเจาะ เธอปรากฎตัวขึ้นหลังคืนวันแต่งงานของผม

ผมมั่นใจเก้าในสิบเปอร์เซ็นว่าหญิงชราคนนี้ต้องเป็นคู่ครองของผมแน่ๆ ทันใดนั้น ในสมองของผมก็มีเสียงสายฟ้าฟาดตอนกลางวันแสกๆ

หรือว่าผมติงฝานคนนี้จะซวยอะไรได้ขนาดนี้ ไม่เป็นผีหญิงงามก็ไม่เป็นไร แต่เป็นผีผู้หญิงธรรมดาๆก็ยังดีนิ

เมื่อคิดว่าในอนาคตจะต้องอยู่กับเมียแก่รุ่นยาย ผมก็รู้สึกเหมือนได้กินหนูตายเข้าไป วินาทีนั้นสีหน้าของผมก็ซีดขาวลงทันที

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆหญิงชราตนนั้นก็หันมามองผม แล้วแสยะยิ้มออกมาและพูดกับผมว่า “ติงฝานซินะ! ยินดีที่พบกันครั้งแรก”

 

ในตอนนั้นผมไม่พูดอะไรออกมา และยังกลืนน้ำลายด้วยความเคร่งเครียด

แต่ในเวลานี้อาจารย์กลับลูบผมเบาๆ และบอกให้ผมคุยตอบกลับไป

ผมพูดด้วยสีหน้าที่อึดอัดใจ “ขอบ ขอบคุณภรรยาที่ช่วยชีวิตไว้ ไม่รู้ ไม่รู้ว่าภรรยามีชื่อว่าอะไร!”

ตอนที่ผมพูดคำนี้ออกไป ร่างกายของผมต่างก็รู้สึกชาไปหมด ยังรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่สบายอีกด้วย

แต่หญิงชราตนนั้นกลับแสดงสีหน้าประหลาดใจ เธอหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” และพูดว่า “ฉัน มีแซ่เดิมว่าโม่ คุณเรียกฉันว่ายายโม่ก็ได้ และที่คุณพูดถึง คงเป็นคุณหนูของฉันน่ะ!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset