ศพ – ตอนที่ 121 เรื่องด่วน

ตอนที่ 121 เรื่องด่วน

เมื่อผมเห็นเฟิงเฉ่วหานโทรมา ก็ไม่คิดอะไรมาก กดรับสายทันที

“ นายอยู่ที่ไหน ” เฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความรีบร้อน

“ พึ่งลงรถ ยังไม่ได้กลับบ้านเลย ! ” ผมตอบกลับ

ผลลัพธ์เฟิงเฉ่วหานกลับพูดออกมาตรงๆ “ อย่ากลับบ้าน พวกเราต้องรีบไปในเมือง ! ”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็งงทันที แสดงสีหน้าสงสัย

ไปในเมือง ตอนนี้จะไปทำอะไรในเมือง หยางเฉ่วจะมาไม่ใช่เหรอ

ทันใดนั้น ผมก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ ไปในเมืองทำไม อีกเดี๋ยวหยางเฉ่วจะมาหาไม่ใช่เหรอ ”

 

“ เธอมาไม่ได้แล้ว เพื่อนของเธอกำลังมีปัญหา บอกให้พวกเราสองคนไปช่วยเธอ ! และยังบอกว่าเธอโทรหานายแต่นายไม่รับ ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดต่อ

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ขมวดคิ้วทันที

เมื่อกี้ตอนอยู่บนรถ ผมนอนหลับไป เลยไม่ได้สนใจโทรศัพท์

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ เธอมีปัญหาอะไร ”

“ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่บอกให้พวกเราไปช่วย ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดต่อ ในเวลาเดียวกันก็บอกให้ผมไปรอเขาที่สถานีขนส่ง

แต่หลังจากก้มมองสภาพตัวเอง ที่ใส่รองเท้าแตะ เสื้อผ้าโสโครกๆ ยันต์ก็มีติดตัวอยู่เล็กน้อย จะไปช่วยเธอทั้งอย่างนี้เหรอ

 

ดังนั้นผมจึงบอกให้เฟิงเฉ่วหานรอผมอีกหน่อย ผมต้องกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอาวุธ และบอกอาจารย์ก่อน

หลังจากพูดจบ ผมก็วางสายทันที

มองที่โทรศัพท์ ผมก็เห็นว่าหยางเฉ่วโทรมา 2 สายและเสี่ยวม่านอีกหนึ่งสาย

เพราะหยางเฉ่วเจอเรื่องยุ่งอย่างกระทันหัน ดังนั้นผมจึงไม่ได้โทรกลับไปหาเสี่ยวม่าน

และไม่ได้ชักช้าลีลา ผมรีบตรงไปที่ร้านทันที และต้องเตรียมอาวุธที่คิดว่าจะใช้อย่างรวดเร็วด้วย

เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็พบว่าอาจารย์อยู่ข้างนอกอยู่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าประตู

“ อาจารย์ ! ” ผมทักทายอาจารย์

 

เมื่อเห็นผมใส่รองเท้าแตะ และกลับมาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด ก็ถามผมทันที “ เอ๊ะแกไม่ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นเหรอ ทำไมใส่รองเท้าแตะกลับมาละ ”

เมื่อคิดถึงเรื่องงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ ผมก็รู้สึกหดหู่มาก

เพื่อนตายยังไม่พอ ยังโดนจับไปสอบปากคำ แถมได้เจอกับตาผีขององค์กรอีก

แล้วจะทำให้ผมรู้สึกยินดีได้ยังไง แต่ยังไงก็ได้เจอกับเสี่ยวม่านล่ะนะ !

ตอนนี้จะมาเล่าให้ฟังนานๆไม่ได้ ผมจึงพูดกับอาจารย์ตรงๆ “ อย่าพูดถึงมันเลย งานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้มีคนถูกฆ่า ! ”

อาจารย์เลิกคิ้ว “ อะไรนะ มีคนถูกฆ่า ”

 

ผมเข้ามาในบ้านเรียบร้อย “ ใช่ เพื่อนคนหนึ่งของผม เป็นสมาชิกองค์กรชั่วนั้น ! ”

เมื่ออาจารย์ได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบถามต่อ

ด้านของเฟิงเฉ่วหานร้อนใจมาก ส่วนผมก็ไม่มีเวลามาอธิบายและเล่าให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียด

ทำได้เพียงทั้งเปลี่ยนชุด และเล่าให้อาจารย์ฟังสั้นๆ

สุดท้ายผมก็ใช้ผ้าพันแผลที่หัวไหล่อย่างง่ายๆ ใช้รองเท้า และจุดธูปให้มู่หลงเหยียน นำอาวุธทั้งหมดที่หยิบมา เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนอาจารย์ ก็เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงมาก

คิดไม่ถึงว่าหลายวันมานี้ ผมจะต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกในองค์กรติดๆกัน

 

ดูแล้วเหมือนมันล้อมรอบไปด้วยอันตราย ทำให้เขากลัวมาก

ตอนนี้ยังได้ยินผมบอกว่าจะออกไปทำธุระอีก จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของผม เขาก็ยอมโบกมือให้

บอกให้ผมทำอะไรระวังๆ อย่าใจร้อนทำอะไรไม่คิด

ถ้าจัดการไม่ได้ ก็โทรศัพท์มาหาเขา……

หลังออกมาจากร้าน ก็ซื้อของกินข้างนอกอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ไปที่สถานีขนส่งทันที

เฟิงเฉ่วหานมาถึงแล้ว ตอนนี้เขากำลังรอผมอยู่

เมื่อเห็นผมเดินเข้ามา ก็โบกมือให้ผม และเดินขึ้นไปบนรถตู้สีดำทันที

 

หลังจากที่ผมขึ้นมาบนรถ เฟิงเฉ่วหานก็รีบบอกให้คนขับรถออกรถอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางรีบร้อนมาก

เพราะคุยกันในรถไม่ค่อนสะดวก ผมจึงถามเขาเบาๆ “ เรื่องด่วนมากเลยเหรอ ”

เฟิงเฉ่วหานกลับขมวดคิ้ว “ ค่อนข้างจัดการยาก รอให้เราไปถึงแล้วค่อยคุยเถอะ ! ”

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็ไม่พูดอีกเลย ผมเองก็ไม่ถามต่อ

เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ดังนั้นหลังจากคุยกับเฟิงเฉ่วหานเสร็จ ผมก็นอนหลับคอพับบนรถไปทันที

เมื่อผมลืมตามาอีกครั้ง ก็พบว่ามาถึงแล้ว

ผมหาวออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มองดูข้างนอก พบว่าที่นี่คือชานเมือง แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

 

แต่ผมก็ไม่ได้คิดมาก เปิดประตูรถ และเดินลงมาทันที

ผมพึ่งลงมาจากรถ ก็เห็นหยางเฉ่วยืนอยู่ข้างถนนแล้ว

หยางเฉ่วยังคงใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น เผยให้เห็นรูปร่างที่เซ็กซี่ ทำให้คนเห็นเลือดสูบฉีดทันที

แต่ผมก็ไม่ได้มีความคิดอย่างอื่น หันไปมองรอบๆตัว และก็พูดกับหยางเฉ่วว่า “ หยางเฉ่ว นี่มันที่ไหน ”

หยางเฉ่วแสดงสีหน้าจริงจัง “ นี่คือชานเมืองของเมืองหลี่เฉิงหนาน ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง เฟิงเฉ่วหานก็ลงมาจากรถ ทันใดนั้นรถตู้ก็ขับออกไปทันที

ที่นี่จึงเหลือแค่พวกเราสามคน ผมไม่พูดอ้อมค้อมอีก พูดตรงเข้าประเด็นในทันที

“ หยางเฉ่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ” ผมขมวดคิ้ว พูดด้วยความสังสัย

 

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินคำถามนี้ ก็ดูเหมือนจะยังกลัวอยู่ จึงแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถึงพูดว่า “ มีผีทารก ! ”

“ อะไรนะ ผีทารก ” สีหน้าของผมเปลี่ยนไปอย่างแรง หลุดปากพูดออกมาทันที

ผีทารก นี่ไม่ใช่เรื่องตลก

เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ถ้ามีเจ้าสิ่งนี้ออกมา จะต้องมีเหตุและผล และผลที่ตามมานั้นก็แย่มาก

แม้แต่การตัดสินใจก็ทำให้เดือดร้อนได้ หรืออาจเกี่ยวข้องกับอายุขัยก็ยังเป็นไปได้

เพราะการก่อตัวของผีทารก เกิดจากการสร้างขึ้นของมนุษย์ และต้องมีแรงแค้นที่มหาศาลมาก

ปกติแล้วจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะชั่วช้าสามานย์อย่างสุดขีด และโหดร้ายอย่างผิดปกติ

 

นอกจากนี้ผีทารกมีความสามารถพิเศษที่ผีร้ายจำนวนมากไม่มี นั้นก็คือพวกมันสามารถเติบโตได้ เหมือนกับคน แต่มันเร็วกว่าเยอะมาก

ถ้าเจอแต่เนิ่นๆ ก็จะได้ส่งวิญญาณหรือไม่ก็กำจัดทิ้งได้

แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานเข้า เจ้าสิ่งนี้ก็จะกลายเป็นเด็กอายุ 4-6 ขวบ

และถ้ายังคิดจะกำจัดพวกมัน ระดับความยากก็จะไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป แถมสิ่งที่ต้องจ่ายและผลกระทบที่ตามมาก็จะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

หยางเฉ่วแสดงสีหน้าหนักใจ เหมือนจะเดาความรู้สึกตกใจที่อยู่ในใจของผมออก

 

เธอพยักหน้าเล็กน้อย “ ใช่ เป็นผีทารกไม่ผิดแน่ ! และเมื่อวานฉันก็ได้ไปยืนยันด้วยตัวเองมาแล้ว มันมีความอาฆาตแรงมาก ฉันคนเดียวไม่สามารถจัดการได้ ”

เมื่อกี้ผมยังรู้สึกง่วงอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เหมือนถูกน้ำเย็นๆสาดใส่ รู้สึกตื่นไปทั้งตัวเลยทีเดียว

ผมขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถามว่า “ เจ้านั้นอายุเท่าไหร่แล้ว ”

หัวใจของหยางเฉ่วเต้นตุบๆ “ น่าจะ น่าจะโตได้สองสามขวบแล้ว ! ”

พระเจ้า นี่โตจนสองสามขวบแล้วเหรอ ผมอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เห็นได้ชัดว่าผมกำลังกลัวมากๆ

ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมหยางเฉ่วถึงรีบเรียกพวกเรามา สำหรับพวกเราสามคนแล้ว

การคิดจะสู้กับผีทารกสองสามขวบนั้น ไม่มีใครกล้าพูดว่าจะจัดการด้วยตัวคนเดียวได้

 

“ มันอยู่ที่ไหน ” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมา

“ อยู่ในบ่อน้ำบ้านเพื่อนฉัน ! ป่ะ ตอนนี้ฉันจะพาพวกนายไปดู ” หยางเฉ่วพูดต่อ จากนั้นก็ชี้ไปที่กระท่อมเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

ผมกับเฟิงเฉ่วหานมองตากัน พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินประกบซ้ายขวาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด

ในเวลาเดียวกัน หยางเฉ่วก็เล่าเรื่องที่เธอเจอให้กับผมและเฟิงเฉ่วหานฟัง……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset