ศพ – ตอนที่ 101 ตามหาคน

ตอนที่ 101 ตามหาคน

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เข้าใจที่ไปที่มาของเรื่องทั้งหมดทันที

ในใจก็รู้สึกสงสารเจ้าเชี่ยนเชี่ยน เข้าใจความรู้สึกโศกเศร้าของเธอ

การอดทนซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้คนชั่วยิ่งได้ใจ

หลังจากจิตใจแตกสลาย ก็เดินไปสู่หนทางที่ไม่อาจหวนกลับได้ทีละก้าวๆ

แต่ เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว พวกเราจึงได้แต่รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนเท่านั้น

แต่ว่าส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ทำให้พวกเราสนใจนักพรตในชุดดำ หรือนักพรตหยวนนั้นมาก

ดังนั้นผมจึงพูดกับเจ้าเชี่ยนเชี่ยวว่า “ เจ้าเชี่ยนเชี่ยน นักพรตหยวนคนนั้นรูปร่างหน้าตายังไง หลังจากห้าปีที่แล้ว เธอยังได้เจอเขาอีกไหม ”

 

เมื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว และพูดว่า “ เขาสวมผ้าคลุมหัวสีดำ ฉันเลยเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่มั่นใจว่าเขาตัวผอมมาก ผิวแห้งเหมือนเปลือกไม้ และฉันก็เคยเจอเขาสองครั้ง เร็วๆนี้ได้เจอเมื่อปีที่แล้ว ! เขามาที่นี่เพื่อดูดซับแรงแค้นจากฉัน ”

ดูดซับแรงแค้น เจ้าสิ่งนี้คิดจะดูดก็ดูดได้งั้นเหรอ

เมื่อพวกผมสามคนได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน ในใจก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก

เจ้านี้เป็นหมอผีจริงๆเหรอ แม้แต่แรงแค้นก็ยังดูดซับได้ ไม่กลัวว่าจะทำให้จิตใจของตัวเองสับสนรึยังไง

ดูเหมือนการที่เจ้านี้ปล่อยให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนมีชีวิตอยู่ ก็เพราะมีจุดประสงค์อื่น

เพื่อให้ เจ้าเชี่ยนเชี่ยนเป็นภาชนะสะสมแรงแค้น

 

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เขาก็ค่อยมาเก็บมัน

ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเก็บแรงแค้นไปทำไม แต่มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

ถ้าหาตัวเจ้าหมอผีนี่เจอ สัญลักษณ์ผีที่เราสงสัย ก็จะต้องได้รับคำตอบแน่

“ นอกจากหมอผีนั้นแล้ว เธอได้เจอโจวเจี่ยนไหม ” จู่ๆหยางเฉ่วก็ถาม

เมื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ยินชื่อ “ โจวเจี่ยน ”  สีหน้าก็เคร่งขรึม เผยสีหน้าที่โกรธแค้นออกมา

“ เขาก็อยู่ในมหาลัยนี่แหละ ฉันเห็นเขาทุกวัน แถมยังรู้สึกเจ็บปวดจนไม่รู้จะพูดยังไง แต่ตอนนั้นฉันยังจำเรื่องในอดีตไม่ได้ และเขาก็ไม่เคยเข้าใกล้ที่นี่อีกเลย ฉันเลยทำอะไรเขาไม่ได้ ! ” เจ้าเชี่ยนเชี่ยนพูด

 

แต่เสียงพึ่งตกลง เธอกลับไม่รอให้พวกเราพูดต่อ เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ เขาเป็นคนชั่ว เป็นเขาที่ทำร้ายฉัน พวกคุณ พวกคุณพาฉันไปหาเขาได้ไหม ฉันจะทำให้เจ้าชั่วนั้นได้ตายโหง ! ”

ผู้ชายชั่วแบบนี้ ตายไปสักหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ

และหลังจากเจ้าเชี่ยนเชี่ยนตาย เขาก็เป็นคนที่พาคนๆนั้นมา

ถึงพวกเราสามคนจะไม่สามารถทำอะไรกับชีวิตคนทั่วไปได้ แต่พวกเราจะปล่อยให้สัตว์เดรัจฉานแบบนี้มีชีวิตต่ออีกวันไม่ได้

เมื่อมีหนี้ก็ต้องใช้ ผีผู้หญิงมีแค้น ก็ต้องไปชำระด้วยตัวเอง

ถ้าไม่ทำให้มันรู้สึกบ้าง เจ้าโจวเจี่ยนนี้ก็คงไปทำร้ายนักศึกษาสาวอีกจำนวนมาก

 

นอกจากนี้ เจ้าโจ้วเจี่ยนนี้ยังเป็นคนพานักพรตชุดดำนั้นมา และนักพรตชุดดำนั้นยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ผีด้วย

เพราะเหตุนี้ จึงทำได้แค่ไปตามหาโจวเจี่ยน จึงจะได้เบาะแสของนักพรตชุดดำ และจะได้เข้าใจองค์กรลับนั้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นผมจึงไม่คิดอะไรมาก พยักหน้ารับทันที “ เธอไม่ต้องพูด พวกเราก็จะไปหาเขาถึงที่ ! ทำปาบไว้ก็ต้องชดใช้ เธอคิดดีๆละว่าจะ ไปแก้แค้นคืนนี้ หรือจะไปเกิดใหม่แล้วค่อยแก้แค้น เพราะเธอฆ่าคนไปมากแล้ว ถ้าฆ่าอีกคน ผลลัพธ์ที่ตามมา จะได้การรับโทษแบบไหน พวกเราก็ไม่รู้ด้วยนะ ”

ผมไม่อ้อมค้อม และพูดออกมาตรงๆทันที

 

แต่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้สนใจเลยสักนิด “ ชั่วชีวิตของฉันอดทนมามากแล้ว ตอนนี้ก็ตายไปแล้ว ไม่อยากอดทนต่อไปอีกแล้ว ส่วนเรื่องที่ฉันฆ่าพวกนักศึกษาตาย ถึงจะต้องลงนรกขุมที่ 18 ฉันก็ยินดี ! ”

ทุกๆคนต่างมีทางเลือกเป็นของตัวเอง แน่นอนว่ารวมถึงผีผู้หญิงเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราด้วย

ผมพูด “ อือ ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

เพียงถามว่าโจวเจี่ยนอยู่ที่ไหน เจ้าเชี่ยนเชี่ยนตอบว่า เจ้าสัตว์นรกนั้นพักอยู่ที่หอพักอาจารย์ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก

หลังจากพูดจบ เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็พาพวกเราลงจากตึก

หานเฉ่วเฟิงโยนบุหรี่ในมือทิ้ง และเหยียบมันแรงๆครั้งหนึ่ง

 

เมื่อเดินมาถึงที่ประตู เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองพื้นที่โล่งๆที่อยู่ข้างๆ เพราะนั้นก็คือที่ที่เธอและพวกนักศึกษาพวกนั้นตกลงมาตาย

เธอเหมือนกับคนเป็น สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เดินออกจากที่นี่พร้อมกับพวกเรา

เพราะตุ๊กตาที่ใช้ผนึกวิญญาณถูกหานเฉ่วเฟิงทำลายแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ จึงไม่มีพลังลึกลับดึงตัวเจ้าเชี่ยนเชี่ยนให้กลับไปอีก

พวกเราเดินตามเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ผ่านเส้นทางสีเขียว และท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตึกเล็กๆหลังหนึ่ง

และตึกเล็กๆหลังนี้ ก็คือหอพักอาจารย์

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนยืนอยู่ข้างล่างของตึก เงยหน้าใช้ดวงตาจ้องไปที่ชั้นหก ตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

พูดด้วยเสียงกัดฟัน “ เขาอยู่ชั้นหก ห้องสาม ฉันได้กลิ่นที่น่ารังเกียจนั่นอย่างชัดเจน ”

พวกเราพยักหน้า จากนั้นก็พาวิญญาณเจ้าเชี่ยนเชี่ยนขึ้นไปยังชั้นหก

ตึกนี้เป็นตึกสมัยเก่า จึงยังไม่มีลิฟต์

อาจารย์ที่เดินอยู่ในห้องพักนี้มีจำนวนน้อยมาก เพราะทุกคนต่างใช้ที่นี่เป็นที่พักในตอนกลางวันหรือที่พักชั่วคราวเท่านั้น

เพราะเหตุนี้ จึงมีห้องจำนวนมากที่ยังว่างอยู่

และไม่รู้ว่าโจวเจี่ยนคิดอะไรอยู่ ถึงเลือกอยู่ชั้นหก

แต่ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงประตูห้องสามชั้นหก

 

ประตูเป็นประตูไม้แบบเก่า สีของประตูก็ลอกออกจนแทบหมดแล้ว และที่ประตูยังมีกระดาษคำว่า “ ฝู ” ติดอยู่หนึ่งแผ่น

“ เชี่ยนเชี่ยน ช่วยเปิดประตูให้พวกเราหน่อย ! ” ผมพูดเบาๆ

เมื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ยิน ก็ไม่คิดอะไรสักนิด เธอเดินเข้าไปที่ประตูทันที

ขณะที่เธอเข้าใกล้ประตู ทันใดนั้นร่างกายเธอก็กลายเป็นภาพเบลอๆ และหายไปต่อหน้าต่อตาทันที

ทันใดนั้นเสียง “ แอ๊ด ” ก็ดังขึ้น ประตูบานนั้นถูกเจ้าเชี่ยนเชี่ยนเปิดออกจากด้านใน

 

เมื่อเห็นประตูเปิดแล้ว พวกเราสามคนก็เดินเข้าไปทันที

ห้องในหอนี้ไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ห้องโถงและห้องนอนหนึ่งห้อง

แต่ขณะที่พวกเราเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ทุกคนก็ต้องตกใจ

เพราะการเปิดตา ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟก็มองเห็น

ตอนนี้ในสายตาของพวกเรา กำลังเห็นชุดชั้นในจำนวนมากของผู้หญิงวางอยู่ในห้องนั่งเล่นเต็มไปหมด แถมมีทั้งรูปแบบหลากหลายชนิดรวมกันอยู่

บางตัวแขวนอยู่บนพนัง บางตัวถูกโยนไว้บนโซฟาและเก้าอี้

เมื่อหยางเฉ่วเห็นสิ่งนี้ สีหน้าก็แย่ลงทันที ทันใดนั้นเธอก็ด่าออกมา “ ไอ้โรคจิต ! ”

 

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เล็งไปที่อีกห้อง และเดินตรงไปที่ห้องนอนทันที

ประตูเปิดอยู่ เมื่อพวกเรามาถึงหน้าประตูห้องนอน ก็เห็นชายวัยกลางคนกำลังหลับอยู่เงียบๆ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนี้กำลังสวมชุดชั้นในลายลูกไม้ของผู้หญิงอยู่

ภาพนั้นทำให้ผมมึนงงทันที ขณะนั้นหน้าของผมถึงกับกระตุกไปมาสองสามครั้ง

เจ้านี่เป็นโรคจิตจริงๆ จิตใจของมันจะต้องผิดปกติแน่ๆ

ผมพูด ฮึ จากนั้นก็เปิดไฟที่อยู่ข้างๆทันที

ทันใดนั้น “ พรึบ ” ไฟก็สว่างขึ้น

เพราะแสงแยงตา จึงทำให้ชายวัยกลางคนที่นอนฝันอยู่ค่อยๆตื่นขึ้นมา

 

เขาขยับไปมาอยู่พักหนึ่ง กระพริบตาสองสามครั้ง และแล้วเขาก็พบว่าในห้องของตัวเองมีคนเพิ่มขึ้นมาสองสามคน

ม่านตาของเขาขยายอย่างรวดเร็ว และตะโกนด้วยความตกใจ “ พวก พวกแกเป็นใคร มาทำอะไรในห้องของฉัน ”

หลังจากพูดจบ เขาก็พึ่งได้สติว่าตัวเองกำลังใส่อะไรอยู่

เขาทำหน้าหวาดกลัว รีบดึงผ้าคลุมเตียงที่อยู่ข้างๆ มาห่อตัวเองทันที

“ มองอะไรฮะ รีบไสหัวออกไป ! ”

ผมขี้เกียจพูดไร้สาระกับเขา แต่ก็พูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชา

“ เชี่ยนเชี่ยน มาคุยกับอาจารย์ของเธอหน่อยซิ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็เปิดทางให้

 

แต่โจวเจี่ยนกลับงงงัน ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ตอบสนองใดๆ

จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ พรึบ ” ไฟที่พึ่งเปิด ตอนนี้กลับดับไปอย่างกระทันหัน

จากนั้น เสียงที่น่าขนลุกและตื่นเต้นของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ดังขึ้น “ อาจารย์โจวเจี่ยน แกยังจำฉันได้ไหมฮะ ”

หลังจากพูดจบ ร่างของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ลอยเข้ามาจากประตูห้อง

เมื่อโจวเจี่ยนได้ยินเสียงนี้ ทันใดนั้นเขาก็ตกใจจนเบิกตากว้าง ร่างกายสั่นเทา การแสดงออกทางใบหน้าของเขาแข็งค้างไปในทันที

ระหว่างนั้น เขาก็มองผ่านแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง

เห็นคนใส่ชุดสีขาวลางๆเดินเข้ามา และเขาเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน

 

“ พรึบ ” สีหน้าของโจวเจี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที วินาทีนั้นเขาตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน

อ้าปากกรีดร้องหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็พูดจาติดๆขัดๆ

“ เชี่ยน เชี่ยนเชี่ยน อย่า อย่าเข้ามา เธออย่าเข้ามา ฉันไม่ได้ทำร้ายเธอ ไม่ใช่ฉัน เป็นเธอต่างหากที่กระโดดลงไปเอง เธอฆ่าตัวตายเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เกี่ยวกับฉันเลย……. ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset