ศพ – ตอนที่ 124 เด็กตาย

ตอนที่ 124 เด็กตาย

ขณะที่จูจูเรียก เมื่อมองเข้าไปในความมืด มันก็ให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ในเวลานี้พวกเราทุกคนต่างเปิดตากันทันที เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ รอบๆบ่อน้ำมีหมอกจางๆลอยอยู่ นั้นก็คือพลังหยินที่ควบแน่น

ตอนนี้ทุกคนเคร่งเครียดกันสุดๆ ตัวใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ

หลังจากมองผ่านประตู พวกเราก็จ้องไปที่บ่อน้ำเก่านั้นอย่างไม่ละสายตา

แต่เสียงนี้ดูจะใช้ไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะในบ่อน้ำนั้น ยังเงียบกริบไม่มีอะไรขยับเลยสักนิด

จูจูรู้สึกค่อนข้างสับสน จึงหันมามองหน้าหยางเฉ่ว

 

เมื่อหยางเฉ่วเห็นจูจูหันมา ก็พยักหน้าให้เธอ ส่งสัญญาณให้ทำต่อไป

จูจูสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็พูดต่อ “ ลูก ลูกจ๋า รีบ รีบมาหาแม่ที่นี่ ! ”

เสียงนั้นฟังดูขมขื่นมาก แถมตัวของจูจูยังสั่นกลัว

แต่หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น ในที่สุดบ่อน้ำที่เงียบสงัดนั้นก็มีเสียงขึ้นมาเล็กน้อย

ทันใดนั้นในบ่อน้ำ ก็มีควันสีขาวระเบิดออกมา ราวกับปล่องไฟ

ไม่ใช่แค่นั้น ในเวลาเดียวกันในบ่อน้ำบ่อนั้นก็มีเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังขึ้น “ ฮึฮึฮึ…… ”

เสียงหัวเราะนั้นน่ากลัวมาก แถมยังดังชัดเจนมากๆ ทำให้คนที่ได้ยิน รู้สึกว่ามันผิดปกติสุดๆ

 

แต่จูจูที่ยืนอยู่หน้าประตู กลับถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจ

“ พรึบ ” สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็แสดงท่าทางหวาดกลัว ร่างกายเริ่มถอยไปข้างหลังอย่างอัตโนมัติ และพูดว่า “ เสียง เสียงนี้แหละ เขา เขามาแล้ว มาแล้ว…… ”

เมื่อเห็นจูจูหวาดกลัวขนาดนั้น หยางเฉ่วก็รีบปลอบเธอทันที “ จูจูไม่ต้องกลัว ทำตามที่พวกเราบอกก่อนหน้านี้ เธอจะไม่เป็นอะไร พวกเราอยู่ด้วยทุกคน ! ”

เพราะความกลัว ฟันของจูจูจึงกระทบกัน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังกลัวมาก

แต่สุดท้ายเหตุผลพวกนั้นก็บอกให้ เธอตะโกนต่อไป

จูจูสงบใจสักพัก ทำให้ใจของตัวเองไม่ประหม่าเหมือนก่อนหน้านี้

 

จากนั้นก็มองไปที่บ่อน้ำที่อยู่ไม่ไกล นำพาเสียงที่สั่นเคลือ ตะโกนต่ออีกครั้ง “ ลูก ลูกจ๋า รีบออกมา มา มาหาแม่ที่นี่ ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง ทันใดนั้นที่บ่อน้ำก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“ ฮึฮึฮึ แม่ แม่จ๋า ! ”

เสียงแหบแห้งสุดๆ ให้ความรู้สึกว่าคนพูดมีบาดแผลที่ลำคอ

จูจูเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ทรมานจิตใจแบบนี้มาก่อน

เนื่องจากได้เผชิญกับความกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า มองเห็นเด็กที่ตัวเองโยนลงไปต่อหน้าต่อตา และยังได้ยินเสียงเรียก “ แม่ ” อีก

 

สุดท้ายกำแพงที่ป้องกันจิตใจของจูจูก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เสี้ยววินาทีสุดท้ายมันก็พังทลายลงทันที

ทันใดนั้นสีหน้าของจูจูก็เปลี่ยนไป ความหวาดกลัวที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฎออกมา ม่านตาของเธอขยายใหญ่ กรีดร้อง “ อร๊าย… ” ออกมา

ขาทั้งสองข้างทรุดลง “ ปัก ” เธอล้มลงไปกับพื้นทันที ร่างกายสั่นเทา เธอหวาดกลัวจนถึงขีดสุด

เธอส่ายหัวไม่หยุด จ้องบ่อน้ำด้วยความหวาดกลัว ในปากยังพูดเสียงสั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง “ ไม่ ไม่ ไม่…… ”

พวกเราสามคนต่างซ่อนตัวอยู่หลังโซฟา แต่ตอนนี้ทำได้เพียงจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า และไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า

 

ทำได้เพียงรอให้ผีทารกที่อยู่ในบ่อปรากฎตัวก่อน พวกเราถึงจะทำอย่างอื่นได้

หลังจากที่จูจูล้มลงไปกับพื้นได้ไม่นาน ในบ่อน้ำนั่นก็มีควันสีขาวจางๆระเบิดออกมาอีกครั้ง

จากนั้น เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกก็ดังขึ้น “ ฮึฮึฮึ ! ”

หลังจากเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังขึ้น จู่ๆมือเล็กๆสีขาวซีด ก็โผล่ออกมาจากบ่อน้ำ จับลงตรงขอบบ่อทันที

แม้ว่ามือเล็กๆนั้นจะเล็กมาก และยกขึ้นมาไม่สูงมาก แต่ผมกลับเห็นฉากนี้อย่างชัดเจน

ร่างกายอดไม่ได้ที่จะแข็งทื่อ แม้แต่การหายใจก็ยังหยุดนิ่ง

 

ขณะเดียวกันก็ค่อยๆดึงดาบไม้ออกมา เตรียมเข้าไปจู่โจมเจ้าเด็กนั้นทันที

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็ทำเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะประหม่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ถูก

แต่คนที่เรียกผีทารกอย่างจูจูกลับต่างออกไป เดิมทีก็โดนเสียงหัวเราะที่สยดสยองนั้นทำให้หวาดกลัวอยู่แล้ว จู่ๆตอนนี้ก็มีแขนขาวซีดของเด็กโผล่ออกมา มันจึงทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยังไม่ถึงอึดใจเดียว เธอก็ตกใจจนสลบไปในทันที

เมื่อเห็นจูจูสลบไป พวกเราก็ยังไม่ขยับตัว ตอนนี้เด็กนั้นยังไม่เข้ามาในบ้าน พวกเราจึงทำได้แค่รอต่อไป

ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เด็กนั้นตกใจจนกลับเข้าไปในบ่อน้ำอีกครั้ง และสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ ก็จะสูญเปล่าทั้งหมด

 

พวกเราทำหน้าเครียด นั่งรอต่อไป

และหลังจากแขนขาวซีดนั้นยื่นออกมาจากบ่อ มืออีกข้างหนึ่งก็ค่อยๆขึ้นมา

แม้ว่ามือนั้นจะเล็ก แต่กลับมีเล็บที่แหลมคมประดับไว้

พร้อมกับเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก ศีรษะที่ไม่มีผม และอาบไปด้วยเลือดสีแดงสด ก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำทีละนิด

การเคลื่อนไหวช้ามาก และไม่เร็วขึ้นเลยสักนิด

แต่หลังจากที่พวกเราเห็นหัวนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ

เพราะหัวของเด็กที่ตาย เมื่อเทียบกับหัวเด็กอายุสองสามขวบแล้ว มันใหญ่กว่าถึงสองเท่า

 

หลังจากที่หัวอันบิ๊กบึ้มของเด็กโผล่ขึ้นมา ตา จมูก ปากของเขา ก็ค่อยๆปรากฎขึ้นต่อสายตาของพวกเรา

ตาของเขาใหญ่มาก กลมมาก แต่กลับเหมือนตาปลาตาย ไม่มีนัยน์ตา ไม่มีชีวิตชีวา และเป็นสีขาวโพน

จมูกของเขาเล็กมาก

แต่เมื่อเห็นปากของเด็กคนนี้ พวกเราก็อยู่ไม่สุขทันที

เพราะปากของเด็กคนนี้ ใหญ่โครตๆ

เป็นเหมือนกับที่หยางเฉ่วพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันใหญ่จนมาอยู่ที่ใต้ติ่งหู

ในปากมหึมานั้น มีฟันที่แหลมคนอยู่ข้างใน แต่ฟันนั้นดูเหมือนกับฟันของคนสูบบุหรี่ที่ทำเป็นชีวิตจิตใจ เพราะมันเป็นฟันสีดำสนิท

 

หัวที่ใหญ่โตของเด็กราวกับได้กินนมผงยี่ห่อซานลู่มากเกินไป แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ

ตอนนี้เขา กำลังจ้องเข้ามาในบ้าน ดวงตาทั้งสองข้างมองจูจูที่อยู่บนพื้นตาไม่กระพริบ

ปากมหึมานั้นแสยะยิ้มที่น่าขนลุก เผยให้เห็นฟันที่แหลมคม มีน้ำลายไหลออกมา และใช้ลิ้มสีแดงเลียปากของตัวเองเป็นครั้งคราว

ท่าทางแบบนั้น ทำให้คนที่มองอยู่ถึงกับขนลุก ในใจรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อก่อนเคยได้ยินเรื่องผีทารกมาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นผีทารกตัวเป็นๆ

เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมก็เหมือนมีเสียงกลองดังขึ้น

ขณะที่ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้อยู่ เด็กหัวโตที่กำลังแสยะยิ้ม ก็พูดออกมาอีกครั้ง “ แม่จ๋า แม่จ๋า หนูอยากกินนม…… ”

 

ถ้าประโยคนี้เป็นเด็กปกติอายุสองสามขวบพูด ก็คงทำให้คนมีความสุข

แต่เมื่อมันออกจากปากผีเด็กนี้ กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว……

และหลังจากที่ผีเด็กนั้นพูดจบ ทันใดนั้นเขาก็คลานออกมาจากบ่อน้ำ

ท่าทางราวกับค้างคก นั่งยองๆอยู่บนขอบบ่อ แลบลิ้นออกมา พร้อมกับน้ำลายที่ไหลย้อย ดวงตาจ้องไปที่หน้าอกของจูจูตาไม่กระพริบ

จากนั้น เขาก็คำราม “ โฮก ” ออกมา เท้าทั้งสองข้าง กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงไปข้างหน้าทีละก้าวๆ

ต่อมา แขนขาทั้งสี่ ก็คลานเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเด็กเข้ามาแล้ว ผมก็ทำหน้าเข้ม และพูดออกมา “ มาแล้วเหรอ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็จับดาบไม้ในมือให้แน่น พร้อมกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ส่วนผีเด็กกลับไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา กลับกันยังทำหน้าตื่นเต้น คลานเข้ามาอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม

เขาตรงไปที่จูจูทันที ขณะเดียวกันก็พูดออกมาไม่หยุด “ นม จ๊วบๆหนูจะกินนม……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset