ศพ – ตอนที่ 131 พลังของวงเวทย์

ตอนที่ 131 พลังของวงเวทย์

ตอนนี้ผมและเฟิงเฉ่วหานกำลังดูวงเวทย์ของหยางเฉ่วอยู่ แถมยังตกตะลึงที่วงเวทย์ของเธอทั้งยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆก็ได้ยินหยางเฉ่วตะโกนออกมาแบบนั้น

ผมและเฟิงเฉ่วหานจะกล้าลีลาอยู่ได้ยังไง ถ้าวงเวทย์ของหยางเฉ่วล้มเหลว พวกเราก็ต้องต่อสู้ตรงๆกับผีทารกอีกครั้ง

และเมื่อเวลานั้นมาถึง ถ้ายังอยากคิดจะจับผีทารก ก็คงต้องเปลืองแรงอย่างมหาศาลแล้วละ

เมื่อได้สติกลับมา ผมก็ไม่ลังเล

รีบถอยไปหาดาบที่วางอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ชักดาบออกมาจากฝักอย่างรวดเร็ว

 

เฟิงเฉ่วหานดึงดาบไม้ออกมาเรียบร้อย เขาพุ่งเข้าไปในวงเวทย์ทันที

ผมเองก็ไม่เกรงใจ จับด้ามดาบไม้ให้แน่น รีบตามเข้าไป โจมตีซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว

เชือกแดงพวกนั้นไม่มีผลอะไรกับผมและเฟิงเฉ่วหาน แต่สำหรับเด็กคนนั้นแล้ว มันเหมือนลวดไฟฟ้า ไม่อาจสัมผัสโดนมันได้แม้แต่ปลายก้อย

บวกกับกำแพงเวทย์ที่แปลกประหลาด จึงทำให้ผีทารกถูกขังเอาไว้ทั้ง 5 ทิศ ไม่มีทางออกไปข้างนอกได้สักก้าวเดียว

“ เด็กเวร วันตายของแกมาถึงแล้ว ! ” เฟิงเฉ่วหานตะโกน ไม่ยั้งมือ ยกดาบฟาดฟันอย่างรุนแรง

เด็กคนนั้นเผยสีหน้าที่น่าสยดสยองออกมา  หัวที่ใหญ่โตนั้นดูไม่เข้ากันกับร่างกายของเขาเลยสักนิด

 

แต่ปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม กลับทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

“ โฮก ! พวกแกมันเป็นคนเลว ! ”

เด็กตะโกน กางกรงเล็บเข้าต่อกร

กรงเล็บพวกนั้นสัมผัสกับดาบไม้ตรงๆ ส่งเสียงดัง “ ปัง ” อย่ามองว่าเจ้าเด็กนี้ตัวเล็ก แต่พลังที่มีกลับเยอะมากจนผิดแปลก

เมื่อเข้าปะทะกับกรงเล็บนั้น เฟิงเฉ่วหานก็ถึงกลับถูกกระแทกจนต้องถอยไปสองสามก้าว จะเห็นได้ว่ามันแข็งแรงมากขนาดไหน

วินาทีที่เฟิงเฉ่วหานถูกแรงกระแทกไปข้างหลัง ผมก็เข้าไปโจมตี

 

ผมเล็งไปที่หลังของเด็ก และพุ่งเข้าไปแทงทันที

ไม่มีสัญญาณใดๆบอกล่วงหน้า แต่เด็กคนนั้นกลับรู้สึกถึงอันตรายที่ด้านหลัง

เขาหักหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็หันหน้ามามอง

ดวงตาสีขาวโพนคู่นั้น จ้องผมตาไม่กระพริบ “ คนเลว แกมันคนเลว เอาตุ๊กตาตัวน้อยของหนูคืนมา ! ”

ขณะที่พูด เจ้าเด็กนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผม

แต่เป็นเพราะวงเวทย์ดอกเหมยควบคุมเขาได้ดีมาก ดังนั้นความร้ายกาจของเจ้าเด็กนี่จึงไม่มีเท่าเมื่อวาน

การเคลื่อนไหวก็ช้าลงมาเยอะมาก

แต่ผมยังไม่กล้าประมาท จึงยกดาบไปข้างหน้า

 

ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กนี้จะถูกวงเวทย์ควบคุม และความว่องไวของร่างกายผิดปกติไป

แต่เขากลับทำท่าทางแปลกๆ และหลบการโจมตีของผมตรงๆ

จากนั้น เขาก็อ้าปาก ตรงเข้ามากัดที่ไหล่ของผม

ผมถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว รีบหลบทันที

เด็กคนนั้นกัดเข้ากับอากาศ แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยังโจมตีมาที่ผมอย่างต่อเนื่อง

ขาทั้งสองข้างเตะอย่างรุนแรง และตรงเข้ามาทางผมอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่นี้ ระหว่างนั้นจู่ๆลิ้นสีแดงของเจ้าเด้กผีก็พุ่งออกมา ที่คอของผมอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเห็นลิ้นพุ่งออกมา ม่านตาของผมก็ขยายใหญ่ ในใจกลับดีใจ แอบพูดว่าโอกาสดีๆมาแล้ว

เมื่อคืนตอนประมือกันผมพบว่า นอกจากเจ้าเด็กนี้จะมีพลังเยอะผิดปกติและร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้ว พลังป้องกันของเขาก็ทำให้คนทึ่งได้

หลังจากวิเคราะห์แล้ว พวกเราก็คิดว่าลิ้นอันนี้ เป็นจุดอ่อนของเด็กคนนี้

ตอนนี้เมื่อเห็นลิ้นพุ่งออกมา ไม่ใช่แค่ผมไม่กลัว ผมยังรู้สึกดีใจมากอีกด้วย

ผมมองทิศทางการเคลื่อนไหวของลิ้นให้แน่ชัด ร่างกายย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว ลิ้นอันนั้นจึงตวัดผ่านหัวของผมไป

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ใช้มือขวา คว้าไปที่ลิ้นของเจ้าเด็กนั้นอย่างรวดเร็ว

 

ตอนที่สัมผัสโดนลิ้นอันนั้นมันหยาบมากแต่ก็นุ่มมาก แต่มันกลับเย็นจนถึงกระดูก

หลังจากเจ้าเด็กนั้นโดนผมจับประตูชีวิต ก็แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาทันที

แขนและขาทั้งสี่ข้างยึดอยู่กับพื้นให้มั่นที่สุด สะบัดหัวไปมา ในปากยังกรีดร้อง “ ฮือฮือฮือ ” อยากจะดึงลิ้นกลับ

แต่ผมจะปล่อยให้เขามีโอกาสได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

ผมจับลิ้นนั้นเอาไว้แน่น จากนั้นก็ตะคอกทันที “ มาหาฉันเดี๋ยวนี้ ! ”

ออกแรงที่มือ ทันใดนั้นเจ้าเด็กนั้นก็เซไปเซมาทันที และสุดท้ายก็กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

“ โอ๊ย ” เสียงร้องดังขึ้น เจ้าเด็กนั้นล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างจัง

 

หลังจากเจ้าเด็กนั้นถูกผมจับเหวี่ยงกระแทกลงกับพื้น ผมก็ใช้ดาบไม้ที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง แทงลงที่ลิ้มสีแดงนั้นอย่างรุนแรง

“ ฉึก ” ดาบไม้แทงทะลุลิ้นของเด็กคนนั้น และปักลงกับพื้นทันที

เมื่อลิ้นของเจ้าเด็กนั้นถูกแทง ในปากก็มีเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรง “ อ๊าก ! ”

เสียงดังมาก และฟังแล้วเจ็บปวดทรมานจนถึงขีดสุด

การกระทำเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมากๆ แต่กลับเป็นเส้นแบ่งความเป็นความตาย ที่อันตรายมาก

ถ้าระหว่างนั้นทำพลาด ผมอาจต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง

เมื่อหยางเฉ่วและหานเฉ่วเฟิงเห็น ก็ตื่นเต้นทันที

 

หยางเฉ่วที่ยืนอยู่ไม่ไกลส่งเสียงเชียร์ “ ติงฝานทำได้ดีมาก ! ”

ส่วนเฟิงเฉ่วหาน กลับรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ดึงตาข่ายดำที่เอวออกมาทันที

ตาข่ายดำไม่ใหญ่มาก เป็นตาข่ายที่คลุมได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

และตาข่ายสีดำนี้ เป็นตาข่ายที่ถูกถักทอมาจากด้ายดำ ชุบด้วยเลือดหมาดำอีกที มีผลในการปราบวิญญาณชั่วร้าย

เฟิงเฉ่วหานถือตาข่ายดำขึ้น ไม่สนใจเสียงกรีดร้องของเด็กเลยสักนิด

เขากางตาข่ายออก และโยนใส่ตัวเด็กทันที

 

ผลลัพธ์หลังจากตาข่ายดำนี้สัมผัสตัวเด็ก เฟิงเฉ่วหานก็ใช้มือเดียวเสกคาถา และตะโกนออกมาติดๆ “ เก็บ ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง ตาข่ายผืนนั้นก็หดตัว รัดรอบตัวเด็กเอาไว้อย่างแน่นหนา

และเด็กคนนั้น ก็กรีดร้องโหยหวนยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมานหนักมาก

“ อ๊ากก ! อ๊ากก ! เจ็บ เจ็บ…… ”

แม้ว่าเสียงจะเริ่มอ่อนลง แต่เขาก็ยังกรีดร้องอย่างสุดชีวิต

ขณะที่ฟังเสียงเด็กร้องโหยหวน พวกเราก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

 

ตอนนี้เด็กถูกขังเอาไว้ตรงกลางของวงเวทย์ดอกเหมย ลิ้นถูกดาบตรึงเอาไว้ และตอนนี้ก็ยังโดนตาข่ายดำรัดตัวเอาไว้อีก  ดูจากสภาพนี้เขาไม่มีทางหนีได้แล้ว

ตอนนี้เขา ทำได้เพียงรอให้พวกเราเข้าไปเฉือด

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้ลงมือฆ่าตอนนี้

เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยพูดว่า แม้ว่าผีทารกจะเป็นวิญญาณชั่วร้าย แต่ชีวิตของเขาก็น่าสงสาร เพราะมีคนอื่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

 

ถ้าสามารถทำให้เขาพ้นทุกข์ได้  ก็จะสวดส่งวิญญาณให้เขา ถือว่าเป็นการให้โอกาสเด็กคนนี้สักครั้ง และสร้างคุณความดีให้กับตัวเอง

เมื่อผมเห็นว่าเด็กถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ ก็หันไปคุยกับหยางเฉ่วที่อยู่ไม่ไกล “ พอเถอะหยางเฉ่ว เธอปลดวงเวทย์ได้แล้ว ! ”

อย่ามองว่าหยางเฉ่วใช้คาถาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ตอนนี้เธอกลับมีเหงื่อไหลอยุ่เต็มหัว และหายใจหอบเหนื่อย จะเห็นได้ว่าวงเวทย์ที่เธอใช้นี้ต้องใช้พลังหมาศาล

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ทำมืออีกสองสามครั้ง จากนั้นก็ตะโกนว่า “ คลาย ”

เสียงพึ่งจางหาย กระดิ่งที่กำลังแกว่งไปมารอบๆ ทันใดนั้นมันกลับหยุดลงดื้อๆ

 

เสียง “ กริ้ง ” ที่ดังออกมาก็หายไป เหลือเพียงเสียงกรีดร้องของเด็กคนนี้เท่านั้น

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้สนใจ และจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ

พึ่งจุดบุหรี่ หยางเฉ่วก็เดินเข้ามา

เธอมองไปที่เด็กแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันมาคุยกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ ตอนนี้จับผีทารกได้แล้ว พวกเราจะจัดการเขายังไง ”

ไม่รอให้ผมได้พูด เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆก็พูดออกมาเบาๆ “ ตาข่ายดำของฉันมีฤทธิ์ปราบวิญญาณชั่วร้าย ให้มันกำจัดพลังชั่วร้ายให้สะอาดหมดจดก่อน ปล่อยให้เขาสงบลง แล้วค่อยลองดูว่าจะส่งเขาไปอย่างสงบได้ไหม ! ”

 

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย แสดงความเห็นด้วย

หยางเฉ่วเห็นผมสองคนอยากลองคุย จึงไม่พูดอะไรอีก

พวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย ยึด “ การปัดเป่า ” เป็นหลัก ไม่ใช่การฆ่า

แต่ผมสามคนไม่รู้ ตอนที่ตัดสินใจจะคุยกับเจ้าเด็กนั้นดีๆ

เจ้าผีทารกนั้นกลับเริ่มบ้า “ กึก ” เขากัดลิ้นของตัวเองขาดทันที

จากนั้น เขาก็อ้าปากที่โชกเลือดนั้นขึ้น มองไปที่บ่อน้ำแล้วตะโกนว่า “ คุณป้า คุณป้าช่วยหนูด้วย…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset