ตอนที่ 112 งานเลี้ยงรุ่น
ตอนที่ผมพูดชื่อจ้าวเสี่ยวม่านสามคำนี้ คนส่วนใหญ่ก็ตกตะลึงทันที
แต่ก็มีเพื่อนหลายคนได้สติกลับมา “ จ้าวเสี่ยวม่าน ไม่ใช่มั้ง ! เมื่อก่อนเธออ้วนจะตาย ! ”
“ ใช่แล้ว ! ตอนหลังเธอก็เปลี่ยนโรงเรียน ! บ้านฉันก็อยู่ตรงข้ามกับเธอ ! ”
“ …… ”
ทุกคนต่างถกเถียงกัน จ้าวเสี่ยวม่านเองก็ทักทายทุกคนด้วยความอบอุ่น
แต่เป็นเพราะเธอเรียนอยู่กับพวกเราแค่สองปี ดังนั้นมิตรภาพที่ทุกคนมีจึงไม่เหมือนกัน
ทุกคนพูดพล่ามกันไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ
ผมและเสี่ยวม่านหาที่นั่งลง ตอนนั้นก็ถึงเวลาเสริฟอาหารพอดี อาหารจานแล้วจานเล่าถูกวางลงบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง
ก่อนรับประทานอาหารผู้จัดอย่างจางจึเทาก็ลุกขึ้นมาพูดคุยกับทุกคนเล็กน้อย เป็นความรู้สึกต่อเพื่อนร่วมชั้นอะไรประมาณนั้น
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็ยกแก้วชนกันและดื่มหนึ่งอึก
อาหารเยอะแยะที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นอาหารที่หากินไม่ได้ในตำบลของพวกเรา
ตอนนี้ผมเองก็หิวแล้วด้วย จึงไม่สนภาพลักษณ์อีกต่อไป กินตามใจอยากของตัวเองทันที
เสี่ยวม่านเห็นผมกินอย่างตะกละตะกลาม เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ ติงฝาน นายหิวขนาดนั้นเลยเหรอ ”
ผมยิ้มอย่างลำบากใจ “ เมื่อวานเย็นฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยน่ะ ตอนนี้ก็เลยหิวสุดๆ ! ”
เสี่ยวม่านแสดงท่าทางพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็กินอาหารและคุยกับผมไปเรื่อยๆ
ทุกคนถามผมว่าหลายปีมานี้ผมทำอะไรอยู่ ที่จริงผมก็มีประสบการณ์ที่น่าสนใจมากมาย แต่ก็เล่าให้พวกเขาฟังสั้นๆเท่านั้น
ส่วนใหญ่ก็เรื่องหุ่นกระดาษ ดูฮวงจุ้ย แล้วก็ย้ายหลุมศพอะไรประมาณนั้น
เสี่ยวม่านเองก็ไม่ได้ตกใจกลัว และไม่ได้ดูถูกอาชีพของผม
เธอรู้สึกสนใจมัน เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ออกมา และถามเกี่ยวเรื่องอื่น
ผมเองก็อธิบายให้เธอฟังสั้นๆ ทำอาชีพแบบพวกเรา ศาสตร์ง่ายๆของฮวงจุ้ย จะต้องทำได้บ้างถึงจะดี
สุดท้าย เสี่ยวม่านก็พูดกับผมว่า “ …เป่า นายบอกว่านายกลายเป็นนักพรตแล้ว งั้นนายบอกฉันหน่อย บนโลกนี้มีผีไหม ”
จู่ๆก็ได้ยินเสี่ยวม่านถามถึงเรื่องนี้ ผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง
ตอนแรกอยากตอบว่า “ มี ” แต่คิดว่าถ้าทำแบบนี้จะทำลายมุมมองของเสี่ยวม่านเปล่าๆ ผมจึงกลืนมันลงไป
เสี่ยวม่านในตอนนี้ ไม่ใช่เด็กอ้วนที่ผมเล่นด้วยในสมัยก่อนอีกแล้ว
ตอนนี้เธอมีการศึกษาสูง ฐานะสูงส่ง และอยู่ในสังคมระดับสูง
ล้วนเป็นแนวหน้าของสังคมชนชั้นสูง ผมจึงคิดว่าไม่ควรทำให้เรื่องนี้ส่งผลต่อความคิดความเชื่อของเธอ
แต่ถ้าปฏิเสธ ผมก็รู้สึกผิดกับอาชีพของผม เพราะเจ้าสิ่งนี้มีอยู่จริงๆ เพียงแค่น้อยมากเท่านั้น
ชั่วชีวิตนี้ของคนจำนวนมาก ก็ไม่มีใครสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ ล้วนแล้วแต่ตายไปแล้วถึงได้รู้
ดังนั้นผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ เจ้าสิ่งนี้มันอยู่ที่คนจะเชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่มี ! ไม่เห็นต้องถามเลยนิ ”
เสียงของผมพึ่งลดลง เสี่ยวม่านยังอยากจะถามต่อ
แต่ตอนนั้นเอง เพื่อนผู้ชายสองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็เริ่มชวนเสี่ยวม่านดื่มเหล้า
ทำให้คำถามที่เสี่ยวม่านอยากจะพูดหายไป และเธอก็ไม่ได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เสี่ยวม่านเองก็คงไม่ค่อยถนัดเรื่องดื่มเหล้าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเพื่อนเก่าชวน เธอก็เลยดื่มนิดหน่อยเพื่อเป็นพิธี
ผลลัพธ์หลังจากดื่มไปสองแก้ว หน้าของเสี่ยวม่านก็เริ่มแดง
แต่ว่าหนึ่งในเพื่อนที่ชื่อจูกุ่ย ยังหน้าด้านชวนเสี่ยวม่านดื่มต่อ
ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่หลังจากนั้น เจ้านี้ก็เริ่มทะลึ่งขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ขอแลกที่นั่งกับเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเสี่ยวม่าน นอกจากมาดื่มกับเสี่ยวม่านแล้ว ยังพูดจาลามก และแกล้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจแตะต้องมือและขาของเสี่ยวม่าน
เสี่ยวม่านรู้สึกขยะแขยงมาก แต่ก็ไม่สามารถปัดป้องได้ เธอจึงขอแลกที่นั่งกับผม
ผมพึ่งแลกที่นั่งกับเธอ เจ้าเพื่อนที่ชื่อจูกุ่ยนี้ก็พูดกับผมอย่างเย็นชา “ เจ้าคนขายเงินกระดาษ แกไม่มีตารึไงฮะ ไม่เห็นเหรอว่าฉันกับเสี่ยวม่านดื่มกันอยู่ แกจะมานั่งตรงนี้ทำซากอะไรฮะ ”
ผมกลับไม่ได้โกรธ เพียงคลี่ยิ้มให้เขาเท่านั้น “ พี่กุ่ย เสี่ยวม่านไม่ไหวแล้ว ถ้านายยังอยากดื่ม ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนเอง ! ”
“นายจะดื่ม แกคิดว่าตัวเองเป็นตัวอะไรฮะ แค่คนขายเงินกระดาษ ทำธุรกิจกระจอกๆ ” สีหน้าของจูกุ่ยเปลี่ยนไปทันที และด่าผมตรงๆ
ตอนที่เจ้าเด็กนี้ยังเรียนอยู่ ก็เป็นแค่เด็กเกเรคนหนึ่ง
แต่ต่อมาพ่อของเขาเก็บเงิน ส่งให้เขาได้เรียนในมหาลัยชื่อดัง
แต่ไม่ว่ายังไงเจ้านี้ก็ไม่เอาถ่านเหมือนเดิม นอกจากกินดื่มเที่ยวผู้หญิงแล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นอีก
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้ยินว่า เขาไปต่อยตีกับคนข้างนอก จนต้องเข้าคุกถึงสองสามเดือน แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อของเขาที่ยัดสินบน เขาถึงได้ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด
เมื่อผมเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป และยังพูดจาแบบนี้ ผมก็รู้สึกโมโหมาก
อยากจะตบเจ้านี้จริงๆ คิดว่าเป็นใครกันฮะ
แต่รอบๆต่างมีเพื่อนนั่งอยู่ และตอนนี้เพื่อนส่วนใหญ่ก็กำลังมองอยู่ ผมเลยทำแบบนั้นไม่ได้
แต่มือของผมกลับเคลื่อนไหว กลายเป็นรูปดาบ
ผมย้ายมือไปที่ด้านหลังตรงจุด “ โพ่วฮู ” ( ระหว่างสะบักกับกลางหลัง ) ของเจ้าเด็กนี้อย่างเงียบๆ จุดนี้ถูกเรียกว่าจุดพัก ถ้ากดจุดนี้ จะสามารถทำให้คนสลบหรือนอนหลับได้
วินาทีที่ลงมือ ผมก็พูดออกมาเบาๆ “ พี่กุ่ย นายดื่มมากไปแล้ว ! ”
ผมฉีกยิ้มให้ การกระทำของผมเหมือนตบไปที่หลังของเขา แต่ที่จริงแล้วผมกำลังเคลื่อนพลัง และเตรียมจู่โจม
ทันใดนั้นจูกุ่ยก็คิดจะถือโอกาสคุยโว แต่ขณะที่กำลังจะพูด กลับถูกผมกดจุดเสียแล้ว
เขารู้สึกเจ็บที่หลัง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและหน้ามืด
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ดวงตาทั้งสองก็ปิด และเขาก็ฟุบลงไปกับโต๊ะอาหารทันที
ทันใดนั้นเมื่อคนที่อยู่รอบๆเห็นหัวของจูกุ่ยฟาดลงกับโต๊ะ ก็ตกใจกันทันที
ส่วนผมที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับแกล้งทำหน้าสงสัย “ พี่กุ่ย พี่กุ่ย ”
หลังจากพูดจบ ผมยังเขย่าตัวของเขาอีกสองครั้ง “ ไม่เป็นไร เขาแค่ดื่มเยอะไปหน่อยนะ ! ”
“ ไม่น่ามั้ง ! เหล้าแค่นี้ก็ทำให้เขาไม่ไหวแล้วเหรอ เจ้านี้ไม่ได้ประกาศตัวเองว่าดื่มพันแก้วก็ไม่เมาเหรอ ” เพื่อนอีกคนพูด จากนั้นก็เข้ามาดูเขาทันที
แต่ก็พบว่าจูกุ่ย “ หลับ ” ไปแล้วจริงๆ ไม่มีสาเหตุที่ไม่ชอบมาพากลเลยสักนิด จึงไม่ได้สนใจเขาอีก
ผมยังยิ้มให้ทุกคน เพราะขี้เกียจพูดมาก
ผลลัพธ์คือ จู่ๆเสี่ยวม่านกลับหันมามองผม เธอฉีกยิ้มกว้าง
พูดกับผมด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ …เป่า นายนี่ร้ายกาจจริงๆ ! โกหกตาไม่กระพริบเลยนะ ! ”
หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านยังทำมือเลียนแบบผมเมื่อกี้ ที่ด้านล่างของโต๊ะอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนเสี่ยวม่านจะเห็นผมแอบกดจุดจูกุ่ย ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วขึ้นและพยักหน้าให้เธอ แล้วจากนั้นก็ดื่มจนหมดแก้ว
ตอนนี้ทุกคนก็กินกันมาพอประมาณแล้ว และก็เริ่มแยกย้ายกันไปที่ต่างๆ
เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงรุ่น เป็นงานที่แบบจัด 1 วัน 1 คืน
ดังนั้นหลังจากกินอาหารเสร็จ จูกุ่ยก็ถูกเพื่อนที่สนิทกันพากลับไปที่ห้อง
ส่วนเพื่อนที่เหลือก็ยังอยู่ด้วยกัน ภายใต้การนำของผู้จัดงานจางจึเทา พวกเราเล่นเกมไพ่หมาป่าฆ่าคนในห้องจัดงานเลี้ยง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน
เกมนี้สนุกไม่เบา ทุกคนต่างเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน
ภายใต้การใช้ไหวพริบและการพูดคุยอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เวลาในช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ จูกุ่ยก็ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง
พวกเรากินดื่นกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นก็ร้องคาราโอเกะ
แต่คอผมไม่ค่อยดี เลยร้องเพลงผิดคีย์ตลอด
แต่เสี่ยวม่านกลับร้องได้เพราะมาก จนกลายเป็นดาวเด่นของวันนี้ไปเลยละ
หลังจากนั้นประมาณห้าทุ่ม ผมและเสี่ยวม่านก็รู้สึกค่อนข้างเหนื่อย
ผมสองคนจึงปลีกตัวออกมา ขณะกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง ก็เดินคุยเล่นกันตลอดทาง
แต่ผมสองคนพึ่งออกจากลิฟต์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง “ อร๊าย… ”
บนทางเดินที่เงียบสงบ เสียงนี้จึงฟังดูร้ายแรงผิดปกติ
ผมขมวดคิ้ว รีบตามหาต้นเสียงทันที
ทันใดนั้นบนทางเดินที่ห่างออกไป มีพนักงานคนหนึ่งกำลังนั่งอึ้งอยู่บนพื้น ตัวสั่นนั่งติดกับผนัง มองไปที่ห้องๆหนึ่ง
“ คุณเป็นอะไร ” ผมถามด้วยความสงสัย ในเวลาเดียวกันก็เดินเข้าไปกับเสี่ยวม่าน
แต่พนักงานคนนั้นกลับมีสีหน้าซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว
เมื่อได้ยินเสียงผม เธอก็ชี้ไปที่ห้องตรงหน้าอย่างช้าๆ พูดกับผมด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “ คน คน คนตาย…… ”