ศพ – ตอนที่ 110 พัฒนาขึ้น

ตอนที่ 110 พัฒนาขึ้น

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ดีใจมาก

จนถึงตอนนี้ ผมยังพัฒนาฝีมือได้ค่อนข้างน้อย

นอกจากยันต์ทั้งสามแล้ว วิชาอื่นๆ ผมก็ยังไม่ได้เรียนแบบเป็นโล้เป็นพาย

“ ครับ ” จากนั้นก็เดินกลับไปนอนในห้องด้วยความดีใจ

เมื่อนอนลงบนเตียง ผมก็ตอบกลับข้อความสั้นๆของหยางเฉ่ว

เพียงแค่สองคำ โอเค จากนั้นก็หลับตานอนทันที

ผลลัพธ์ผมพึ่งหลับตา ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงมึนๆของมู่หลงเหยียน “ ไอ้ผู้ชายห่วย ”

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าประสาทหลอนไปเองหรือเป็นอะไรกันแน่ มักรู้สึกว่ามู่หลงเหยียนไม่ค่อยพอใจกับผู้หญิงคนอื่นนัก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม……

แต่ตอนนี้ผมง่วงจนไม่ไหวแล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ดังนั้นหลังจากนอนไปพักหนึ่งผมก็นอนหลับไปทันที

ในความฝัน ผมฝันเห็นเรื่องแปลกๆ

ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนสะพานหิน และด้านล่างสะพานหินมีผีร้ายนับร้อยตัว พวกมันเลื้อยวนกัน เป็นชั้นๆ พร้อมกับอ้าปากและเอื้อมมือไปที่ผู้หญิงคนนั้น

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับมองพวกมันอย่างเงียบๆ เมื่อผมเห็นว่ามันอันตรายมาก จึงคิดจะเข้าไปเตือนเธอ

บอกให้เธอเลิกนั่งตรงนั้น มันอันตรายมาก

 

แต่เมื่อผมไปถึงตรงหน้าของเธอ กลับพบว่าเสียงพูดของผมนั้นไม่มีเสียงออกมา

ผมจึงคิดจะเข้าไปลากตัวเธอ แต่มือของตัวเองกลับทะลุผ่านไปซะอย่างนั้น

ผมยังตะโกน และเตือนเธออย่างต่อเนื่อง

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับโค้งคำนับ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

จู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น

ผมก็ตัวแข็งทื่อทันที เพราะผู้หญิงคนนั้นก็คือมู่หลงเหยียน

ตอนนั้นมู่หลงเหยียนดูเศร้ามาก มีน้ำตาเป็นสีเลือดไหลออกมาจากดวงตา

 

เธอมองวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ใต้สะพานหินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทันใดนั้นก็พูดว่า “ รอฉันก่อน ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป กระโดดลงจากสะพานหินทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็ตกใจ

หลังจากมู่หลงเหยียนกระโดดลงไปหาผีร้าย ตัวของเธอก็จมหายไปในชั่วพริบตา หลังจากนั้นผมก็มองไม่เห็นตัวเธออีกเลย

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็รู้สึกกลัวสุดๆ จึงตะโกนเรียกชื่อเธอทันที

ครั้งนี้ ผมพบว่าเสียงตะโกนของตัวเองดังขึ้นแล้ว

แต่มันสายไปแล้ว เพราะมู่หลงเหยียนหายไปแล้ว

 

ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนั้นใจของผมเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับตัวเองกำลังจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด……

แต่ต่อมา ผมก็ตื่นจากฝัน

พบว่าตอนนี้ ตัวผมได้นั่งอยู่บนเตียงตัวเอง

ร่างกายของตัวเองชุ่มไปด้วยเหงื่อ และพบว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว

ที่แท้ตัวเอง ก็ฝันไป

แต่มันแปลกมาก อยู่ดีๆทำไมฝันแปลกๆแบบนั้นได้ละ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ มองดูเวลา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

 

ผมนอนไปแล้ว 10 ชั่วโมง ท้องก็หิวแล้ว ผมจึงเดินออกไปหาของกินข้างนอก

จากนั้นก็กลับเข้ามาในห้อง หลังจากดูทีวีไปสักพัก ผมก็รู้สึกเบื่อมาก

ตอนนี้ก็ดันไม่อยากนอนอีก ผมจึงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงและทำตามที่อาจารย์สอน เริ่มฝึกเดินลมปราณ

แต่ผมพึ่งเริ่มหายใจ ก็รู้สึกแปลกๆ

ผมพบว่าที่จุดตานเถียนของตัวเองบวมขึ้น เหมือนกับมันขยายออก

เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ ผมก็ตกใจทันที ผมเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

นี่ นี่เห็นได้ชัดว่ามันคือตัวเชื่อมโยงสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาของสิ่งต่างๆ นี่เป็นลางบอกเหตุของการพัฒนาในขั้นต่อไป และเป็นเส้นทางที่ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ง่ายๆ

 

ผมดีใจ เริ่มหลับตาอีกครั้ง

ตอนนี้ผมเป็นนักพรตฝึกหัดที่มีพลังน้อยที่สุด การจะทำให้ถึงขั้นนักพรตผมก็ไม่ต้องผ่านเงื่อนไขที่ป่าเถื่อน

แค่ทำให้ลมปราณที่อยู่ในร่างมั่นคง เพียงเท่านี้ผมก็จะได้ตำแหน่งนั้นมาครองโดยอัตโนมัติ

ผมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง รับรู้ถึงลมปราณที่อยู่ในร่าง

อาชีพของพวกเรา การฝึกที่แท้จริงก็คือการฝึกลมปราณ

ถ้ามีพลังลมปราณมากพอ ก็จะใช้การเสกคาถา หรือวิชาอื่นๆก็จะมีผลตามไปด้วย

หลังจากหายใจเข้าออกประมาณสองสามครั้ง การไหลเวียนของอากาศที่เข้าไปในร่างโดยตรงถึงจะถูกต้อง

 

ตอนอาจารย์ถ่ายทอดวิธีนี้ให้กับผม บอกว่ามันง่ายมาก แต่เมื่อลองทำดู มันกลับยากมาก

หลังจากเริ่มทำมา 10 กว่าครั้ง จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า ผมพึ่งจะทำการเคลื่อนพลังตามที่เขาบอกสำเร็จ ผมก้าวข้ามอุปสรรคไปอีกขั้น

หลังจากผ่านจุดเปลี่ยนนั้นมาได้ ผมก็รู้สึกว่าอาการบวมที่จุดตานเถียนหายไป ลมปราณไหลไปทั่วร่างทันที จากนั้นผมก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว

ดูเหมือนร่างกายจะแข็งแรงมากขึ้น ทั้งร่างมีพลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ยึดตามชื่อที่อาชีพเราเรียก ตอนนี้ผมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่า “ ผู้มีปัญญา ” และก็คือ “ นักพรต ” นั้นเอง

ผมดีใจมาก ในฐานะที่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย การมีพลังแข็งแกร่งขึ้น เป็นสิ่งที่คนปราบสิ่งชั่วร้ายทุกคนต้องการและปรารถนา

 

ไม่อย่างนั้นถ้าแม้แต่ผีเร่ร่อนทั่วไปก็สู้ไม่ไหว แล้วจะเรียกคนปราบสิ่งชั่วร้ายได้ยังไง แถมยังเหมือนออกไปให้ผีไล่ฆ่าซะมากกว่า

เพราะความตื่นเต้นหลังจากพัฒนาได้ ทำให้ผมนอนไม่หลับ

จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หลังจากเปิดดูข้อความ ทันใดนั้นผมก็พบว่าแชทกลุ่มประถม มีข้อความคุยกันมากกว่า 99 ข้อความ

มันแปลกมาก ผมจึงเปิดดู

พบว่าด้านในคึกคักมาก ปกติเพื่อนร่วมชั้นที่เงียบกริบกลับเคลื่อนไหว พวกเขาดูสนุกสนานกันมาก

เมื่อผมเลื่อนขึ้นไปด้านบนสุด ก็พบว่าพวกเขานัดรวมตัวกัน เวลาที่กำหนดก็คือวันเสาร์นี้

 

และพบว่าในกลุ่มมีคนส่งข้อความที่มีรูปอั่งเปาแนบไว้สิบกว่าอัน เมื่อเปิดดูข้อความ ก็พบว่าเพื่อนส่วนใหญ่ชอบมันมาก

เมื่อคิดถึงเพื่อนในสมัยประถม ผมก็พบว่าตัวเองลืมไปซะส่วนใหญ่แล้ว นี่มันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เนื่องจากมิตรภาพระหว่างเพื่อน ทำให้ผมคิดว่าน่าจะไปร่วมได้

จึงพิมพ์ตอบตกลง จากนั้นก็มองมันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็กลับไปนอนต่อ

ผลลัพธ์เช้าวันรุ่งขึ้น ผมยังไม่ทันตื่นนอน เสียงโทรศัพท์ก็ทำให้ผมตื่น

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พบว่าเป็นเบอร์แปลก แต่ก็กดรับอย่างไม่แยแส “ ใครครับ ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง เสียงสดใสจากฝั่งนั้นก็ดังขึ้น “ ติงฝานใช่ไหม ! ฉันจางจึเทา เพื่อนตอนเรียนประถม ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ตื่นตัวทันที

 

เมื่อวานในกลุ่มเพื่อนประถม คนที่เริ่มนัดมาเจอกันก็คือเขา

“ เอ่อ ! ใช่ใช่ฉันเอง ไม่ได้คุยกันนานเลย ! ” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น

“ อือใช่ ! นายเห็นข้อความในกลุ่มแชทแล้วใช่ไหม ! เพื่อนนัดเจอกันวันเสาร์นี้ ที่โรงแรมไดนาสตี้ ! นายต้องมานะ เป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น ” จางจึเทาพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่ปฏิเสธ จึงตอบตกลงทันที จากนั้นพวกเราก็ยังคุยกันต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็วางสายไป

หลังจากนั้นผมก็ลุกจากเตียงไปแต่งตัว เห็นอาจารย์วางข้าวเช้าเอาไว้บนโต๊ะแล้ว และตอนนี้ก็กำลังทำตุ๊กตากระดาษอยู่

ผมไม่เกรงใจ ยกน้ำเต้าหู้มาดื่มสองสามอึก จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ เมื่อคืนผมพัฒนาขึ้นแล้ว ! ”

 

“ พัฒนาขึ้นแล้ว ” อาจารย์เงียบไปพักหนึ่ง

“ ใช่ ! ตอนนี้ผมเลื่อนขั้นเป็นนักพรตแล้ว ! ” ผมพูดด้วยความดีใจ

เมื่ออาจารย์ได้ยิน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ แกพูดจริงรึเปล่า ”

เมื่อผมเห็นอาจารย์ตกใจ จึงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

แต่ก็พยักหน้าให้ อาจารย์ยังเดินเข้ามาสำรวจตัวผมอีกแป๊บนึง

หลังจากพบว่าตัวผมพัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ ก็พยักหน้าให้รัวๆและพูดว่าใช่จริงๆ

และยังบอกว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาเข้ามาทำงานในสายนี้ ยังต้องใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆถึงจะพัฒนาขึ้นได้

 

คิดไม่ถึงว่าผมจะใช้เวลาเพียงสองเดือนกว่าๆก็จะพัฒนาได้แล้ว แถมยังบอกว่าผมมีพรสวรรค์ไม่เลวอะไรประมาณนั้น

นอกจากเรื่องนี้แล้ว อาจารย์ยังถ่ายทอดวิชาอีกบางส่วนให้กับผม

แต่พวกมันล้วนเป็นคาถาเล็กๆน้อยๆ ผมจึงไม่ค่อยชอบมัน แต่เมื่ออาจารย์สอนแล้ว ผมก็ต้องเรียน

ผ่านไปสองสามวัน ผมก็ใจเย็นลง

ปกติผมเอาแต่ฝึกวิชาอยู่ในบ้าน ฝึกเดินลมปราณ และออกไปสูบบุหรี่กับเฟิงเฉ่วหานบ้างบางครั้ง

ตามที่อาจารย์พูด เขาบอกว่าผมพึ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมา จำเป็นต้องฝึกพื้นฐานให้มั่นคง ดังนั้นผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน

 

ถ้าทำพื้นฐานให้แน่นแล้ว ต่อไปผมถึงจะสามารถพัฒนาในเส้นทางนี้ได้ไกลขึ้นอีก และสามารถต่อสู้กับวิญญาณชั่วที่ร้ายกาจได้มากกว่าเดิม

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง หลังจากได้พักมาสองสามวัน บาดแผลบนตัวของผมก็ดีขึ้นมาก

วันนี้เป็นวันที่เพื่อนนัดรวมตัวกัน ผมจึงตื่นเช้าเป็นพิเศษ

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็จัดทรงผมของตัวเอง และเมื่อวานยังออกไปซื้อรองเท้าหนังเสริมส้นมาเป็นพิเศษหนึ่งคู่

ทำตัวเองให้ดูสะอาดเรียบร้อย จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่เพื่อนนัดรวมตัวกันอย่างมีความสุข

แต่ใครจะไปรู้ว่าการไปอย่างมีความสุขของผม จะต้องกลับมาอย่างผิดหวังสุดๆ และยังต้องเจอกับปัญหา……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset