ศพ – ตอนที่ 133 แพ้ยับ

ตอนที่ 133 แพ้ยับ

ผีผู้หญิงตนนั้นดุร้ายมาก เธอไม่สนใจฤทธิ์ของเชือกแดงพวกนั้นเลยสักนิด เมื่อเชือกแดงขึ้นมาขวางหน้าเธอ เธอก็จะตัดมันทิ้งทันที

ดวงตาจ้องไปที่หยางเฉ่ว พร้อมพูดด้วยเสียงที่ดุร้าย “ ยัยชั่ว ฉันจะฆ่าแก ” ด้วยคำพูดแบบนี้

การเคลื่อนไหวของผีผู้หญิงค่อนข้างเร็ว แถมยังมีพลังที่สูง

เพียงชั่วพริบตา เธอก็จะหลุดจากเขตแดนวงเวทย์ดอกเหมยแล้ว

หยางเฉ่วไม่กล้าประมาท ประสานมือทั้งสองข้างไว้และท่องอะไรสักอย่างไม่หยุด

 

ร่างกายเริ่มสั่น การกระตุ้นวงเวทย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหงื่อไหลออกไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังลำบากมาก

และผีผู้หญิงตนนั้น ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น การก้าวเท้าของเธอก็เริ่มช้าลง

ดูเหมือนตรงหน้าของเธอ มีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่

ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ตกตะลึง ทนความเจ็บปวดที่ร่างกายเอาไว้ แล้วรีบลุกขึ้นมาทันที

ในเวลาเดียวกันผมก็ตะโกนว่า “ เหล่าเฟิง ลงมือพร้อมกัน ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบดาบไม้ขึ้นมา และพุ่งเข้าไปหาผีผู้หญิงอีกครั้ง

 

เฟิงเฉ่วหานก็ทำเช่นเดียวกัน ถ้าปล่อยให้ผีผู้หญิงหลุดจากวงเวทย์ งั้นเจ้าสิ่งนี้จะต้องวุ่นวายหนักกว่าเดิมแน่ และจะไม่สามารถควบคุมได้เหมือนเดิม

ผมและเฟิงเฉ่วหานวิ่งเข้าไป เพียงชั่วพริบตาก็มาปรากฎตัวที่ด้านหลังของผีผู้หญิงแล้ว

และทันใดนั้นเอง ตัวผมและเฟิงเฉ่วหานก็กระโดดขึ้นกลางอากาศอย่างพร้อมเพียง

“ สารเลว ตายไปซะ ! ” ผมสองคนตะโกน ใช้ดาบไม้ในมือแทงไปที่หลังของผีผู้หญิงทันที

แต่เสียงเพิ่งจางหาย ผีผู้หญิงตนนั้นก็หันมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ รนหาที่ตาย ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงตนนั้นก็โบกมืออย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น สายลมที่เยือกเย็นก็พัดเข้ามา ความหนาวเย็นนั้นเข้ามาห่อหุ้มผมสองคนเอาไว้

ไม่เพียงเท่านั้น พลังที่มองไม่เห็นโจมตีใส่ร่างกายของพวกเราทันที ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว

ไม่รอให้ดาบไม้ในมือของพวกเราสองคนได้สัมผัสกับร่างของผีผู้หญิง ผมและเฟิงเฉ่วหานก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด และร่างกายก็กระเด็นออกไปทันที

จนเกิดเสียงดัง “ ปักปัก ” ตัวของพวกเรากระแทกลงกับพื้นอีกครั้ง

 

เพราะครั้งนี้รุนแรงมาก ถึงแม้ผมสองคนจะล้มลงกับพื้นแล้ว แต่ก็ยังกลิ้งไปอีกสองรอบก่อนที่จะหยุดลงได้

มันทรมานจนพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนร่างกายแหลกเป็นชิ้นๆ

“ ติงฝาน เฟิงเฉ่วหาน ! ” หยางเฉ่วตกใจ

แต่หยางเฉ่ว พึ่งพูดประโยคสุดท้ายจบ มือที่ประสานกันก็เริ่มเปลี่ยนท่า

ทันใดนั้น ธงขนาดเล็กที่ปักอยู่บนพื้น กลับลอยขึ้น

ดูเหมือนมันกลายเป็นดาบ พุ่งเข้าไปทางผีผู้หญิงทันที

 

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นกลับไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น เธอเปล่งเสียง ฮึ ออกมาอย่างเย็นชา เอื้อมมือไปจับอย่างรวดเร็ว ธงเล็กๆผืนนั้นก็ถูกจับเอาไว้ทันที

เมื่อหยางเฉ่วเห็นสิ่งนี้ เธอก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ มองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

แต่มือของผีผู้หญิงขยับแค่เล็กน้อย “ กร๊อบ ” ธงอันนั้นก็หักทันที

ในเวลาเดียวกันเธอก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ ฉันอยู่มา 20 ปี คิดจะใช้เจ้านี้ทำร้ายฉันเนี่ยนะ ”

หลังจากพูดจบ จู่ๆน้ำเสียงของผีผู้หญิงก็เปลี่ยนไป เธอตะคอกใส่หยางเฉ่วทันที “ ไปตายซะ ! ”

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำลายวงเวทย์ที่ควบคุมตัวเธอเอาไว้ จากนั้นก็ฉีกเชือกสองสามเส้นสุดท้ายที่หยุดเธอเอาไว้ทันที

 

เธอพุ่งเข้าไปหาหยางเฉ่วทันที ตอนนี้ใบหน้าของหยางเฉ่วเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เมื่อวงเวทย์ถูกทำลาย เธอก็ตกใจมาก

แต่เมื่อเห็นผีผู้หญิงพุ่งเข้ามา เธอก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ในเวลาเดียวกันเธอก็รีบหายันต์ออกมาสู้

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นมีพลังเยอะกว่าพวกเราเกินไป ตามที่พวกเราสังเกตดู ถ้านำพลังของผีผู้หญิงตนนั้น มาเทียบกับคำเรียกของพลังในอาชีพเรา ขั้นต่ำสุดเธอก็น่าจะมีพลังระดับอาจารย์ลักทธิเต๋า

มากกว่าพวกเราสามคนหนึ่งเท่าตัว หรือจะเรียกได้ว่าเธอมาเพื่อบดขยี้

ดังนั้นไม่รอให้หยางเฉ่วได้หยิบยันต์ออกมา ผีผู้หญิงก็มาถึงตรงหน้าเธอแล้ว

 

ผีผู้หญิงยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว และเข้าไปบีบคอของหยางเฉ่วทันที

เมื่อจู่ๆหยางเฉ่วถูกบีบคอ เรี่ยวแรงในร่างกายของเธอก็ดูเหมือนจะหายไป แม้แต่มือก็ยกไม่ขึ้น

ตาเหลือกขึ้น พลังหยางในร่างกายหายไปอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทรมานมาก

แต่ดวงตาของผีผู้หญิงนั้นกลับเต็มไปด้วยความดุร้าย “ ยัยชั่ว ทำร้ายหลานของฉัน แล้วยังคิดจะทำร้ายฉันอีกเหรอฮะ ”

หลังจากพูดจบ เธอก็อ้าปากอย่างรวดเร็ว กำลังเข้าไปกัดหยางเฉ่วให้ตาย

แต่ผมกลับทนความเจ็บที่รุนแรงตรงหน้าท้องไว้ ค่อยๆลุกขึ้น

 

ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “ แม่…ซิหยุดเดี๋ยวนี้ เก่งจริงก็เข้ามาหาฉันซิ ! ”

ผมอ้าปากหอบหายใจ มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้องที่โดนพลังหยินโจมตีเอาไว้ และพูดออกมาอย่างบ้าคลั่ง

เสียงของผมพึ่งเงียบลง ผีผู้หญิงที่กำลังจะกัดหยางเฉ่ว กลับนิ่งไป

ผีผู้หญิงหันมามองอย่างช้าๆ ด้วยแนวหัวที่หมุน 180 องศา เมื่อเห็นภาพแบบนั้นมันน่าขนลุกมากจริงๆ

ผีผู้หญิงเห็นผมยืนอยู่ ตรงมุมปากก็มีรอยยิ้มเย็นชาผุดออกมา “ ไอ้หนูรนหาที่ตายดีนักนะ ! ได้งั้นแกก็ตายเป็นคนแรกก็แล้วกัน…… ”

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงก็ยกมือแล้วแกว่งมืออย่างรวดเร็ว

 

หยางเฉ่วที่ถูกบีบคออยู่ ก็กระเด็นออกไปทันที “ ปัก ” สุดท้ายร่างของเธอก็กระแทกกับกำแพงที่อยู่ไม่ไกล

ครั้งนี้มันรุนแรงมาก เพราะหัวของหยางเฉ่วกระแทกโดนกำแพง ทำให้เธอนอนสลบ อยู่ข้างๆกำแพงทันที

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นกลับไม่สนใจ ร่างของผีผู้หญิงก็ลอยมาทางผมอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นผีผู้หญิงพุ่งเข้ามา ผมก็จับดาบไม้ในมือให้แน่นพร้อมรับการโจมตี

ในบรรดาพวกเราสามคนผมเป็นคนที่มีพลังน้อยที่สุด แล้วแบบนั้นผมจะไปต่อสู้กับผีผู้หญิงตนนี้ได้ยังไง

ผลลัพธ์เมื่อเข้ามาเผชิญหน้ากัน ผีผู้หญิงก็ไม่รอให้ผมแทงได้ เธอรีบใช้กรงเล็บกวาดมาที่ผม

กรงเล็บพวกนั้นคมกริบไม่เพียงทำเสื้อผมขาดได้ แถมยังสร้างบาดแผลให้ผมหนึ่งแผลอีกด้วย

 

ด้วยพลังที่เข้ามากระทบอย่างมหาศาลนั้นทำให้ตัวผมล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง ทั้งร่างเหมือนแหลกลาน

แต่ในเวลานี้ เฟิงเฉ่วหานเองก็หายใจหอบเหนื่อย เขายืนขึ้นมาอย่างยากลำบากมากๆ

แต่ว่าตอนนี้ เขาหยิบยาขวดสีดำออกมา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะใช้ยาเรียกให้พี่หานเฉ่วเฟิงออกมาจัดการผีผู้หญิง

แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คิด เฟิงเฉ่วหานยังไม่ทันเปิดฝาขวด ผีผู้หญิงตนนั้นก็ปรากฎขึ้นที่หน้าของเฟิงเฉ่วหาน

เฟิงเฉ่วหานรู้สึกถึงลมแรงๆที่พัดเข้ามา ยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน ตาทั้งสองข้างก็เหลือกขึ้น ถูกผีผู้หญิงพ่นหมอกสีขาวใส่ตรงๆ ทันใดนั้นเขาก็สลบไปในทันที

 

ผมนอนราบอยู่กับพื้น เมื่อเห็นฉากแบบนั้น ก็พูดในใจว่าสมควรตายสักพันครั้งหมื่นครั้ง พวกเขาวางแผนและเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นไว้ทุกอย่างแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในบ่อน้ำจะมีผีผู้หญิงอีกหนึ่งตน

แถมผีตนนี้กับผีทารกยังเป็นพวกเดียวกัน และพลังยังสูงมากอีกด้วย

ตอนนี้ก็ช่างดีจริงๆ เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วถูกทำร้ายจนสลบ เหลือไว้เพียงคนอ่อนแอที่สุดอย่างผม

ถ้าผมไม่สามารถจัดการยัยผีนี่ได้ ผมกล้าพูดเลยว่า พวกเราสี่คนที่อยู่ที่นี่ จะไม่มีใครรอดได้เห็นแสงตะวันในวันพรุ่งนี้แน่

ผมรู้สึกหวาดกลัว แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องไฝดำที่ข้อมือได้ และคิดถึงน้องศพมู่หลงหยียนขึ้นมา

 

ใช่แล้ว ! มู่หลงเหยียนบอกว่า ถ้าเจออันตราย สามารถใช้ไฝดำ เรียกชื่อเธอให้ออกมาช่วยได้

แม้ว่าผมจะไม่มั่นใจว่าเธอจะมาได้ยังไง หรือมาได้รึเปล่า

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่จึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะสามารถช่วยชีวิตผมได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมจะมัวแต่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองอยู่ได้ยังไง

ผมทุลักทุเล รีบลุกขึ้นมาทันที ไม่อย่างนั้นผมได้ตายจริงๆแน่

ในเวลาเดียวกัน ข้อมือซ้ายของผมมีไฝดำอยู่ รีบประสานมือ เคลื่อนพลังจากจุดตานเถียน มาที่ตรงกลางไฝดำทันที

 

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้น ได้หันมาเรียบร้อย เธอค่อยๆลอยเข้ามาหาผมแล้ว

ใบหน้าสยดสยอง ดวงตาสีขาวโพน จ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับพูดเยาะเย้ย “ ไอ้ชายชั่ว ถึงตาแกแล้ว ต่อไปแกอยากให้ฉันฆ่าแกยังไงดีละ…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset