ศพ – ตอนที่ 137 การแก้ไขที่เพอร์เฟค

ตอนที่ 137 การแก้ไขที่เพอร์เฟค

เมื่อเห็นร่างของผีทารกหายไป พวกเราสามคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

นี่คือเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่การเกิดใหม่กลับเป็นสิ่งที่ผิด

แม้ว่าจะกลายเป็นวิญญาณร้าย แต่ก็ได้เจอกับคนที่ใช่

ถ้าตอนแรกพวกเรามีใจคิดสังหารอย่างเดียว ตอนที่เด็กถูกสะกดเอาไว้ พวกเราก็คงกำจัดเขาไปแล้ว และเขาก็คงไม่มีโอกาสหรือความเป็นได้ที่จะไปเกิดใหม่ได้อีก

ถึงการทำแบบนี้จะยุ่งยากไปบ้าง แต่เมื่อคิดถึงรอยยิ้มในฉากสุดท้ายของผีทารก เสียง “ ขอบคุณ ” ที่ไร้เดียงสานั้น ก็ทำให้ในใจของผมรู้สึกว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว และยังรู้สึกพอใจมาก

 

ผมรู้ว่า การที่พวกเราทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูก ทำแบบนี้ถึงจะเรียกว่า “ คนปราบผี ” สามคำนี้

ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบา ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ “ โอเคทุกคน จบเรื่องแล้ว พวกเราก็จะได้พักผ่อนดีๆกันซะที ! ”

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็ยิ้มออกมา

“ ติงฝาน ครั้งนี้ขอบใจนายมากนะ ถ้าไม่มีนายช่วย ชีวิตของพวกเราคงไม่เหลือแล้ว ! ” จู่ๆหยางเฉ่วก็พูดกับผม

เฟิงเฉ่วหานเผยรอยยิ้มออกมา “ ติดหนี้ชีวิตนายครั้งหนึ่งแล้ว ! ”

ผมทำหน้าอึดอัดใจ นี่มันผลงานของผมที่ไหนละ

เป็นของมู่หลงเหยียนชัดๆ ถ้าเธอไม่ปรากฎตัว พลังแค่น้อยนิดของผม จะไปปราบผีผู้หญิงที่ดุร้ายแบบนั้นได้ยังไง

 

แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงส่ายหัวให้ “ เรื่องเล็ก เรื่องเล็กน่า พวกเราไปจัดการบาดแผลกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปดื่มกัน ! ”

แต่หยางเฉ่วกลับบ่น “ ยังจะดื่มอีก ฉันโดดเรียนมาแล้ววันนึง พรุ่งนี้เช้าฉันต้องกลับมหาลัยแล้ว ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลาย ไม่ตรึงเครียดและเงียบสงัดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

จากนั้น พวกเราก็ทำแผลบนร่างกายของตัวเองอย่างง่ายๆ

โชคดีที่เป็นแผลภายนอก เพียงแค่ช่วงนี้เจอกับผีติดกัน บนร่างกายจึงมีแผลเป็นอยู่จำนวนมาก แผลเก่าเกือบทั้งหมดที่ใกล้จะหายดีแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีแผลใหม่ขึ้นมาอีก

 

แต่หลังจากที่ความสามารถของผมอัพเกรดขึ้น กลับมีผลต่อการทำงานชัดเจนมาก

ตัวผมเองสามารถสัมผัสได้ พลังที่จุดตานเถียนของผม เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ

การฝึกฝนจากการต่อสู้ ทำให้พัฒนาได้อย่างเห็นได้ชัด

ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่สามารถใช้เวลาสั้นขนาดนี้ พัฒนาจากนักพรตฝึกหัด ให้มาถึงขั้นนักพรตในตอนนี้ได้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะยังน้อยมาก แต่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ผมได้มาจากการต่อสู้ ซึ่งสะสมมาทีละนิดๆ

ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน ผมก็จะร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม และสามารถจัดการวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจกว่านี้ได้

หลังจากจัดการแผลเสร็จ ก็เป็นเวลาตีห้าแล้ว

 

พวกเราสามคนจึงนอนพักกันนิดหน่อย เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสิบโมงครึ่งแล้ว

ผมยังรู้สึกง่วงอยู่ แต่เมื่อมองเห็นแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ร่างกายก็ตื่นตัวขึ้นมาไม่น้อย

ผมหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าบนโซฟาเหลือแค่ผมกับเฟิงเฉ่วหานสองคน หยางเฉ่วไม่อยู่แล้ว

แต่ก็ไม่ได้สนใจ ผมลุกขึ้น ยืดเส้นยืดสายทันที

แต่ตอนที่ผมกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่นั้น กลับเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ข้างตัวผม

เมื่อเห็นโน๊ตสั้นๆ ก็ตกใจนิดหน่อย จากนั้นผมก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน

พบว่าโน๊ตสั้นๆที่เขียนเอาไว้มีเนื้อหาว่า ฉันกับจูจูกลับมหาลัยแล้วนะ ครั้งนี้ฉันขอบใจพวกนายสองคนแทนจูจูด้วย เอาไว้วันหน้าจะเชิญพวกนายไปกินของปิ้งย่าง หยางเฉ่ว

 

เมื่อเห็นหยางเฉ่วเป็นคนเขียน ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ดูเหมือนหยางเฉ่วจะตื่นเช้า เห็นผมและเฟิงเฉ่วหานยังนอนหลับสนิท คงไม่อยากรบกวนผมสองคน ดังนั้นจึงออกไปกับจูจูอย่างเงียบๆ

คิดไม่ถึงว่าหยางเฉ่วจะเป็นคนชวน ในใจของผมจึงรู้สึกดีมาก

ผมพับกระดาษเก็บ จากนั้นก็ปลุกเฟิงเฉ่วหานทันที

เฟิงเฉ่วหานลูบตา “ กี่โมงแล้ว ”

“ จะเที่ยงแล้ว หยางเฉ่วกับจูจูกลับมหาลัยไปก่อนแล้ว พวกเราเองก็กลับกันเถอะ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบโกศของผีผู้หญิงขึ้น

 

เฟิงเฉ่วหานหาว พร้อมกับพยักหน้าให้ผม

จากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ออกจากบ้าน

เมื่อมาถึงสวนหย่อมอีกครั้ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบ่อน้ำ

บ่อน้ำเก่ามาก แต่ในนั้นไม่มีผีผู้หญิงที่ถูกขังเอาไว้ และไม่มีผีทารกที่ถูกทอดทิ้งอยู่อีกต่อไป

อากาศของวันนี้ดูเหมือนจะสดชื่นเป็นพิเศษ อารมณ์ของผมเองก็ดูจะมีความสุขอยู่ไม่น้อย

หลังเดินออกจากประตูที่สวนหย่อมแล้ว พวกเราก็กลับไปตามทาง

ระหว่างทางบางครั้งผมและเฟิงเฉ่วหานก็พูดถึงเรื่องผีทารกและผีผู้หญิง เรื่องของผีทารกยังถือว่าดี เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างต่างกระจ่างชัด

 

แต่เรื่องผีผู้หญิงที่น่าสงสาร และนักพรตที่ลงมือกับเธอ ทำให้พวกเรารู้สึกสงสัย

ได้ยินผีผู้หญิงบอกว่า นักพรตคนนั้นใช้ชีวิตแลกชีวิต

ถ้าเขามีอาคมแบบนี้ พลังที่มีก็คงไม่ใช่ย่อย ต้องเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง

แต่เรื่องแบบนี้ยังกล้าทำ เขาก็คงไม่ใช่คนดีอะไร

แม้ว่าผมสองคนจะอยากรู้เรื่องนักพรตคนนี้ แต่สิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา นี่มันก็ผ่านไป 20 ปีแล้ว

ปู่ย่าของจูจูก็ตายไปแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้จะไปสืบหาข้อมูลมาจากที่ไหน

หลังจากคุยกับเฟิงเฉ่วหานได้ไม่นาน ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมา

 

พวกเราเดินอยู่บนถนนประมาณ 20 นาที ก็ได้เจอรถสามล้อคันหนึ่ง นี่จึงทำให้พวกเราได้นั่งรถโต้ลมกลับไปในเมือง

หลังจากกินอะไรนิดๆหน่อยๆ ผมและเฟิงเฉ่วฟานก็ไปสถานีขนส่งนั่งรถกลับตำบลชิงฉือทันที

เมื่อมาถึงตำบล ก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าๆแล้ว

หลังจากบอกลาเฟิงเฉ่วหานเสร็จ ก็ถือโกศของจูชิงกลับไปที่ร้าน

ขณะนี้อาจารย์กำลังพูดคุยกับลูกค้า เมื่อเห็นผมกลับมา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมมาก

ผมเห็นมีลูกค้าอยู่ จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันมานี้ เพียงนำโกศและถุงเฉียนคุนวางลงบนโต๊ะบูชา แล้วก็เดินเข้าไปในห้องทันที

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมถึงได้เดินออกมาด้วยท่าทางสดชื่นตื่นเต็มตา

ตอนนี้ลูกค้าได้ออกไปแล้ว มีเพียงอาจารย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนเดียว

เขากำลังถือกระบอกสูบยาเก่าๆ พร้อมพูดกับผมอย่างไม่สนใจยังดี “ ติงฝาน สองวันมานี้แกไปไหนมา แถมยังเอาเจ้านี้กลับมาด้วย ”

ขณะที่พูด เขายังเหลือบไปมองถุงเฉียนคุนและโกศ

เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่ปิดบัง

“ อาจารย์อย่าไปพูดถึงมันเลย สองวันมานี้นะผมเจออันตรายจนเกือบจะตายแล้ว อีกนิดเดี๋ยวก็จะไม่รอดแล้ว ดูแผลที่หน้าอกของผมซิอาจารย์ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็เลิกเสื้อขึ้น ให้อาจารย์มองบาดแผลที่หน้าอกของผม

อาจารย์มองแผลที่หน้าอกของผมแวบหนึ่ง “ พรึบ ” เสียงลุกจากเก้าอี้ “ รอยกรงเล็บผี ”

“ ใช่ไหมละ ! นี่ก็คือรอยกรงเล็บผีผู้หญิงที่อยู่ในนั้น ! ”

“ อ่อ ! แกออกไปจัดการผีผู้หญิงมางั้นซิ ”

ผมหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ มันก็ไม่ใช่แบบั้นซะทีเดียว นอกจากผีผู้หญิงแล้ว ยังมีผีทารก…… ”

หลังจากนั้นผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองวันมานี้ รวมถึงเรื่องที่ผมไปงานเลี้ยงรุ่นที่โรงแรมไดนาสตี้ เจอกับตาผีขององค์กร จางจึเทาหนึ่งในเพื่อนสมัยประถมกลายเป็นสมาชิกองค์กรตาผี แม้แต่เรื่องที่เจอเสี่ยวม่านก็เล่าให้อาจารย์ฟังทั้งหมด

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน หลังจากผมเล่าเรื่องสองสามวันที่ผ่านมาอย่างละเอียดจบ อาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ มองสำรวจตัวผมอย่างจริงจัง

จากนั้นอาจารย์ก็ตบที่ไหล่ผม พูดด้วยความเสียใจ “ เสี่ยวฝานเอ๋ย ! แกเพิ่งเข้ามาทำงานไม่นานก็ต้องเจอกับเรื่องอันตรายติดๆกัน แต่ก็ยังใช้พลังของตัวเองพลิกสถานการณ์อันตรายให้กลับมาดีได้ทุกครั้ง แกเก่งมากจริงๆ ”

“ และวิธีแก้ไขเรื่องผีผู้หญิง และผีทารกยังเป็นสิ่งที่เหมาะสมมาก แกมีหัวใจที่ดีงาม ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ก็ยิ้มออกมา “ ฮ่าฮ่าฮ่า ! อาจารย์มองไม่ผิดจริงๆ ! ฉันไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้คนผิดอีกแล้ว หวังว่าในอนาคตแกจะรักษาหัวใจแบบนี้เอาไว้ และใช้วิชาที่เรียนมา ทำสิ่งดีๆให้กับวิญญาณเยอะๆ ทวงคืนความยุติธรรมให้กับวิญญาณพวกนั้น…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset