ศพ – ตอนที่ 140 วันเกิดวันที่ 10

ตอนที่ 140 วันเกิดวันที่ 10

การได้มาเจอบ้านผี ยังทำให้ผมรู้สึกสนใจมาก ตอนแรกอยากจะเดินดูที่นี่อีกสักพัก

แต่ใครจะไปรู้ว่าบ้านผีจะลดอายุไขคนได้ นี่จึงทำให้ผมไม่กล้าอยู่ต่อ

ผมยังใช้ชีวิตไม่พอ! ถ้าการเดินดูอีกนิดหน่อย จะทำให้อายุไขของผมลดลงสามปีห้าปีละก็ งั้นนี่ก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

ดังนั้นหลังจากผมพูดประโยคนี้จบ ก็บอกลาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินออกมาทันที

มู่หลงเหยียนเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงกลอกตาให้ผม และไม่สนใจผมอีก

แต่ทางยายโม่กลับหัวเราะฮ่าๆ เธอแสดงท่าทางอ่อนโยน “คุณผู้ชาย ข้าน้อยจะไปส่งท่านเอง!”

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ผายมือให้

สำหรับคนอย่างยายโม่ ผมเคารพมาก

ไม่เพียงเคยช่วยผมไว้ เธอยังแสดงท่าทางเป็นมิตรและสุภาพกับผมมาก

ยึดตามกฎของอาชีพ ผมจึงจับมือของยายโม่ “ขอบคุณมากครับยายโม่!”

ยายโม่ยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็เดินนำทางให้ผม พาผมออกไปจากบ้านหลังนี้

แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆจูชิงก็พูดกับผมว่า “ท่านนักพรตติง ขอบคุณมากนะคะ!”

เธอพูดด้วยท่าทางที่จริงจังมาก ดวงตาทั้งสองข้างแฝงไปด้วยการขอบคุณ

ผมโบกมือ “ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่ควรทำ ต่อไปเธอก็ติดตามน้องศพดีๆละ หวังว่าพลังร้ายในร่างกายของเธอจะถูกขับออกในเร็ววันนะ และรวบรวมดวงจิตวิญญาณได้เร็วๆ! ฉันไปละ ถ้ามีโอกาสค่อยเจอกันใหม่นะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็หันหลัง เดินตามยายโม่ออกไปทันที

ส่วนมู่หลงเหยียนก็เอาแต่มองผม ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

หรือตามที่ผมคิด ความสัมพันธ์ผัวเมียของผมกับมู่หลงเหยียน คงได้ประโยชน์ร่วมกันมั้ง!

ผมทำเพื่อรักษาชีวิต จึงหาผีมาเป็นผู้ช่วย

ส่วนมู่หลงเหยียนเองก็ทำเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ จึงได้แบ่งชีวิตอยู่ร่วมกับผมที่มีพลังหยาง

เพราะเหตุนี้ มู่หลงเหยียนถึงได้มีทัศนคติที่แย่มากกับผม แต่ผมเองก็ไม่เคยไปบ่นเธอ

ตอนที่ผมกำลังเดินออกมาจากสวน ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ

และแล้วผมก็พบว่าตอนนี้ มู่หลงเหยียนกำลังจ้องผมอย่างไม่ละสายตา

เมื่อเห็นผมหันกลับมา ดูเหมือนกับกวางน้อยที่ตกใจ ดวงตาสั่นไหว และรีบหันไปทันที

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนหันไป ผมก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ไปแล้วนะ!”

หลังจากพูดจบ ก็เดินตรงออกไปทางประตูทันที

หลังจากเดินตามยายโม่ผ่านโถงทางเดินมาได้สองสามเส้น สุดท้ายผมก็มาถึงประตูบ้าน

เพิ่งถึงหน้าประตู ประตูบานใหญ่นั้นก็ส่งเสียง “แอร๊ด” เปิดออกอย่างอัตโนมัติ

ใต้แสงของโคมไฟสีแดง ทำให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีแดง

“คุณผู้ชาย ข้าน้อยส่งคุณถึงหน้าประตูแล้ว คุณเดินไปตามถนนเล็กๆนั้น แล้วจะสามารถออกจากป่ากุ่ยหม่าได้เจ้าค่ะ แต่รอบๆมีเพื่อนบ้านอยู่จำนวนมาก ดังนั้นตอนที่คุณผู้ชายเดินออกไป อย่าไปรบกวนพวกเขาเด็ดขาด!” ยายโม่พูดด้วยเสียงอันแหบพร่า

เป็นธรรมดาที่ผมจะเข้าใจว่า “เพื่นบ้าน” ที่เธอพูดหมายถึงอะไร ผมจึงคำนับยายโม่และพูดว่า “ขอบคุณยายโม่มาก ผมเข้าใจดี!”

ยายโม่ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือให้ผม

ผมเองก็ไม่อยู่ต่อ เดินออกมาจากบ้านทันที

หลังจากเดินออกมาไม่นาน ประตูบานใหญ่นั้นก็ปิดลง

และจวนมู่หลงนี้ กลับมีหมอกขาวเพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก ดูเหมือนพวกมันจะเข้าปกคลุมตัวบ้านอีกชั้น พร้อมกับพลังหยินไหลที่ทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง

เย็นยะเยือก จนขนผมลุก

หลังจากมองได้แปปนึง ผมก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ หมุนตัวเดินตามถนนเพื่อออกจากป่าทันที

แต่ตามถนนเป็นเหมือนกับที่ยายโม่บอกจริงๆ รอบๆมีวิญญาณเร่ร่อนอยู่จำนวนมาก

ตอนมากับมู่หลงเหยียนยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมเดินอยู่ข้างนอกคนเดียว จึงรีบเปิดตาทันที

 

เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เห็นว่ารอบๆเต็มไปด้วยเงาสีขาว และยังได้ยินเสียงหัวเราะ “ฮึฮึฮึ” ที่น่าขนลุกโดยบังเอิญ แล้วก็มีเสียงแปลกๆอีกนิดหน่อย

แน่นอนว่าผมไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นคงไปหาเรื่องอะไรกับพวกวิญญาณชั่วร้าย แล้วก็พาปัญหามาสู่ตัวเอง ดังนั้นผมจึงก้มหน้ามองพื้นและเดินออกมาเรื่อยๆ

เดินตามทางมาไม่นาน ผมก็ออกมาจากป่ากุ่ยหม่า

แม้ว่าที่นี่ยังมีหลุมฝังศพจำนวนมาก แต่ถ้าเทียบที่นี่กับด้านใน ความรู้สึกกดดันนั้น ไม่รู้ว่ามันลดลงมากี่เท่าตัว

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ไม่ได้หยุดเดิน แถมยังเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

ทางที่ผมเดินมา แม้จะรู้สึกว่ารอบๆมีพลังหยินอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจอปัญหาอะไร

เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลาตีสองแล้ว

อาจารย์นอนหลับเรียบร้อย ผมจึงนั่งพักอยู่ที่โซฟาครู่หนึ่ง ดื่มชานิดหน่อย

จากนั้นก็หยิบธูปมาจุดที่หน้าป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียน ในเวลาเดียวกันก็ไหว้สามครั้ง

นี้คือกฎ เป็นสิ่งที่ผมทำทุกวัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ

แต่ตอนที่ผมกำลังจะปักธูป ที่ป้ายวิญญาณกลับมีเสียงของมู่หลงเหยียนดังขึ้น “เจ้าห่วย นายนี่กลับถึงบ้านช้าจริงๆ!”

เมื่อได้ยินเสียงมู่หลงเหยียน และยังพูดแบบนี้ ผมก็ทำท่าทางอึดอัดใจทันที

นี่ก็ยังเรียกช้าอีกเหรอ รู้ไหมว่าอีกนิดเดียวฉันก็จะตกคลองแล้ว

แต่ไม่รอให้ผมได้บ่น เสียงของมู่หลงเหยียนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อกี้ลืมบอกนาย วันที่สิบเดือนหน้าเป็นวันเกิดครบรอบอายุ 300 ปีของฉัน จะมีแขกมาที่บ้านหลายคน เขาจะเอาของขวัญมาอวยพรฉันที่บ้าน……”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็งงทันที

ชิบหายละ วันเกิดอายุ 300 ปี ถ้าพูดแบบนั้น งั้นยัยขี้โมโหมู่หลงเหยียนก็มีอายุ 300 ปีแล้วซิ

ตอนนั้นผมตกใจทันที ผลลัพธ์เมื่อมู่หลงเหยียนไม่ได้ยินเสียงผม เธอจึงตะโกนออกมาจากป้ายวิญญาณทันที “เจ้าห่วยได้ยินไหม!”

ผมพูดไม่ออก แต่ตอนที่มู่หลงเหยียนอารมณ์เสีย ผมยังไม่กล้าบ่นเธอ ไม่อย่างนั้นผมอาจได้ตายอย่างอนาจ

“ได้ยินแล้ว เธออยากได้ของขวัญอะไร ฉันจะซื้อให้เธอ!” ผมลากเสียงยาว แสดงท่าทางไม่มีความสุข

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดต่อ “ของขวัญไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตอนมาห้ามใส่ชุดบ้านๆมาเด็ดขาด!”

ผม……

ถ้าสามารถทำร้ายมู่หลงเหยียนได้ ตอนนี้ผมอยากยิงยัยเมียนี้ให้ตายจริงๆ

แน่นอน ว่าผมสนใจมาก แขกพวกนั้นของมู่หลงเหยียน คิดว่า 80% จะต้องเป็นผีแน่

แต่มู่หลงเหยียนร้ายกาจขนาดนั้น เมื่อคิดถึงเพื่อนผีของเธอ ผมจึงคิดว่าพวกเขาเองก็จะต้องเทพมากแน่ๆ

ดังนั้นผมจึงตอบกลับทันที “วางใจได้ ถึงตอนนั้นฉันจะไปร้านตัดผมทำผมร็อคๆ รับรองต้องหล่อมาก!”

“ฮึ! ไม่กลัวตายก็ลองไปดูซิ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็รู้สึกถึงพลังหยินที่ระเบิดออกมาจากป้ายวิญญาณ

ทำให้ตัวสั่นทันที ผมกลืนน้ำลาย เพราะรู้ว่าผีเมียกำลังขู่ผม

และถ้าขี้เกียจพูด อาจจะทำให้มู่หลงเหยียนเกิดโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วอีกเดี๋ยวก็จะออกมาฉีกผมเป็นชิ้นๆ

ผมจึงปัดธูปลงบนกระถาง แล้วพูดว่า “โอเค ฉันไปนอนก่อนนะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็เดินเข้าไปในห้องทันที

เพราะเหนื่อยมาก จึงล้างหน้าลวกๆ แล้วก็กลับมาล้มตัวลงนอน

วินาทีนั้นผมรู้สึกสบายไปทั้งตัว รู้สึกฟินสุดๆ

แต่ก็ยังคิดเรื่องวันเกิดอายุ 300 ปีของมู่หลงเหยียน มันทำให้ผมประหลาดใจมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่ามู่หลงเหยีบยจะตายได้นานขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ถึงได้มีอายุ 300 ปี

ผมค้นหาในโทรศัพท์ครู่หนึ่ง ว่าเมื่อสามร้อยปีก่อนในรัชสมัยของจักพรรดิหย่งเจิ้งแห่งราชวงค์ชิงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่ามู่หลงเหยียนไปเจอกับอะไรมา ถึงตายตั้งแต่อายุยังสาว

แต่เพราะง่วงมาก ผลลัพธ์ขณะที่กำลังคิดผมก็เผลอนอนหลับไปแล้ว

แต่สิ่งที่แปลกคือ ครั้งนี้ผมฝันเห็นเรื่องแปลกๆเหมือนวันนั้น

เห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวนั่งอยู่บนสะพาน ด้านล้างสะพานมีผีร้ายนับพันนับหมื่น ก่อตัวกันเป็นชั้นๆ พันตัวกันไปมา

พวกเขาอ้าปาก อยากกินผู้หญิงบนสะพาน

ผมเองก็เข้าไปเตือนผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด อยากลากเธอออกมาจากตรงนั้น

แต่เธอดูเหมือนธาตุอากาศ ผมจับตัวผู้หญิงไม่ได้ ไม่สามารถพูดออกเสียงได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น

แต่ผู้หญิงคนนั้น กลับดูไม่หวาดกลัว ยังพูดคำว่า “รอฉันก่อน” จากนั้นก็กระโดดลงไปทันที……

เมื่อผมตกใจตื่นจากฝัน ความกลัวที่เห็นภาพนั้นก็ยังคงอยู่ ผมพบว่าตอนนี้บนร่างกายของผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

ความฝันนั้นเหมือนจริงโครตๆ ราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าผมจริงๆ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset