ศพ – ตอนที่ 123 วางแผน

ตอนที่ 123 วางแผน

ผมก้มลงไปมองครั้งเดียว แต่ก็ไม่เห็นอะไร

แต่กลับสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่ลอยขึ้นมา นั้นเป็นความรู้สึกหนาวเย็น จนทำให้ขนลุกได้

แม้ว่าจะมองไม่เห็นเจ้าสิ่งนั้น แต่เด็กที่ตายคนนั้นจะต้องอยู่ข้างในนี้แน่ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าคิดจะจัดการเด็กคนนี้ พวกเราจะลงไปไม่ได้ ต้องล่อเขาออกมาเท่านั้น

เพราะบ่อน้ำนี้ลึกมาก ถ้าพวกเราเซ่อๆซ่าๆตกลงไป ก็คงพูดได้ว่าอันตรายมากๆ

หลังจากที่ทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานเหล่านี้แล้ว  ผมก็ถอยหลังไปอีกด้านหนึ่ง หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ในเวลาเดียวกันก็สังเกตรอบๆสวนหย่อม และบริเวณรอบๆบ้านหลังนี้

 

รอบๆบ้านหลังนี้มีแต่บ้านเก่าๆตั้งอยู่ แทบจะไม่มีผู้คนอาศัย  เพราะคนส่วนมากต่างย้ายไปอยู่ในเมืองกันหมด

ดังนั้นรอบนี้จึงมีต้นไม้เล็กๆขึ้น เมื่อลองมองดูบนถนน ก็แทบมองไม่เห็นเลยสักนิด

ตอนนี้ เฟิงเฉ่วหานก็เดินเข้ามา

เห็นผมสำรวจรอบๆอยู่ จึงพูดว่า “ มีความคิดดีๆรึยัง ”

เมื่อผมเห็นเฟิงเฉ่วหานถาม ก็ตอบกลับเบาๆ “ ก็ไม่เชิง ถ้าพวกเราต้องการจัดการเด็กที่ตายอยู่ในบ่อนน้ำ จะต้องล่อเขาออกมา จากนั้นก็ใช้วิธีอะไรก็ได้จัดการเขา ! และ…… ”

“ และอะไร ” เฟิงเฉ่วหานถาม

ผมเลิกคิ้ว “ และฉันไม่อยากฆ่าผีเด็กนั้นเลยจริงๆ ! ”

 

“ ทำไม ” เฟิงเฉ่วหานถามต่อ พร้อมท่าทางที่เหมือนเดิม

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ “ จริงๆแล้ว ความผิดมันไม่ได้เกิดจากตัวเด็ก และเด็กคนนั้นยังไม่เคยฆ่าคน ฉันอยากลองคุยดู ! ”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “ ลองดูก็ได้ แต่ฉันว่ามันยากมาก ! ”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และไม่คุยกันต่ออีก

จากนั้น หยางเฉ่วและจูจูก็เดินเข้ามา

เพราะจูจูเป็นแม่ของผีทารก ดังนั้นคืนนี้จูจูจะต้องอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นผีทารกนั้นจะต้องคิดวิธีไปหาเธอเองแน่

ถ้าปล่อยให้มันไป ชีวิตของจูจูจะตกอยู่ในอันตราย

 

ดังนั้นก่อนที่จะจัดการผีทารกตนนี้ได้ จูจูจะต้องอยู่ข้างๆพวกเราตลอด

ผ่านไปแค่แป๊บเดียวก็มาถึงช่วงเที่ยงวันแล้ว ในบ้านของจูจูไม่มีอะไรให้กินได้มากนัก เหลือแค่พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและบิสกิตเท่านั้น

พวกเราสองสามคนจึงกินเท่าที่มี หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ

เพราะร่างกายของจูจูอ่อนแอ เธอจึงเดินเข้าไปพักในห้อง

พวกเราสามคนที่อยู่ด้านนอก กลับนั่งคุยกันถึงวิธีรับมือกับผีทารก

ตอนนี้มีคนพอแล้ว ดังนั้นวิธีแก้ไขก็ง่ายขึ้น

จูจูเป็นแม่ของเด็กที่ตาย ขอแค่ใช้สถานะนั้นของจูจูให้ดี ก็น่าจะล่อผีทารกนั้นออกมาได้ง่ายๆแล้ว

 

ถ้าผีทารกออกมาจากบ่อน้ำแล้ว พวกเราสามคนวิ่งไปล้อมเอาไว้ ขอแค่จับตัวมันได้ อะไรๆก็ง่ายแล้ว

ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องลงมือ ฆ่าผีทารกตนนั้น

แม้ว่าการเกิดของผีทารกจะเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และน่าเศร้ามาก แต่การมีอยู่ของเขา จะส่งผลกะทบกับผู้คน และเข้ามาในขอบเขตของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

ถ้าไม่กำจัดเขา เขาก็จะฆ่าคนอื่นๆอีก

หลังจากปรึกษากันเสร็จ ก็เป็นเวลาบ่ายสามแล้ว

เนื่องจากเมื่อวานไม่ได้นอนทั้งคืน และวันนี้ก็ยังต้องอดหลับอดนอนอีก ผมเองก็ยังไม่อยากใช้เวลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้พวกเขาฟัง จึงเดินไปหาที่พักผ่อน

เมื่อตื่นมาอีกครั้ง ฟ้าก็มืดแล้ว

 

ผมก้มมองดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ 2 ทุ่มแล้ว

แต่ตอนนี้จูจู กลับดูเหมือนกำลังกระวนกระวาย

ยังบอกว่าฟ้ามืดแล้ว เธอก็จะได้ยินเสียงแปลกๆจากบ่อน้ำ มันจึงทำให้เธอใจไม่ดี

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เวลายังไม่ดึกมาก หยางเฉ่วจึงบอกให้จูจูเข้าไปอยู่ในห้อง ส่วนพวกเราจะคอยเฝ้าด้านนอก

จูจูที่กำลังหวาดกลัว แต่เธอก็ให้ความร่วมมือมากๆ จึงเดินเข้าไปในห้องแต่โดยดี

เพราะฟ้าพึ่งมืดไม่นาน จึงไม่เหมาะกับการลงมือ

 

ดังนั้นทุกคนจึงนั่งอยู่ที่หน้าประตู แต่ก็ไม่มีอะไรทำ

แม้ว่าผมจะได้นอนไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกอยากหลับอีก

เมื่อหยางเฉ่วเห็นผมง่วงนอน ขอบตาดำคล้ำ แถมตอนนี้ยังดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เธอจึงพูดกับผมว่า “ ติงฝาน เมื่อคืนนายไปทำอะไรมา ทำไมเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวันเลย ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็แสดงรอยยิ้มที่ขมขื่น “ อย่าไปพูดถึงมันเลย เมื่อคืนเกือบตาย แถมยังโดนจับไปสอบสวนอีก ! ”

“ ฮะ ! ” หยางเฉ่วตกใจ

เฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมาตรงๆ “ นายไปงานเลี้ยงรุ่นไม่ใช่เหรอ ”

 

ผมถอนหายใจ “ ใช่ไปงานเลี้ยงรุ่น แต่พวกนายรู้ไหมว่าหนึ่งในหมู่เพื่อนของฉัน เป็นอะไร ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผมก็หยุดไปแป๊บหนึ่ง หลังจากเห็นแววตาที่ตื่นตกใจของหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานแล้ว ผมก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ เป็นสมาชิกในองค์กรตาผีนั้น ! ”

“ ไม่ใช่มั้ง ”

“ เกิดอะไรขึ้น ”

เห็นได้ชัดว่าหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานตกใจอย่างมาก ยังคิดว่าผมแค่พูดเล่น

แต่ผมกลับไม่พูดไร้สาระ นำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เล่าให้ทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

แน่นอน สำหรับเรื่องของเสี่ยวม่าน เป็นข้อยกเว้น

 

เมื่อทั้งสองคนได้ยินเรื่องนี้ ต่างอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

จากนั้นก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดว่า “ ถ้างั้น เพื่อนที่ชื่อจางจึเทาของนายก็ไม่ได้เป็นสมาชิกในองค์กรตาผีอย่างเดียว แต่เขายังหนีไปได้อีกด้วย ”

ผมแสดงสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็พยักหน้าให้ “ ไม่ใช่แค่หนีไปได้ เขายังรู้เรื่องของฉันทุกอย่าง รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ และบ้านของญาติๆของฉัน ! ”

“ ตามที่นายพูด งั้นในอนาคตก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะตามมาล้างแค้นนะซิ ! ”

“ อือ ! แต่ถ้าเจอ ฉันก็ไม่กลัวว่าเขาจะมาแก้แค้น แถมมาก็ยิ่งดี เพราะยังไงก็มีคนจัดการเขาแน่…… ”

 

ผมพูดออกมาเบาๆ แต่ในสมองกลับนึงถึงน้องศพและโจวหยุน

ผีสองตนนี้ไม่ใช่ผีที่ร้ายกาจธรรมดาๆ แต่เธอสองคนนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับองค์กรนั้น

ถ้าจางจึเทากล้ามาล้างแค้นผมที่ตำบลชิงฉือจริงๆ กลัวว่าพอถึงเวลานั้นเขาคงไม่มีทางกลับไปได้

แต่หลังจากที่ผมพูดจบ หน้าของเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วก็เต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่ากำลังรู้สึกสนใจกับคำว่า “ มีคนจัดการแน่ ” ที่ผมพูดออกมา

เมื่อผมเห็นอีกฝ่ายกำลังขยับปาก ก็รีบพูดเพิ่มทันที “ ชั่งเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงฉันก็มีวิธีรับมือ อีกเดี๋ยวก็จะสามทุ่มครึ่งแล้ว พวกเรามาจัดการผีเด็กนั้นให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเถอะ ! ”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็กลับมามีสติอีกครั้ง

 

ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ฟ้ามืดสนิท พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า

ถ้าลงมือตอนนี้ อาจสามารถล่อเด็กนั้นออกมาจากบ่อน้ำได้

ดังนั้น ทุกคนจึงเริ่มทำตามแผน

ตามที่วางแผนเอาไว้ พวกเราสามคนจะซ่อนอยู่ในบ้าน จากนั้นก็ให้จูจูเรียกเบาๆ ใช้ความเป็นแม่ ล่อเด็กคนนั้นออกมา

หลังจากเตรียมตัวเสร็จ หยางเฉ่วก็เข้าไปเรียกจูจูในห้อง

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จูจูกำลังตื่นกลัวมาก เหงื่อออกเต็มหน้าผาก

 

ทางด้านหยางเฉ่วก็ปลอบใจไม่หยุด “ จูจูอย่ากลัวไปเลย สบายใจได้ตะโกนสองสามครั้งเสร็จ ถ้าเรียกเจ้านั้นออกมาได้แล้ว พวกเราจะเป็นคนจัดการเขาเอง ! ”

จูจูรู้สึกหวาดกลัว “ หยาง หยางเอ๋อ เธอ เธอจะต้อง จะต้องปกป้องฉันนะ ! ”

หยางเฉ่วยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ วางใจได้ เธอเรียกฉันได้ตลอด ! ”

จูจูสูดหายใจเข้าลึกๆ แสดงท่าทางตกลง

จากนั้นหยางเฉ่วก็เข้าไปซ่อนกับผม ที่หลังโซฟา

ส่วนจูจู ก็เตรียมใจอยู่ครูหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆเดินออกมาจากห้อง

เธอมองไปที่บ่อน้ำอันนั้น แล้วตะโกนเรียกด้วยเสียงติดอ่างสองสามครั้ง “ ลูก ลูกจ๋า รีบ รีบออกมา หา หาแม่เร็ว แม่อยู่นี่แล้ว…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset