ศพ – ตอนที่ 13 หลี่กวางหลง

ทันใดนั้นเมื่อผมเห็นชื่อของตัวเองอยู่ในโกศของชาวประมงคู่นี้ มันก็ทำให้ผมกลัวจนเหงื่อไหลไปทั้งตัว

นี่เป็นโถที่ใช้บรรจุเถ้ากระดูกของคนตาย แต่กลับนำชื่อและวันเดือนปีเกิดของผมใส่ลงไปในนี้ แล้วแบบนี้มันไม่เท่ากับการสาปแช่งผมอย่างงั้นเหรอ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมผีสองตนนั้นถึงได้จ้องเล่นงานผม ดูเหมือนนอกจากการเก็บศพต้องห้ามแล้ว ยังมีความลึกลับอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย

ผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เผยสีหน้าที่เคร่งเครียด “อาจารย์ ในโกศนี้มีชื่อผมอยู่ด้วย!”

ขณะที่พูด ผมก็หยิบหุ่นคนสีเหลืองออกมา แล้วส่งมันให้กับอาจารย์

 

อาจารย์เองก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “แม่งเอ้ย เป็นเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้เลย นอกจากชื่อแกแล้ว ยังมีชื่อของ

หลี่เหล่าซาน!”

“ชื่อของลุงซานก็มีอย่างงั้นเหรอครับ”

“ใช่ ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้ เบื้องหลังเรื่องนี้ จะต้องมีคนอยากทำร้ายแกอยู่แน่!” อาจารย์พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

จากนั้นเขาก็ขยำหุ่นคนสีเหลืองทั้งสองตัวให้เป็นก้อนเดียวกัน ด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น

“อาจารย์ คนนั้นเป็นใครกัน แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีครับ”

 

ผมรู้สึกอึ้งและเครียดมาก แต่ผมก็ไม่เคยไปทำให้ใครโกรธเคือง แล้วอยู่ดีๆจะมีใครอยากมาทำร้ายผมกับลุงซานได้ยังไง

และลุงซานก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมคนเดียว

ถ้าผมไม่ตาย คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ จะต้องเผยตัวออกมาแน่

อาจารย์มองมาที่ผมแล้วพูดว่า “ต้องบอกให้ยายโม่รู้ก่อน หลังจากทำเสร็จ พวกเราค่อยสืบว่าใครมันสมควรตายที่กล้ามาทำคุณไสยแบบนี้”

ผมพยักหน้ารับ จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็ลงมือทำต่อ

ทำตามที่ยายโม่พูด คือการขุดโกศออกมา จากนั้นก็ทำฟางยัดเข้าไปแทนเถ้ากระดูกของคู่สามีภรรยาชาวประมง

 

และสิ่งนี้เรียกว่าฟางลงอาคม หรือเรียกอีกชื่อว่าหุ่นฟาง

หลังจากใส่หุ่นฟางลงไป ขั้นสุดท้ายอาจารย์ก็ค่อยๆ วางมันกลับเข้าไปในหลุมศพอีกครั้ง

เพราะตำแหน่งของหลุมศพนี้อัปมงคลมาก ตามที่อาจารย์พูด ก็คือตำแหน่งแห่งแรงอาฆาต

ดังนั้นตอนที่พวกเรานำดินกลบ ทุกๆครึ่งเมตร จะต้องจุดธูปหนึ่งดอก

ทำงานมาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ภารกิจนำเถ้ากระดูกออกมาจากหลุมศพนี้ถึงสำเร็จลงได้

หลังจากพักอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเราก็เดินลงมาจากภูเขา

ระหว่างทาง ผมถามอาจารย์ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

อาจารย์กลับพูดว่า เรื่องนี้มีคนทำคุณไสย

 

บอกว่าการตายของชาวประมงสองคนนั้น อาจเป็นไปได้มากว่าพวกเขาถูกฆ่าตาย และไม่ได้เป็นเพราะกินมังกรเข้าไป

แต่นี่ยังไม่จบ หลุมฝังศพของสองสามีภรรยาชาวประมง ยังมีคนเล่นลูกไม้อีก

หลุมศพไม่เพียงอยู่ในตำแหน่งต้องห้าม โกศยังอยู่รวมกับซากงูหนูเน่าอีกด้วย มันยิ่งทำให้ผีชาวประมงคู่นี้มีพลังกล้าแข็งเข้าไปใหญ่

นี่คือเหตุผลว่าทำไมผีสองตนนี้ถึงใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถดุร้ายได้ถึงขนาดนี้

อาจารย์ยังบอกว่า สิ่งที่พวกเราต้องทำในขั้นต่อไป ก็คือหาคนที่เบื้องหลังเรื่องนี้ ทำให้รู้ความต้องการของอีกฝ่ายให้ชัดเจน

 

โจมตีในที่แจ้งมันหลบง่ายแต่ถ้าในที่ลับมันหลบยาก ถ้ายังหาเจ้านั้นไม่เจอ

ถึงพวกเราจะจัดการผีชาวประมงสองตนนั้นได้ แต่ในอนาคตก็จะถูกเล่นงานต่ออีกอยู่ดี

ตอนที่พวกเรากลับมาถึงร้าน ก็เป็นเวลาบ่าย 3 กว่าๆแล้ว

หลังจากนำโกศของชาวประมงสองคนไปตั้งที่แท่นบูชา อาจารย์ก็พาผมไปที่สุสาน

เพราะการมารับเถ้ากระดูก จะมีการลงบันทึกเอาไว้ และถ้าพวกเราไปถึงสุสานแล้วได้สิ่งนี้ พวกเราก็จะสามารถหาเบาะแสคนที่จ้องทำร้ายผมและลุงซานได้

 

เมื่อมาถึงสุสาน เหล่าฉินก็กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ในสวนหย่อมพอดี เขาดูว่างมาก

เมื่อเห็นผมและอาจารย์เดินเข้ามา เขาก็ลุกมาต้อนรับทันที

แต่อาจารย์ไม่มีพิธีรีตองอะไร เขาพูดตรงๆกับเหล่าฉิน “เหล่าฉิน เรื่องของเสี่ยวฝานเริ่มตึงมือมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ฉันมาหาของนิดหน่อย”

เมื่อเหล่าฉินได้ยิน เขาก็ตกใจทันที และเผยสีหน้าแปลกใจออกมา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

อาจารย์เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่หลุมศพ ตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังหนึ่งรอบ

เหล่าฉินพึ่งฟังจบ เขาก็โมโหขึ้นมา นำมือตบลงที่โต๊ะหินทันที

 

“แม่…ซิ ฉันจะรีบไปเอาสมุดลงทะเบียนมา แล้วอีกเดี๋ยวพวกเราค่อยออกไปคิดบัญชีกับไอ้หมอนั้น!”

หลังพูดจบ เหล่าฉินก็เดินตรงเข้าไปในห้อง

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว เหล่าฉินก็รีบนำสมุดลงทะเบียนออกมา

เขาโยนมันมาทางโต๊ะหิน จากนั้นก็ด่าออกมาตรงๆ “ตามที่ลงทะเบียนไว้ คนที่รับเถ้ากระดูกของสองสามีภรรยาหลี่กวางตี้ไป ก็คือน้องชายหลี่กวางหลง!”

เมื่อได้ยินหลี่กวางหลงสามพยางค์ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เพราะชายคนนี้เป็นผีพนันที่มีชื่อเสียงในตำบลของพวกเรา อะไรที่บ้านสามารถขายได้ ชายคนนี้ก็นำไปขายทั้งหมด

 

“หลี่กวางหลง” อาจารย์แสดงสีหน้าสงสัยออกมา

“ใช่ เป็นเขานี้แหละที่เอาเถ้ากระดูกไป แต่เจ้านี้มันเป็นแค่ผีพนัน เรื่องไสยศาสตร์พวกนั้น เจ้านี้มันทำไม่เป็นหรอก”

ผมจึงเปิดสมุดลงทะเบียนดูสักหน่อย จากนั้นก็พูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ “ผมไม่เคยพูดกับคนๆนี้เลยครับ แล้วเขาจะมาทำร้ายผมได้ยังไง”

“ฮึ! ไม่ว่าจะพูดยังไง เรื่องนี้มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่! ไป พวกเราไปหาเจ้านี้ เดี๋ยวถามก็จะรู้เองนั้นแหละ!” อาจารย์พูดออกมาตรงๆ

เหล่าฉินและผมจึงพยักหน้า รู้สึกอยากสืบให้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยังไงก็ต้องตามหาผีพนันหลี่กวางหลงคนนี้ให้เจอก่อนให้ได้

 

หลี่กวางหลงมีชื่อเรื่องผีพนัน ทางที่ดีที่สุดที่จะหาเขาเจอก็คงต้องเป็นที่โรงน้ำชา เพราะมันเป็นสถานที่เล่นพนัน

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าเดิมก็เกิดขึ้น ตอนที่พวกเราไปถึงโรงน้ำชา กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่กวางหลง

หลังจากที่สอบถามดู ก็พบว่าชายคนนี้ไม่ได้มา 4-5 วันแล้ว

ตอนนั้นพวกเราก็ไม่คิดอะไรมาก เมื่อหาที่เล่นพนันไม่เจอ พวกเราจึงตรงไปที่บ้านของเขา

บ้านของเขาอยู่ในตำบล และมันยังอยู่ไม่ไกล

 

เดินมาประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงประตูหน้าบ้านของหลี่กวางหลง ประตูใหญ่ปิดเงียบสนิท รอบๆยังไม่มีบ้านของคนอื่นตั้งอยู่

อาจารย์ตะโกนอยู่หน้าประตูสองครั้ง เคาะประตูอีกสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคนในบ้าน

ผมเริ่มรู้สึกสงสัย ตอนนี้ชายคนนี้คงไม่อยู่บ้าน แต่ทันใดนั้นผมก็ได้สัมผัสเข้ากับกลิ่นเน่าเหม็น

กลิ่นมันรุนแรงมาก แต่ผมมั่นใจว่า กลิ่นเน่าเหม็นนี้กำลังลอยออกมาจากในบ้าน

ผมกระตุกจมูกสองสามครั้ง และพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ทำไมบ้านนี้มันถึงได้เหม็นขนาดนี้เนี่ย!”

แต่เสียงพึงขาดหายลงเท่านั้น อาจารย์และเหล่าฉินก็เข้าไปใกล้อีกนิด กระตุกจมูกดมในบ้านสองถึงสามครั้ง

 

หลังจากที่ทั้งสองคนดมอย่างละเอียด “พรึบ” สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

เหล่าฉินพูดด้วยเสียงกดต่ำ “กลิ่นของศพ!”

ขณะที่พูด เท้าข้างหนึ่งของเขาก็ถีบไปที่ประตูใหญ่

ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ประตูใหญ่ที่ถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนาถูกถีบจนเปิดออก

สำหรับคนแก่ที่ทำงานในสุสานมาหลายสิบปี พวกเขาจะไวเป็นพิเศษต่อกลิ่นของคนตาย ดังนั้นเหล่าฉินจึงตัดสินใจได้อย่างแน่นอน

วินาทีที่ประตูใหญ่ถูกถีบออก ทันใดนั้นพวกเราก็พบว่า

 

พัดลมเพดานที่ติดตั้งไว้ในห้องโถงแห่งนี้ กำลังมีซากศพแขวนอยู่หนึ่งร่าง

ร่างเขาคนนั้นลำตัวแข็งทื่อ บนร่างมีบริเวณหลายแห่งบวมออกมาและบางแห่งมีการเน่าเปื่อย รอบๆคอมีเชือกผูกรัดเอาไว้ และตอนนี้มันทะลุเข้าไปในเนื้อหนังแล้ว

ภาพแบบนั้นมันน่าสยดสยองมาก และชวนให้คนที่เห็นต้องรู้สึกคลื่นไส้

แต่หลังจากที่พวกเราเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนผู้นี้ พวกเราก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก เพราะผู้ตายไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเจ้าของบ้านหลังนี้ ผีพนันหลี่กวางหลงผู้ที่เมื่อสามวันก่อนได้นำเถ้ากระดูกของสองสามีภรรยาชาวประมงมานั้นเอง

แต่สิ่งที่แปลกคือ ทำไมชายคนนี้ถึงได้แขวนคอตายในบ้านของตัวเองกันนะ

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset