ศพ – ตอนที่ 119 บ้านเสี่ยวม่าน

ตอนที่ 119 บ้านเสี่ยวม่าน

ไม่ได้เจอเสี่ยวม่านมาหลายปี เธอถึงกับทำให้ผมแปลกใจมาก

ไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้นที่ผมจำไม่ได้ แม้แต่ฐานะของเธอ ก็ยังดูแตกต่างจากผมราวฟ้ากับเหว

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่ายชวนไปที่บ้านของเธอ ผมจึงรู้สึกสงสัยอีกครั้ง “ เสี่ยวม่าน เธอไม่ได้บอกว่าอยู่ที่เมืองถัดไปเหรอ แม้แต่ที่นี่ เธอก็ยังมีบ้านด้วยเหรอ ”

หลังจากเสี่ยวม่านฟังผมพูดจบ กลับทำปากมุ่ย “ แม่มีบ้านอยู่ที่นี่สองสามหลัง ต่อไปฉันก็จะมาทำงานที่เมืองนี้ ฉันก็เลยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ถ้านายมีเวลาว่างก็มาเที่ยวหาฉันได้นะ ! ”

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านตอบกลับแบบนั้น ผมก็เป็นใบ้ไปสักพัก

 

สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา การมีบ้านแค่หนึ่งหลัง ก็ต้องเป็นหนี้ไปทั้งชีวิตแล้ว

แต่เสี่ยวม่านพูดว่าอะไรนะ ครอบครัวเธอมีบ้านอยู่ที่นี่สองสามหลังงั้นเหรอ นี่มันต้องภูมิใจถึงขนาดไหนเนี่ย

แต่หลังจากนั้นผมถึงรู้ว่า เสี่ยวม่านกลัวทำให้ผมตกใจ จึงพูดจาให้ฟังดูธรรมดาๆ

แต่ทนายจางที่อยู่ข้างๆกลับมองเราสองคนพร้อมกับรอยยิ้มที่ยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม และในเวลาเดียวกัน เสี่ยวม่านก็หันไปพูดกับทนายจางว่า “ พี่จาง รบกวนคุณอีกแล้ว ! คุณกลับไปก่อนนะ ! ”

เสี่ยวม่านสุภาพมาก เมื่อทนายจางได้ยินแบบนั้น กลับแสดงท่าทางที่จริงจังและเคารพมาก “ คุณหนูล้อเล่นแล้วครับ ! ช่วยทำงานให้คุณและท่านประธานต่ง เป็นหน้าที่ของผมครับ ในเมื่อธุระของคุณหนูเสร็จแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ! ”

 

ขณะที่พูด ทนายจางก็กำลังจะเดินออกไป

แต่วินาทีนั้น ผมกลับนึกขึ้นได้ว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ถูกพาตัวมาด้วยกัน

เธอเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ และยังตกเป็นเหยื่ออีกด้วย

ดังนั้นผมจึงรีบพูดกับทนายจางว่า “ ช้าก่อนทนายจาง ! ”

จางเป่าเจี่ยนก็หยุดในทันที จากนั้นก็หันมามองผม “ ไม่ทราบว่าคุณติงฝานยังมีธุระอะไรอีกรึเปล่าครับ ”

“ เอ่อ เอ่อคือเป็นแบบนี้ คนที่ถูกพาตัวมากับผมยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคน ชื่ออู่ฮุ่ยฮุ่ย เธอก็เป็นผู้บริสุทธิ์ คุณช่วย พาเธอออกมาด้วยได้ไหมครับ ” ผมพูดด้วยความรู้สึกเกรงใจ

แต่จางเป่าเจี่ยนไม่ได้ตอบกลับทันที เขาหันไปมองทางเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างๆ

 

เสี่ยวม่านกลับกลอกตาให้ผม “ เธอไปตั้งนานแล้ว ตอนที่พี่จางกำลังทำเรื่องให้กับนายนั่นแหละ ”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านก็หันไปพูดกับทนายจางอีกครั้ง “ พี่จาง คุณกลับไปเถอะ ! ”

“ ครับ คุณหนู ! ” จางเป่าเจี่ยนพูดด้วยความเคารพ จากนั้นก็เดินออกไปทันที

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมายาวๆ

ที่แท้อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ไปตั้งนานแล้ว ทันใดนั้นใจของผมก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย

แต่เสี่ยวม่านกับเหล่ตาและยิ้มให้ผม “ ยัยนั้นเป็นอะไรกับนาย ถึงได้เป็นห่วงเธอนัก ”

“ ไม่ได้เป็นอะไรกัน ก่อนหน้านี้เคยเจอกันครั้งนึงก็เท่านั้น ! และก็ตอนที่พวกเราถูกพาตัวมา ก็ได้เจอกันพอดี ! ได้คุยกันไม่กี่ประโยค สุดท้ายก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แล้วก็ถูกพาตัวมาที่นี่ ” ผมพูดพร้อมกับเกาหัว

 

อารมณ์ของเสี่ยวม่านเองก็ไม่ได้แปรปวนมากนัก แค่ส่งสัญญาณบอกให้เดินไปข้างหน้า ไปนั่งคุยที่บ้านของเธอ แถมมันยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจอีกด้วย

ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร เธอเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน 10 กว่าปีแล้ว แถมตอนนี้ผมก็เหนื่อยมากแล้ว เข้าไปนั่งพัก รู้จักบ้านเธอเอาไว้หน่อยก็ดี

ดังนั้น ผมจึงเดินตามเสี่ยวม่านออกมาจากสถานีตำรวจ จากนั้นพวกเราก็เดินไป คุยไป

ผมถามเสี่ยวม่านว่าทำไมรู้ว่าผมถูกพามาที่สถานีตำรวจ เสี่ยวม่านก็บอกว่าตอนที่ผมกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยถูกพาออกมา เธอเห็นผมสองคนพอดี

ต่อมาก็ถามตำรวจที่อยู่ข้างๆ เขาบอกว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัย จึงถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจ

 

ก่อนหน้านี้ ผมและเสี่ยวม่านนั่งร้องเพลงอยู่ห้องส่วนตัวนั่นตลอด เป็นธรรมดาที่เธอจะรู้ว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นเธอจึงโทรหาทนายจาง บอกให้เขาเข้าไปประกันตัวผมที่สถานีตำรวจภายในคืนนี้

หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ผมก็รู้สึกขอบคุณเสี่ยวม่านมาก

ตอนเด็ก บ้านของเสี่ยวม่านจนมาก พ่อก็เป็นคนขี้เหล้า และแม่ของเธอก็ขี้เกียจมากๆ

ถึงแม้ว่าในกระเป๋าจะมีลูกอมอยู่สองเม็ด เธอก็ยังไม่ยอมกินให้หมด แต่กลับเลือกที่จะแบ่งให้กับผมหนึ่งเม็ด

คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เธอก็ยังดีกับผมเช่นเดิม

แต่นอกจากนี้แล้ว ตอนนี้ผมยังรู้สึกสนใจครอบครัวของเสี่ยวม่านมาก คิดว่าครอบครัวของเสี่ยวม่านจะต้องเป็นมหาเศรษฐีหลายพันล้านแน่ๆ

 

จึงถามเสี่ยวม่านว่าครอบครัวของเธอทำอะไร ทำไมถึงได้มีทนายและยังดูเคารพเธอมากขนาดนี้ แถมยังเรียกเธอว่า “ คุณหนู ” ราวกับอยู่ในครอบครัวคนรวย

แต่เสี่ยวม่านกลับยิ้มเล็กน้อย “ นี่เป็นเพราะพี่จางทำงานในบริษัทของบ้านฉัน ดังนั้นพี่จางจึงเรียกฉันแบบนั้น ! ”

“ เสี่ยวม่าน แม่ของเธอทำอะไร บริษัทใหญ่ขนาดไหน ” ผมพูดด้วยความสงสัย

เสี่ยวม่านหลี่ตามองผม ก็ไม่ใหญ่มากนะ !

หลังจากพูดจบ พวกเราก็ไม่ได้คุยกันต่อ

ผมเห็นท่าทางเสี่ยวม่านไม่อยากพูด ผมจึงไม่ถามเธออีก

 

ถึงจะยังรู้สึกสงสัย แต่สิ่งสำคัญคือ ผมได้เจอเพื่อนเล่นตอนเด็ก จึงเป็นเรื่องที่น่าดีใจเป็นพิเศษ

ดังนั้นจึงถามว่าทางด้านงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนๆเป็นยังไงบ้าง เสี่ยวม่านก็พูดว่าเพราะการตายของจูกุ่ยเพื่อนส่วนใหญ่ เลยรู้สึกไม่ดี หลังจากให้ปากคำเสร็จ ก็ออกไปจากที่นั้นทันที……

ดังนั้นเพื่อนที่มางานก็ต่างแยกย้ายกันไปทั้งแบบนี้ ตอนมาก็มาด้วยความสุขแต่พอตอนกลับดันได้กลับไปพร้อมความผิดหวังซะงั้น

สีของท้องฟ้าไม่ค่อยมืดอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว

ผมสองคนคุยกันมาเรื่อยๆ จนเสี่ยวม่านมายืนหยุดที่หน้าประตูบานเล็กๆบานหนึ่ง

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ยัยเพื่อนตัวแสบเอาอีกแล้ว เพราะผมเห็นบ้านสวนขนาดใหญ่

และที่นี่ยังเป็นที่ดินทำเลทอง พื้นดินแห่งขุมทรัพย์ชัดๆ

 

เสี่ยวม่านไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพาผมเข้าไปข้างใน ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงบ้านของเธอ

ตอนนี้สถานที่ที่เธอพักนอกจากจะทำเลดีแล้ว บ้านก็หลังใหญ่มาก แถมยังมีหลายชั้น

การตกแต่งไม่หรูหรามากนัก เป็นแบบทันสมัยและเรียบง่ายมาก และสิ่งของภายในบ้านก็ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบมากๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่มาบ้านของผู้หญิง ผมจึงรู้สึกมือเท้าสั่นทำอะไรไม่ถูก

แม้แต่นั่งลงที่โซฟาก็ยังรู้สึกเขิน เสี่ยวม่านริมชาให้ผม และบอกให้ผมพักผ่อน ส่วนเธอจะไปทำโจ๊กมาให้

ผมขยับตัวเล็กน้อย และพูดว่า “ โอเค ”

 

จากนั้นเสี่ยวม่านก็เข้าไปในครัว ผมยกชาขึ้นมาดื่มสองอึก มองสำรวจรอบๆสองสามครั้ง จากนั้นก็ลุกไปเดินดูรอบๆ

บ้านกว้างขวางมาก ในบ้านมีตู้ปลาขนาดใหญ่ ระเบียงขนาดใหญ่ และยังปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้หลายกระถาง

แต่ขณะที่ผมกำลังมองดูรอบๆ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู

“ ก๊อกก๊อกก๊อก ! ”

เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตู ผมก็หันไปมองที่ประตูด้วยความสงสัย

เสี่ยวม่านเองก็เช็ดมือ เดินออกจากห้องครัวทันที “ นั่นใคร ”

ผลลัพธ์เสียงพึ่งเงียบลง ข้างนอกก็มีเสียงผู้หญิงพูดว่า “ ลูกนี่แม่เอง แม่มาหาลูกแล้ว ! ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและเสี่ยวม่านก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในใจกลับตื่นกลัวขึ้นมา

ฉิบหายละ ครั้งแรกที่มาบ้านผู้หญิงก็ได้เจอแม่เขาเลยเหรอวะ

มองไปที่เสี่ยวม่านอีกครั้ง แต่เธอกลับทำหน้าหวาดกลัว

ตอนนี้ ผมสองคนมองหน้ากัน อีกฝ่ายต่างมองเห็นสีหน้าที่หวาดกลัวของกันและกัน

“ ก๊อกก๊อกก๊อก ! ลูกรีบเปิดประตู ! ”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสี่ยวม่านกลับดูทำอะไรไม่ถูก เธอก็พูดกับผมว่า “ …เป่า รีบ รีบไปซ่อนเร็ว ”

“ รีบไปซ่อนงั้นเหรอ ” ผมค่อนข้างงง

 

ถึงผมจะตื่นเต้นมาก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ! แค่เจอคุณป้า ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนิ

ผลลัพธ์เสี่ยวม่านกลับรีบพูด “ ฉันบอกให้นายไปซ่อนก็ไปซ่อนซิ ! ถ้าให้แม่ฉันเห็นนายอยู่กับฉันในบ้านตามลำพังละก็ เธอต้องเป็นบ้าแน่ ! และจะต้องฉีกฉันเป็นชิ้นๆแน่ ”

ผมตกใจในใจ มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดต่อ เสี่ยวม่านกลับผลักหลังของผม พาผมไปทางห้องครัวทันที !

เมื่อเห็นเสี่ยวม่านเป็นถึงขนาดนี้ ผมก็ไม่พูดอะไรไร้สาระแล้ว !

 

ซ่อนอยู่ในห้องครัว แอบอยู่ที่ประตูหลัง โดยไม่ขยับตัวไปไหนทันที

หลังจากนั้นเสี่ยวม่านก็ปิดประตู บอกให้ผมห้ามพูดอะไร และเดินออกไปเปิดประตูทันที

“ แกร๊กๆ ” ประตูเปิดออกเรียบร้อย

ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงโมโหดังขึ้น “ ลูก ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เปิดประตูซะที ดูซิ ว่าแม่พาใครมาด้วย…… ”

เสียงพึ่งเงียบไป ผมก็ได้ยินเสียงพูดสั่นๆของเสี่ยวม่าน “ แม่ แม่ แม่พาคนมาด้วยเหรอ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset