ศพ – ตอนที่ 113 คนตาย

ตอนที่ 113 คนตาย

เมื่อได้ยินว่ามีคนตาย หน้าของผมก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที

เพราะมันเกี่ยวข้องกับอาชีพ ดังนั้นเมื่อผมได้ยินว่ามีคนตายจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตกใจเลยสักนิด กลับกันยังอยากเข้าไปดูว่าเกิดออะไรขึ้นกันแน่

และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ คนที่พักอยู่ในชั้นนี้ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของพวกเรา

ดังนั้นผมจึงหันไปพูดกับเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างๆว่า “ เสี่ยวม่าน เธอรอฉันตรงนี้นะ ! ”

หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้เสี่ยวม่านตอบกลับ ผมก็เดินเข้าไปในห้องแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ห้องที่อยู่ในชั้นนี้ต่างเปิดออกมาดู

ส่วนใหญ่คนพวกนี้ต่างใส่ชุดนอน หน้าตาง่วงซึม

 

แต่พนักงานคนนั้น ยังคงหวาดกลัว จึงพูดแต่คำเดิมๆ “ คน คน คนตาย คนตาย…… ”

เมื่อคนส่วนมากได้ยินคำพูดนี้ ก็ต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวทันที

แต่ก็ยังใจกล้า ลองเดินออกมาดู

ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินมาถึงประตูของห้องนั้นแล้ว

แต่ผมพึ่งมาถึงประตู ก็ต้องตกใจทันที

เพราะผมเห็นภายในห้อง มีกองเลือดไหลนองอยู่กับพื้น

และบนกองเลือดนั้น ก็มีชายเปลื่อยเปล่าคนหนึ่งนอนอยู่

 

หน้าของชายคนนั้นแสดงถึงความหวาดกลัว ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมาที่ประตู ร่างกายนอนราบอยู่กับพื้น

แต่สิ่งที่ทำให้คนกลัวมากกว่านั้นก็คือ ที่หน้าอกของเขา ถูกคนฉีกออก จนเป็นรูโบ๋ ขนาดใหญ่ ราวกับถูก

ควกหัวใจออกไป

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมไม่ได้กลัว แต่กลับรู้สึกตกใจมาก

เพราะคนตายไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือจูกุ่ยเพื่อนสมัยประถมของผม

ในขณะที่ผมกำลังตกตะลึง เสี่ยวม่านก็วิ่งเข้ามา

ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “ อร๊าย! จูกุ่ย ! ”

เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวม่าน ผมก็หันไปมองทันที

 

สถานที่ที่มีนองเลือดแบบนี้ ถ้าผู้หญิงมาเห็นเข้า จะต้องกลายเป็นปมฝังลึกอยู่ในจิตใจอย่างแน่นอน

ดังนั้นผมจึงลากแขนเสี่ยวม่านออกมา “ บอกว่าอย่าเข้ามา เธอยังจะเข้ามาทำไม ! เลิกมองได้แล้ว มันมีแต่เลือด ! ”

เสี่ยวม่านทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก “ ทำ ทำไมเขาตายแล้วละ ”

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูด ผมก็ตอบกลับอีกครั้ง “ เขาน่าจะถูกคนฆ่า ! ”

เมื่อเสียวม่านได้ยินสิ่งที่ผมพูด ก็ตกตะลึงทันที มองหน้าผมด้วยความตกใจ

“ เขาถูกคนฆ่า ”

ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆที่อยู่ในชั้นนี้ก็ออกมาดู

 

หลังจากเห็นภาพการตายของจูกุ่ย ทุกคนต่างก็พูดวิพากวิจารณ์ และตกใจจนอธิบายไม่ได้

“ จูกุ่ยไม่ได้นอนหลับอยู่ดีๆเหรอ ทำไมถึงถูกคนฆ่าได้ละ ”

“ ใครจะไปรู้ละ ! เจ้านี้คอยแต่พึ่งพาเงินของพ่อ ทำเรื่องชั่วไปก็ไม่น้อย นี่ก็คงเป็นการแก้แค้นละมั้ง ! ”

“ ใช่คงไม่ผิดแน่ จะต้องมีคนบุกมาแก้แค้นแน่ๆเลย ”

“ …… ”

ช่วงเวลานั้น เพื่อนจำนวนมากต่างถกเถียงกันขึ้นมา

แต่ผมยังแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างนั้น

 

เพราะเมื่อกี้ นอกจากผมจะพบว่าจูกุ่ยนอนตายอยู่ในกองเลือดแล้ว ผมยังรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

นั้นก็คือตอนที่ผมอยู่ในห้องจูกุ่ย ผมรู้สึกถึงพลังชั่วร้าย และที่คอของจูกุ่ย ผมยังเห็นรอยกัดที่รุนแรงของอะไรบางอย่าง เหมือนกับถูกสัตว์กัดคอ

เบาะแสสองอย่างนี้ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย

แต่ปัญหาคือ สถานที่แห่งนี้มีพลังของคนไหลเวียนอยู่อย่างคลุ้มคลั่ง พลังหยางหนาแน่นขนาดนี้

แล้วจะมีอะไรช่วยให้เจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้ มาฆ่าคนถึงที่นี่ได้ละ

เพราะคิดไม่ออก ดังนั้นหลังจากพูดปลอบใจเสี่ยวม่านเสร็จ ผมก็หันไปมองศพของจูกุ่ยอีกครั้ง

 

ตอนนี้ที่หน้าประตูเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ผมจึงต้องแหวกผู้คนเข้าไป สังเกตรอบๆห้องให้ละเอียดอีกครั้ง

แต่เพื่อความแน่ใจ ว่าในห้องยังมีพลังชั่วร้ายหลงเหลืออยู่ไหม ผมจึงหยิบขวดแก้วเล็กๆออกมาอย่างเงียบๆ และป้ายน้ำตาวัวไปที่เปลือกตาทันที

หลังจากเปิดตา ผมก็ลองมองไปที่ศพและห้องอีกครั้ง แล้วก็พบว่าในห้องมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา

ตอนนี้ในห้องของจูกุ่ย มีไอสีเหลืองอ่อนอยู่

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่คือพลังชั่วร้ายที่หลงเหลือไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

ดูเหมือนการตายของเจ้านี้ จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว เรื่องนี้จะต้องมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาเกี่ยวข้องแน่

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ภายใต้ตาแห่งสวรรค์ ที่ร่างของจูกุ่ย ยังมีจุดสีเหลืองอยู่เป็นจำนวนมาก

 

นี่มันแปลกแล้ว ทำไมบนตัวศพถึงมีจุดสีเหลืองปรากฎอยู่ได้

และยังต้องใช้ตาสวรรค์เท่านั้น ถึงจะมองเห็น

มีบางอย่างกวนใจผม แต่ผมก็มั่นใจว่ามันต้องใช่

นี่ไม่ใช่การฆาตกรรมแบบธรรมดาๆ เขาจะต้องถูกวิญญาณชั่วสังหารแน่

ผมรู้สึกแย่กับจูกุ่ยมาโดยตลอด ตอนกินข้าวเที่ยง เขาก็ทำให้ผมอารมณ์เสียมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นมีเพื่อนอยู่เยอะ ผมคงทำเป็นคนไม่รู้จักกันไปแล้ว

แต่ ผมคิดว่าการตายของจูกุ่ย ผมก็มีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบ

อย่างแรกคือ ผมทำให้จูกุ่ยนอนหลับ ถ้าผมไม่ทำให้เขานอนหลับ หรือทำให้เขาปลีกตัวออกมาเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

 

อย่างที่สอง ในฐานะเพื่อน และคนปราบสิ่งชั่วร้าย ผมมีหน้าที่สืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริง

เพราะสองสาเหตุนี้ ทำให้ผมตัดสินใจค้นหาฆาตกรตัวจริงให้จูกุ่ย และแก้แค้นให้กับเขา

ความเป็นความตายของคน ไม่ใช่เรื่องที่สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้จะควบคุมได้

และคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา ก็ต้องรักษาความจริงในเรื่องนี้ให้สืบต่อไปในภายภาคหน้า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับตาสวรรค์

ขอแค่เจ้าสิ่งชั่วร้ายนั้นเข้ามาใกล้แถวนี้ ผมก็จะสามารถตามพลังชั่วร้ายสีเหลืองอ่อนนั้นและหาตัวฆาตกรเจอ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็เดินออกมาจากฝูงชน และมาถึงข้างตัวเสี่ยวม่าน

 

เสี่ยวม่านไม่ได้เป็นคนขี้ขลาดอย่างที่ผมคิด ตอนนี้เธอกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว

เมื่อเห็นผมกลับมา เธอก็พูดกับผมทันที “ …เป่า เมื่อกี้นายพูดว่าจูกุ่ยถูกใครฆ่านะ ”

เมื่อผมได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ ใครจะไปรู้ละ ! ตอนนี้มันดึกมากแล้ว เธอรีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ ! ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย ”

“ นายยังจะออกไปเดินข้างนอกอีกเหรอ ที่นี่มีคนถูกฆ่านะ ! นายออกไปคนเดียวมันอันตรายมากเลยนะ ” เสี่ยวม่านพูดด้วยความตกใจ

แต่ผมกลับยิ้มให้เธอเล็กน้อย “ เธอลืมแล้วเหรอ ฉันเป็นนักพรต แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยชอบเจ้าจูกุ่ยเท่าไหร่ แต่ก็เคยเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน ฉันจะออกไปเปิดทางให้เขาน่ะ…… ”

 

เมื่อเสี่ยวม่านได้ยินผมพูดแบบนี้ เธอก็เบิกตากว้างจ้องผมทันที และพูดว่า “ อ่อ ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

หลังจากนั้น ผมก็เดินไปส่งเสี่ยวม่านที่ห้อง

ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกมา ก็แปะยันต์เอาไว้ที่หัวเตียงของเธอหนึ่งแผ่น

เสี่ยวม่านไม่รู้จักของสิ่งนี้ เธอจึงถามผมว่านี่คืออะไร

แต่ผมก็ไม่อธิบายอะไรมาก เพียงบอกว่าคนรอบข้างพึ่งตาย มันเอาไว้ใช้คุ้มครอง และผมบอกให้เธออย่าแกะออก

หลังจากพูดจบ ผมก็บอกลาเสี่ยวม่าน จากนั้นก็ลงมาจากตึกทันที

พึ่งออกมาจากลิฟต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงแล้ว

 

ผมไม่ได้สนใจ นอกจากที่ห้องโถงแล้ว ผมก็ใช้ตาสวรรค์ตรวจดูรอบๆ

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวผมจึงชัดเจนขึ้นมาก

และผมก็มองไปในอากาศ จับสัมผัสไอสีเหลืองอ่อนๆนั้น

มันบางมาก ราวกับเส้นใยบางๆ

และไอสีเหลืองอ่อนนี้ กลับตรงไปที่ป่าทางเหนือของโรงแรม !

ทางนั้นมืดมาก มองไปแทบไม่มีแสงไฟบนถนนอยู่เลย

ผมไม่กล้าชักช้า กลัวว่าอีกเดี๋ยว พลังชั่วนี้จะจางหายไป

 

และเมื่อถึงตอนนั้น ผมก็คงหาฆาตกรตัวจริงได้ยากแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบไล่ตามมันไปทันที

จากพลังชั่วสีเหลืองอ่อน ทำให้ผมวิ่งเข้ามาในป่าแห่งหนึ่ง

ที่นี่อากาศเย็นสบาย มีลมเย็นๆพัดเข้ามาเบาๆ

แต่ตอนนี้เป็นฤดูร้อนดังนั้นอากาศก็ควรจะร้อน แต่เมื่อผมเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ รอบๆก็ยิ่งเงียบ และไม่มีเสียงแมลงแม้แต่ตัวเดียว

พลังสีเหลืองอ่อนนั้น ก็ค่อยๆเข้มขึ้นทีละนิด

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ สิ่งที่ทำให้คนใจสั่นที่สุดคือ มันทำให้คนรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset