ศพ – ตอนที่ 14 ผีมาเยือน

ตอนแรกผมคิดว่าถ้าเจอตัวผีพนันหลี่กวางหลง ปริศนาทุกข้อก็จะถูกไขออกมา และจะได้รู้ตัวการที่คอยทำร้ายผมซะที

แต่ตอนนี้ช่างดีจริงๆ หลี่กวางหลงตายไป เบาะแสเดียวที่มีเหลืออยู่ก็หายไปด้วย

แต่เรื่องที่แปลกคือ ดูจากการสลายตัวของศพ เขาน่าจะตายมาได้ประมาณ 5 วันแล้ว

ถ้าพูดอีกอย่างคือ ตอนที่สามีภรรยาหลี่กวางตี้จมน้ำตายได้หนึ่งวันหรือก่อนหน้านั้นหลี่กวางหลงคนนี้ ก็เสียชีวิตแล้ว

ดังนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้น แล้วเมื่อสามวันก่อนคนที่ไปบันทึกไว้ที่สุสานเป็นใครกันล่ะ

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในหัวของผมก็เกิดเสียงดัง “กึก”

เมื่อผมมองดูศพที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

โดยเฉพาะหลี่กวางหลงเองก็ตายตาไม่หลับ ลิ้นยื่นออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเย็นที่หลังทันที

ส่วนอาจารย์และเหล่าฉินกำลังมองรอบๆศพเป็นวงกลม พวกเขาไม่ได้นำร่างที่แควนคอตายของหลี่กวางหลงลงมา

จากนั้นพวกเขาก็ค้นหาภายในบ้านอีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบของที่มีประโยชน์มากนัก

จู่ๆก็ได้ยินเสียงอาจารย์พูดกับผม “เสี่ยวฝาน โทรแจ้งตำรวจ! ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบแล้ว”

 

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป ผมจึงทำตามที่อาจารย์บอก แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรแจ้งตำรวจทันที

ผ่านไปไม่นานตำรวจที่ตำบลก็เข้ามา หัวหน้าหน่วยก็คือเจ้าหน้าที่ซุน

ในตำบลมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้จักเขา เขาเดินเข้ามามองศพของหลี่กวางหลงที่อยู่ในบ้านสองสามครั้ง จากนั้นก็ถามพวกเราสองสามประโยค

แต่คำตอบนั้นเหล่าฉินได้คิดมาอย่างดีแล้ว เขาบอกว่าคนที่สุสานจะต้องกลับมาเยี่ยม เพราะใกล้มาถึงวันที่สองสามีภรรยาชาวประมงคู่นั้นตายครบเจ็ดวันแล้ว พวกเขาจึงเข้ามาเตือนว่าควรทำยังไงบ้าง

 

เจ้าหน้าที่ซุนก็รู้ว่าเหล่าฉินและอาจารย์ของผมทำอาชีพอะไร เขาจึงไม่ถามอะไรมากนัก

และหลี่กวางหลงเองก็มีชื่อเสียงเรื่องผีพนันอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกที่ตายแล้วจะไม่มีใครสนใจ

ดังนั้น หลังจากบันทึกคำให้การเสร็จก็ปล่อยพวกเรากลับไปทันที

แต่ระหว่างทางที่กลับ อาจารย์กลับพูดกับผมและเหล่าฉินว่า “เหล่าฉิน เสี่ยวฝาน เรื่องนี้เริ่มแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปพวกเราจะต้องระวังให้มากกว่าเดิมแล้ว!”

เหล่าฉินยักคิ้วหนึ่งครั้ง และถามออกมาตรงๆ “ทำไมถึงพูดแบบนี้”

 

อาจารย์หันไปมองศพหลี่กวางหลงที่แขวนคอตายอยู่ในบ้านแวบหนึ่งจากนั้นก็พูด “หลี่กวางหลงตายได้ประมาณห้าวันแล้ว แต่เมื่อสามวันก่อนกลับมีคนใช้ชื่อหลี่กวางหลงมาเอาเถ้ากระดูกของสองสามีภรรยาชาวประมงไป……”

ต่อมา อาจารย์ยังพูดความคิดของเขาและสิ่งที่เขาคาดเดา

บอกว่าคนที่มาเอาเถ้ากระดูกไป ต้องรู้อยู่แล้วว่าหลี่กวางหลงตายไปแล้ว

สำหรับเป็นเรื่องฆาตกรรมไหม ตอนนี้ยังพูดได้ยาก แต่มันก็มีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง หลี่กวางหลงอาจตายเพราะถูกคนฆ่าอีกราย

 

และ สองสามีภรรยาชาวประมงคู่นี้ นอกจากมีหลี่กวางหลงที่เป็นน้องชายแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหลือญาติที่ไหนอีก

จึงอธิบายได้ว่าเขาเป็นคนฝังศพให้พวกเขา และคนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่เข้ามาเก็บเถ้ากระดูกไปแน่

คนๆนี้เก็บเถ้ากระดูกของชาวประมงคู่นี้ไว้ และยังทำหลุมฝังศพที่ชั่วร้าย

แต่กลับทำร้ายผมและหลี่เหล่าซานอย่างไร้เหตุผล  ตอนนี้อาจารย์เดาออกมาได้สองอย่าง

คือไม่เป็นศัตรูของเหล่าฉิน ก็เป็นศัตรูของอาจารย์

ข้อที่สอง ก็คือไม่มีจุดประสงค์ ฆ่าไม่เลือกหน้า แต่ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ค่อยมีน้ำหนัก

ดังนั้น การเป็นศัตรูในข้อแรก จึงมีน้ำหนักมากกว่า

 

ตอนนี้อีกฝ่ายลงมืออย่างไม่หยุดหย่อน ครั้งต่อไปมีโอกาสมากที่เขาจะลงมือตรงๆกับอาจารย์และเหล่าฉิน และบาทีอาจใช้วิธีที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม

หลังจากที่เหล่าฉินได้ยิน เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง และบอกว่าเขาทำงานที่สุสานช่วยคนเผาศพมาทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่เคยทำให้ใครขุ่นเคืองเลยสักคน

เขาจึงถามอาจารย์ว่ามีศัตรูที่ไหนรึเปล่า แต่สุดท้ายอาจารย์ก็ส่ายหัว

เขาบอกว่าถึงแม้ว่าตอนเป็นวัยรุ่นตัวเองจะไปมาทั่วทุกสารทิศ แต่เขาก็ทำแต่เรื่องดีๆ

และตัวของเขาเองยังอยู่ที่ตำบลนี้มา 20 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเป็นศัตรูกับใครมาก่อน

ในทางกลับกันยังทำความดีเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณไว้มากมาย สุดท้ายอาจารย์ก็ทำหน้ามึนงง

 

แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือ ขอเพียงคนๆนี้ยังอยู่ เขาจะต้องออกมาอย่างแน่นอน

ในเวลาเดียวกันเพื่อความปลอดภัย อาจารย์จึงบอกให้เหล่าฉินมาพักที่บ้านของพวกเราในช่วงนี้

การทำแบบนี้ พวกเราจะได้ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ไขได้ง่ายๆ

เหล่าฉินและอาจารย์รู้จักกันมา 20 กว่าปี ความสัมพันธ์ดีมาตลอด เขาจึงไม่พูดอะไรมากตอบตกลงทันที

ในช่วงเวลากลางคืน เหล่าฉินก็นำสัมภาระของตัวเองย้ายมาที่บ้านของพวกเรา

เพราะนี้เป็นคืนแรก ผมจึงต้องออกไปซื้อเหล้าข้างนอกมา 1 กิโลกรัม ให้อาจารย์ และเหล่าฉินได้ดื่มกันสักหน่อย จากนั้นก็จุดธูปให้ผีเมีย สุดท้ายผมก็ได้กลับไปนอนในห้องของตัวเอง

 

หลังจากชายชราทั้งสองคนได้ดื่มเหล้า เสียงก็ดังยิ่งกว่าเดิม พวกเขาดื่มกันจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ

อะไรมันจะขนาดนี้ แต่ใครจะรู้หลังจากที่อาจารย์และเพื่อนพึ่งกลับไปนอนพักที่ห้อง พวกเขาพึ่งนอนไปได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น

จู่ๆนอกห้องก็มีเสียงดัง “แอ๊ด…” ดูเหมือนประตูที่อยู่ข้างนอกจะถูกคนเปิดออก

สองสามวันนี้จิตใจผมค่อนข้างตึงเครียด ถ้าเป็นแต่ก่อนผมก็คงไม่ตอบสนองเร็วขนาดนี้

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน หลังจากที่ผมได้ยินเสียงนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็เปิดขึ้นมาทันที

 

ร่างกายมีเสียงดัง “ก๊อก” ผมลุกขึ้นจากเตียงทันที วินาทีนั้นผมรู้สึกถึงสายลมอันหนาวเหน็บกำลังพัดผ่านเข้ามาจากด้านนอกห้อง

ท่ามกลางสายลม เหมือนผมจะได้ยินเสียงของฝีเท้า

ทันใดนั้นผมก็ตกใจทันที เวลาขนาดนี้แล้ว จะเป็นใครกันนะ

ผมค่อนข้างหวาดกลัว แต่ก็ค่อนข้างสงบ เพราะตอนนี้อาจารย์และเหล่าฉินอยู่ที่นี่

หลังจากใส่รองเท้าแตะ ผมก็หยิบดาบไม้ที่อยู่บนหัวเตียงและเดินออกไปจากห้องนอน เพราะอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

แต่ในบ้านมืดมาก จึงเห็นสิ่งของรางๆเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็เห็นว่าประตูบ้านถูกเปิดออก

ใจของผมตื่นตัวขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้รีบเดินไปปิดประตู ผมเอื้อมมือไปกดสวิทช์ไฟ เพื่อเปิดไฟให้สว่าง

เสียงดัง “ต๊อก” ของการเปิดไฟ แต่ในวินาทีที่ไฟติด

ร่างของผมก็สั่นทันที เพราะวินาทีที่แสงสว่างขึ้น ผมก็พบว่าในบ้าน มีคนใส่ชุดสีขาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ใบหน้าของคนนั้นซีดขาว นอกจากนี้ที่ใบหน้าของเขายังมีบางส่วนที่เน่าเปื่อย ไม่มีตาดำเหมือนกับตาของปลาตาย

เขายืนอยู่ที่หน้าประตู หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กำลังจ้องผมด้วยสายที่โกรธแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

ในใจมีเสียงดัง “กึก” แต่ผมก็รู้ตั้งแต่แรกเห็น

เขาคนนั้นก็คือน้องชายของชาวประมงคู่นั้น ผีพนันหลี่กวางหลงที่แขวนคอตายในบ้านนั้นเอง

การปรากฎตัวของเขาทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ณ เวลานั้นผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง

แต่ไม่รอให้ผมได้สติดี หลอดไฟก็มีเสียง “แพร๊บ” ทันใดนั้นมันก็ดับลง

รอบตัวมืดดำ ในสมองมีเสียงดัง “ตูม” ระเบิดออกมา ผมตกใจกลัวจนขนลุก ร่างกายเดินถอยหลังกลับไปสองสามก้าว

และปากยังตะโกนออกมา “อา อาจารย์ เหล่าฉิน มี มีผี……”

 

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆดังออกมาจากในบ้าน “ฮึฮึฮึ”

ในเวลาเดียวกัน เสียงแหบแปลกๆของผีผู้ชายตนนั้นก็ดังออกมาจากในความมืด “คืนนี้ แกเป็นของฉัน……”

เสียงนั้นทั้งทุ้มต่ำและแปลกมาก เพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

ภายในความมืด ผมไม่มีทางมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัด ได้แต่อาศัยแสงจันทร์ที่สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่างและประตูเท่านั้น ผมมองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดและเงาสีขาวได้รางๆเท่านั้น

ผมกลัวจนกำดาบไม้ในมือจนแน่น ร่างกายยังถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง จากนั้นผมก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งเคาะประตูห้องของอาจารย์ “อาจารย์ อาจารย์!”

 

แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ดื่มหนักไป จึงไม่มีการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

ชายคนนี้เข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ และปากไม่หยุดหัวเราะแปลกๆ “ฮึฮึฮึ” เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นมาก

“หยุดตะโกนเถอะ แต่คืนนี้ อาจารย์ของแกคงไม่ได้ตื่นมาแล้วละ!” เขาพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบแห้ง

“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาอีกฉันจะฆ่าแก!” ผมรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป

แต่เหมือนว่าผีร้ายตนนี้จะได้ยินแค่คำพูดตลกๆ เขาจึงหัวเราะ “ฮึฮึฮึ” ออกมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้าปากกว้าง ลิ้นสีแดงที่ย้อมไปด้วยเลือดสดๆอันนั้น มันกำลังเลียริมฝีปากของตัวเอง ตอนนี้มันดูน่ากลัวสุดๆไปเลย

ไม่เพียงแค่นั้น ผีตนนี้ยังพูดกับผมว่า “ฆ่าฉันงั้นเหรอ แกมีความสามารถแบบนั้นด้วยเหรอฮะ”

 

หลังจากพูดจบ ใบหน้าผีร้ายตนนี้ก็เปลี่ยนไปทันที เผยสีหน้าที่สยดสยองออกมา เขากางกรงเล็บออกและพุ่งเข้ามาที่ร่างของผมทันที

เมื่อเห็นฉากแบบนี้ ผมก็เตรียมตัวต่อสู้กับเขาทันที

แต่ขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้ จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยและเย็นชาที่แฝงไปด้วยความโกรธดังขึ้น “แล้วฉันล่ะ”

สามคำ แต่เมื่อสามคำนี้ปรากฎขึ้น ใบหน้าที่สยดสยองของผีร้ายเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนไปและมีเสียงดัง “ปัง”

เขาเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา ร่างกายก็หยุดชงักไปในทันที

 

“แก แก……”

ผีผู้ชายตกตะลึง พูดจาเสียงติดขัด

แต่พึ่งพูดได้สองคำ ในบ้านก็มีเสียงที่เย็นชาของผู้หญิงปรากฎขึ้น

“ฮึ!”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เหมือนผีผู้ชายตนนั้นจะได้เจอกับผียังไงยังงั้น

เขาร้อง “อ้า..” ออกมา แล้วถอยห่างออกไปพร้อมร่างกายที่สั่นไหว ปากของเขาสั่นพะงาบๆยิ่งกว่าอะไร และยังพูดออกมาด้วยเสียงอันหวาดกลัว “ไม่ ไม่ ข้า ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้าแล้ว……”

 

ตอนนี้เหมือนกับเขาได้เจอกับอะไรบางอย่างที่ทำให้กลัวอย่างสุดขีด หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและวิ่งหนีกลับไปทันที และไม่หันมามองผมเลยสักนิด เพียงชั่วพริบตาร่างของเขาก็หายไปในความมืดที่อยู่นอกบ้านแล้ว

ขณะที่มองผีผู้ชายหายไป ผมก็ตกใจจนต้องกลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองรอบๆบ้านทันที แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยสักนิด

แต่ผมรู้ดี เสียงของผู้หญิง จะต้องเป็นของผีเมียของผมแน่ๆ

แต่มันก็แปลก ผีเมียตนนี้เป็นใครกันแน่นะ

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset