ศพ – ตอนที่ 141 ข้อความขอความช่วยเหลือ

ตอนที่ 141 ข้อความขอความช่วยเหลือ

เมื่อมองเห็นห้องที่คุ้นเคย เตียงที่คุ้นตา ผมก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่

ที่แท้ตัวเองก็ฝันไป แต่ว่าความฝันนี้มันเหมือนจริงเกินไป โดยเฉพาะผีร้ายนับหมื่นนับพันที่อยู่ใต้สะพานพวกนั้น การก่อตัวเป็นชั้นๆของพวกมัน ทำให้ภาพเด่นชัดสะดุดตา และน่ากลัวสุดๆ

แต่ผู้หญิงแปลกๆคนนั้น กลับไม่ลังเล ที่จะกระโดดลงไป

ผมสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง จากนั้นจิตใจก็กลับมาสงบอีกครั้ง

แม้ว่าจะเหมือนจริงมาก และผมก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องฝันร้ายแบบนี้ติดกันถึงสองครั้ง แถมยังเป็นภาพเดียวฉากเดียวกันแปะๆ

 

แต่มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หรืออาจเป็นเพราะช่วงนี้ผมเจอผีบ่อย จิตใจเลยหวั่นวิตกเกินไป ดังนั้นผมจึงเลิกคิดมาก

เมื่อมองดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว

เนื่องจากตกใจจนตื่นแล้ว และยังไม่มีอารมณ์นอนต่อ

ผมจึงลุกขึ้นจากเตียง จุดธูปให้มู่หลงเหยียน

มองที่ห้องของอาจารย์ แต่ไม่มีคนอยู่

ผมจึงคิดว่าเขาน่าจะออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ดังนั้นผมจึงเริ่มเปิดร้าน ทำเหมือนปกติ จัดเรียงข้าวของต่างๆ

ผ่านไปไม่นาน อาจารย์ก็กลับมา เขาถือถุงน้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ แล้วก็อะไรต่อมิอะไร

 

เมื่ออาจารย์เห็นผมตื่นเช้า แถมยังทำท่าทางแปลกใจมาก

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงถามผมว่าเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง กลับมาตอนไหน

ผมก็เล่าให้เขาฟังสั้นๆ บอกว่าไปที่ป่ากุ่ยหม่า ฝังโกศผีผู้หญิงที่นั้น และต่อไปจูชิงก็จะติดตามน้องศพ

สำหรับเรื่องของมู่หลงเหยียน มีเรื่องมากมายที่ผมพูดไม่ได้ ดังนั้นผมจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องบ้านผี อาจารย์เองก็เข้าใจ จึงไม่ถามต่อ

อาจารย์เพียงพยักหน้าให้ผม บอกให้ผมกินให้อิ่มจะได้ทำงาน……

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ผมและอาจารย์ใช้ชีวิตตามปกติ แปดโมงเก้าโมงเช้าทำงาน พอห้าโมงเย็นก็ปิดร้าน

 

แต่ผมไม่ได้ลืมเรื่องการฝึก ทุกวันที่มีเวลาว่างผมก็จะฝึกฝนวิชาตลอด ทำตามที่อาจารย์สอนทุกอย่าง วาดยันต์ฝึกเดินลมปราณ

ในเวลาเดียวกัน ในใจก็แอบคิดถึงเรื่องวันเกิดของมู่หลงเหยียนอย่างเงียบๆ

มู่หลงเหยียนบอกว่าวันที่ 10 เดือนหน้า นั้นก็คือเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ หรือก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์นั่นเอง

ถ้านับจากวันนี้ ยังเหลือเวลาอีก 7-8 วัน

ผมวางแผนว่าจะให้ของบางอย่างกับมู่หลงเหยียน แต่ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นมันจะไม่ถูกใจมู่หลังเหยียน แล้วยัยเจ้าอารมณ์นั้นก็จะใช้กำลังข่มขู่ผมอีก

 

แต่ตอนที่ผมกำลังแอบคิด อาจารย์กลับเดินออกมาจากบ้าน

สิ่งที่แปลกคือ ตอนนี้อาจารย์กำลังใส่เสื้อลายดอก ด้านล่างยังใส่กางเกงขายาวและรองเท้าหนัง

เมื่อเห็นสภาพของอาจารย์ ผมก็งงทันที

“ อาจารย์ นี่ นี่จะไปออกเดทเหรอ ” ผมทำหน้าสงสัย

ผลลัพธ์ตาแก่นี้กลับกลอกตาใส่ผม “ ออกเดทกับผีนะซิ เดี๋ยวจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ของในสต็อกใกล้จะหมด ฉันจะไปดูของที่บ้านตาแก่ตง ! กลัวว่าตาแก่ตงจะส่งสินคาไม่ดีมาให้ฉันเลยจะไปดูด้วยตัวเอง ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้าพาอาจารย์สาวกลับมาให้ผมจริงๆละก็ ชีวิตในวันข้างหน้าของผมจะต้องลำบากกว่าเดิมแน่

 

และบ้านตาแก่ตงที่อาจารย์พูดถึง ก็คือร้านที่จัดหาสินค้าให้กับร้านเรา เป็นร้านที่มีช่างฝีมือดีอยู่จริงๆ แม้แต่อุปกรณ์ที่พวกเราใช้ทำพิธี ก็มาจากที่นั้นทั้งหมด

พวกเราไม่รู้ชื่อจริงของเขา แต่พวกเราก็เรียกเขาว่า “ เซียงจู๋จาง ”

แต่ชายคนนี้ทำธุรกิจค่อนข้างเหมือนโจร เนื่องจากร้านของพวกเราต้องการสินค้าจำนวนมาก จึงต้องไปดูด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะถูกเอาเปรียบได้

เทศกาลไหว้พระจันทร์จะมาถึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนที่ออกไปทำงานข้างนอกจำนวนมากก็จะกลับมารวมตัวกันที่บ้าน พวกธูป เทียน เงินกระดาษ พระเครื่องและอะไรอีกมากมาย จะขายได้ค่อนข้างดี

ทุกปีผมและอาจารย์ก็จะอาศัยวันสำคัญเหล่านี้ ขายสินค้าได้มากขึ้นและได้เงินเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย

 

เพราะการเจอกับคนรวยอย่างเถ้าแก่เหวิน ไม่ใช่ว่าจะได้เจอกันบ่อยๆ

ดังนั้นผมจึงตอบกลับอาจารย์ว่า “ งั้นครั้งนี้อาจารย์จะไปกี่วัน ”

“ อย่างมากสองวันก็กลับมาแล้ว แกอยู่บ้านเฝ้าร้านดีๆละ ถ้ามีเรื่องด่วนก็โทรหาฉัน ! ” อาจารย์จัดเสื้อผ้าของตัวเอง และพูดกับผมไปพร้อมๆกัน

อาจารย์ไม่ได้ออกไปเป็นครั้งแรก ผมจึงไม่ได้สนใจมากนัก

ผมตอบรับ “ ครับ ” จากนั้นก็พูดว่า “ วางใจได้เลยอาจารย์ ผมจะเฝ้าร้านให้ดีที่สุด ! ”

อาจารย์พยักหน้า ถือกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นและเดินออกไปทันที

เมื่อเห็นอาจารย์เดินออกไปไกลแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของผมก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้น

 

ตอนที่อาจารย์อยู่ งานยุ่งจนล้นมือ ตอนเย็นผมเล่นเกมก็โดนบ่น

ต่อไปสองวันนี้ ผมก็น่าจะได้ดื่มด่ำกับอิสระแล้ว

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ผมก็โทรไปหาเฟิงเฉ่วหานทันที

“ ตู๊ด…ตู๊ด… ” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “ ว่าไง ! ”

เมื่อได้ยินเสียงของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็พูดขึ้นมาทันที “ เหล่าเฟิง คืนนี้ไปดื่มเบียร์กินกุ้งแดงกัน ! ”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานฟังจบ ก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ตอบว่า “ ได้ ! ”

หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้ผมดพูดอีกหน่อย เจ้าเด็กนี้ก็กดวางสายผมไปซะแล้ว

แต่เฟิงเฉ่วหานเป็นคนแบบนี้ ผมจึงไม่ได้บ่นเขา

 

ตอนอาจารย์ไปก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ดังนั้นผ่านไปไม่นาน ฟ้าก็มืดแล้ว

หลังจากปิดร้านเรียบร้อย ผมก็ตรงไปที่มีแผงขายอาหารอยู่ทันที

เมื่อผมมาถึง ก็พบว่าเฟิงเฉ่วหานมารออยู่แล้ว ตอนนี้เขากำลังรอผมอยู่ที่หน้าทางเข้า

ผมพูดทักทายเฟิงเฉ่วหาน แต่เฟิงเฉ่วหานกลับทำหน้าตายด้าน พูดกับผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ เงินเดือนนายออกแล้วเหรอ ”

“ ออกอะไรละ ! อาจารย์ของฉันออกจากบ้าน ฉันอยู่บ้านคนเดียว ก็เลยอยากไปดื่มกับนาย ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เดินนำเฟิงเฉ่วหานมานั่งในร้าน

 

ไม่รอให้อาหารมาถึง ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เริ่มดื่มกันแล้ว

ผ่านไปไม่นาน กุ้งแดง หอยจุ๊บและอาหารอื่นๆก็มาเสริฟที่โต๊ะ

ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ได้เกรงใจ ใส่ถุงมือเตรียมพร้อมกินทันที

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น “ กริ๊ง…. ”

เป็นข้อความ ผมสงสัย ดึกขนาดนี้ใครกันที่ยังส่งข้อความมาหาผม

ผมเอาโทรศัพท์ที่พึ่งถอยมาใหม่เมื่อครึ่งเดือนก่อนออกมาตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อผมเห็นข้อความ ร่างกายก็นิ่งอึ้งไปในทันที

พบว่าคนส่งก็คือเสี่ยวม่าน เนื้อความมีเพียงบรรทัดเดียว

 

เมื่อเห็นเสี่ยวม่านส่งมา ในใจของผมก็ยังรู้สึกสงสัย

ดึกขนาดนี้ เสี่ยวม่านส่งข้อความมาหาฉันทำไม

ดังนั้นผมจึงเปิดดูข้อความที่ส่งมา มันเป็นข้อความเสียงยาว 4 วินาที

เดิมทีผมยังผ่อนคลาย คิดว่าฟังจบแล้วค่อยกินกุ้งแดงต่อ

แต่ใครจะรู้ เมื่อผมเปิดฟัง “ พรึบ ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที แถมตัวยังชาไปครึ่งท่อน

ได้ยินน้ำเสียงที่รีบร้อน ตกใจ และหวาดกลัวของเสี่ยวม่าน บวกกับเนื้อหาที่น่าตกใจหนักกว่าเดิม …เป่าช่วยด้วย รีบมาช่วยฉันที มีผี มีผีจริงๆ พวกเราหนีไม่พ้นแล้ว เธอจะฆ่าพวกเรา ตำบลหม่าหวาง อร๊าย !

เสียงในนั้นดังมาก และผมก็เปิดลำโพง ดังนั้นเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยินทั้งหมด

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยิน ร่างกายก็แข็งทื่อ หันมามองผมอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

ดวงตาของผมเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรง

รีบตอบกลับข้อความทันที “ เสี่ยวม่าน เธอ เธออย่างมาล้อเล่นแบบนี้นะ ! ”

แต่หลังจากส่งออกไป ผมกลับรู้สึกไม่ดี

น้ำเสียงของเสี่ยวม่าน ฟังดูไม่ได้กำลังล้อเล่นกับผมเลย

ดังนั้นผมจึงรีบหาเบอร์ของเสี่ยวม่าน จากนั้นก็กดโทรออกทันที

แต่ผลลัพธ์มันกลับปิดเครื่อง ผมยังโทรติดกันสามครั้ง แต่ก็ล้วนปิดเครื่องอยู่ นี่มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ

 

ผมจะมีอารมณ์มานั่งกินกุ้งแดงดื่มเบียร์ต่อได้ยังไงละ ผมคิดว่า 80 % เป็นเรื่องจริง จะต้องรีบไปช่วยเพื่อนที่ตำบลหม่าหวางแล้ว

จึงลุกขึ้น แสดงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดกับเฟิงเฉ่วหานทันที “ เหล่าเฟิง คืนนี้ไม่ต้องกินกุ้งแดงแล้ว นายไปเอาอาวุธมา พวกเราจะรีบไปช่วยคนที่ตำบลหม่าหวางกัน ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset