ตอนที่ 121 เรื่องด่วน
เมื่อผมเห็นเฟิงเฉ่วหานโทรมา ก็ไม่คิดอะไรมาก กดรับสายทันที
“ นายอยู่ที่ไหน ” เฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความรีบร้อน
“ พึ่งลงรถ ยังไม่ได้กลับบ้านเลย ! ” ผมตอบกลับ
ผลลัพธ์เฟิงเฉ่วหานกลับพูดออกมาตรงๆ “ อย่ากลับบ้าน พวกเราต้องรีบไปในเมือง ! ”
เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็งงทันที แสดงสีหน้าสงสัย
ไปในเมือง ตอนนี้จะไปทำอะไรในเมือง หยางเฉ่วจะมาไม่ใช่เหรอ
ทันใดนั้น ผมก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ ไปในเมืองทำไม อีกเดี๋ยวหยางเฉ่วจะมาหาไม่ใช่เหรอ ”
“ เธอมาไม่ได้แล้ว เพื่อนของเธอกำลังมีปัญหา บอกให้พวกเราสองคนไปช่วยเธอ ! และยังบอกว่าเธอโทรหานายแต่นายไม่รับ ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ขมวดคิ้วทันที
เมื่อกี้ตอนอยู่บนรถ ผมนอนหลับไป เลยไม่ได้สนใจโทรศัพท์
เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ เธอมีปัญหาอะไร ”
“ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่บอกให้พวกเราไปช่วย ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดต่อ ในเวลาเดียวกันก็บอกให้ผมไปรอเขาที่สถานีขนส่ง
แต่หลังจากก้มมองสภาพตัวเอง ที่ใส่รองเท้าแตะ เสื้อผ้าโสโครกๆ ยันต์ก็มีติดตัวอยู่เล็กน้อย จะไปช่วยเธอทั้งอย่างนี้เหรอ
ดังนั้นผมจึงบอกให้เฟิงเฉ่วหานรอผมอีกหน่อย ผมต้องกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอาวุธ และบอกอาจารย์ก่อน
หลังจากพูดจบ ผมก็วางสายทันที
มองที่โทรศัพท์ ผมก็เห็นว่าหยางเฉ่วโทรมา 2 สายและเสี่ยวม่านอีกหนึ่งสาย
เพราะหยางเฉ่วเจอเรื่องยุ่งอย่างกระทันหัน ดังนั้นผมจึงไม่ได้โทรกลับไปหาเสี่ยวม่าน
และไม่ได้ชักช้าลีลา ผมรีบตรงไปที่ร้านทันที และต้องเตรียมอาวุธที่คิดว่าจะใช้อย่างรวดเร็วด้วย
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็พบว่าอาจารย์อยู่ข้างนอกอยู่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าประตู
“ อาจารย์ ! ” ผมทักทายอาจารย์
เมื่อเห็นผมใส่รองเท้าแตะ และกลับมาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด ก็ถามผมทันที “ เอ๊ะแกไม่ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นเหรอ ทำไมใส่รองเท้าแตะกลับมาละ ”
เมื่อคิดถึงเรื่องงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ ผมก็รู้สึกหดหู่มาก
เพื่อนตายยังไม่พอ ยังโดนจับไปสอบปากคำ แถมได้เจอกับตาผีขององค์กรอีก
แล้วจะทำให้ผมรู้สึกยินดีได้ยังไง แต่ยังไงก็ได้เจอกับเสี่ยวม่านล่ะนะ !
ตอนนี้จะมาเล่าให้ฟังนานๆไม่ได้ ผมจึงพูดกับอาจารย์ตรงๆ “ อย่าพูดถึงมันเลย งานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้มีคนถูกฆ่า ! ”
อาจารย์เลิกคิ้ว “ อะไรนะ มีคนถูกฆ่า ”
ผมเข้ามาในบ้านเรียบร้อย “ ใช่ เพื่อนคนหนึ่งของผม เป็นสมาชิกองค์กรชั่วนั้น ! ”
เมื่ออาจารย์ได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบถามต่อ
ด้านของเฟิงเฉ่วหานร้อนใจมาก ส่วนผมก็ไม่มีเวลามาอธิบายและเล่าให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียด
ทำได้เพียงทั้งเปลี่ยนชุด และเล่าให้อาจารย์ฟังสั้นๆ
สุดท้ายผมก็ใช้ผ้าพันแผลที่หัวไหล่อย่างง่ายๆ ใช้รองเท้า และจุดธูปให้มู่หลงเหยียน นำอาวุธทั้งหมดที่หยิบมา เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนอาจารย์ ก็เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงมาก
คิดไม่ถึงว่าหลายวันมานี้ ผมจะต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกในองค์กรติดๆกัน
ดูแล้วเหมือนมันล้อมรอบไปด้วยอันตราย ทำให้เขากลัวมาก
ตอนนี้ยังได้ยินผมบอกว่าจะออกไปทำธุระอีก จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของผม เขาก็ยอมโบกมือให้
บอกให้ผมทำอะไรระวังๆ อย่าใจร้อนทำอะไรไม่คิด
ถ้าจัดการไม่ได้ ก็โทรศัพท์มาหาเขา……
หลังออกมาจากร้าน ก็ซื้อของกินข้างนอกอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ไปที่สถานีขนส่งทันที
เฟิงเฉ่วหานมาถึงแล้ว ตอนนี้เขากำลังรอผมอยู่
เมื่อเห็นผมเดินเข้ามา ก็โบกมือให้ผม และเดินขึ้นไปบนรถตู้สีดำทันที
หลังจากที่ผมขึ้นมาบนรถ เฟิงเฉ่วหานก็รีบบอกให้คนขับรถออกรถอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางรีบร้อนมาก
เพราะคุยกันในรถไม่ค่อนสะดวก ผมจึงถามเขาเบาๆ “ เรื่องด่วนมากเลยเหรอ ”
เฟิงเฉ่วหานกลับขมวดคิ้ว “ ค่อนข้างจัดการยาก รอให้เราไปถึงแล้วค่อยคุยเถอะ ! ”
หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็ไม่พูดอีกเลย ผมเองก็ไม่ถามต่อ
เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ดังนั้นหลังจากคุยกับเฟิงเฉ่วหานเสร็จ ผมก็นอนหลับคอพับบนรถไปทันที
เมื่อผมลืมตามาอีกครั้ง ก็พบว่ามาถึงแล้ว
ผมหาวออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มองดูข้างนอก พบว่าที่นี่คือชานเมือง แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
แต่ผมก็ไม่ได้คิดมาก เปิดประตูรถ และเดินลงมาทันที
ผมพึ่งลงมาจากรถ ก็เห็นหยางเฉ่วยืนอยู่ข้างถนนแล้ว
หยางเฉ่วยังคงใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น เผยให้เห็นรูปร่างที่เซ็กซี่ ทำให้คนเห็นเลือดสูบฉีดทันที
แต่ผมก็ไม่ได้มีความคิดอย่างอื่น หันไปมองรอบๆตัว และก็พูดกับหยางเฉ่วว่า “ หยางเฉ่ว นี่มันที่ไหน ”
หยางเฉ่วแสดงสีหน้าจริงจัง “ นี่คือชานเมืองของเมืองหลี่เฉิงหนาน ! ”
เสียงพึ่งเงียบลง เฟิงเฉ่วหานก็ลงมาจากรถ ทันใดนั้นรถตู้ก็ขับออกไปทันที
ที่นี่จึงเหลือแค่พวกเราสามคน ผมไม่พูดอ้อมค้อมอีก พูดตรงเข้าประเด็นในทันที
“ หยางเฉ่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ” ผมขมวดคิ้ว พูดด้วยความสังสัย
เมื่อหยางเฉ่วได้ยินคำถามนี้ ก็ดูเหมือนจะยังกลัวอยู่ จึงแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถึงพูดว่า “ มีผีทารก ! ”
“ อะไรนะ ผีทารก ” สีหน้าของผมเปลี่ยนไปอย่างแรง หลุดปากพูดออกมาทันที
ผีทารก นี่ไม่ใช่เรื่องตลก
เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ถ้ามีเจ้าสิ่งนี้ออกมา จะต้องมีเหตุและผล และผลที่ตามมานั้นก็แย่มาก
แม้แต่การตัดสินใจก็ทำให้เดือดร้อนได้ หรืออาจเกี่ยวข้องกับอายุขัยก็ยังเป็นไปได้
เพราะการก่อตัวของผีทารก เกิดจากการสร้างขึ้นของมนุษย์ และต้องมีแรงแค้นที่มหาศาลมาก
ปกติแล้วจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะชั่วช้าสามานย์อย่างสุดขีด และโหดร้ายอย่างผิดปกติ
นอกจากนี้ผีทารกมีความสามารถพิเศษที่ผีร้ายจำนวนมากไม่มี นั้นก็คือพวกมันสามารถเติบโตได้ เหมือนกับคน แต่มันเร็วกว่าเยอะมาก
ถ้าเจอแต่เนิ่นๆ ก็จะได้ส่งวิญญาณหรือไม่ก็กำจัดทิ้งได้
แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานเข้า เจ้าสิ่งนี้ก็จะกลายเป็นเด็กอายุ 4-6 ขวบ
และถ้ายังคิดจะกำจัดพวกมัน ระดับความยากก็จะไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป แถมสิ่งที่ต้องจ่ายและผลกระทบที่ตามมาก็จะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
หยางเฉ่วแสดงสีหน้าหนักใจ เหมือนจะเดาความรู้สึกตกใจที่อยู่ในใจของผมออก
เธอพยักหน้าเล็กน้อย “ ใช่ เป็นผีทารกไม่ผิดแน่ ! และเมื่อวานฉันก็ได้ไปยืนยันด้วยตัวเองมาแล้ว มันมีความอาฆาตแรงมาก ฉันคนเดียวไม่สามารถจัดการได้ ”
เมื่อกี้ผมยังรู้สึกง่วงอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เหมือนถูกน้ำเย็นๆสาดใส่ รู้สึกตื่นไปทั้งตัวเลยทีเดียว
ผมขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถามว่า “ เจ้านั้นอายุเท่าไหร่แล้ว ”
หัวใจของหยางเฉ่วเต้นตุบๆ “ น่าจะ น่าจะโตได้สองสามขวบแล้ว ! ”
พระเจ้า นี่โตจนสองสามขวบแล้วเหรอ ผมอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เห็นได้ชัดว่าผมกำลังกลัวมากๆ
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมหยางเฉ่วถึงรีบเรียกพวกเรามา สำหรับพวกเราสามคนแล้ว
การคิดจะสู้กับผีทารกสองสามขวบนั้น ไม่มีใครกล้าพูดว่าจะจัดการด้วยตัวคนเดียวได้
“ มันอยู่ที่ไหน ” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมา
“ อยู่ในบ่อน้ำบ้านเพื่อนฉัน ! ป่ะ ตอนนี้ฉันจะพาพวกนายไปดู ” หยางเฉ่วพูดต่อ จากนั้นก็ชี้ไปที่กระท่อมเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
ผมกับเฟิงเฉ่วหานมองตากัน พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินประกบซ้ายขวาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด
ในเวลาเดียวกัน หยางเฉ่วก็เล่าเรื่องที่เธอเจอให้กับผมและเฟิงเฉ่วหานฟัง……