ตอนที่ 142 เรียกตัวตอนกลางคืน
ผมและเสี่ยวม่านเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก แม้ว่า 10 กว่าปีมานี้พวกเราจะไม่ได้ติดต่อกัน แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนนั้น ยังคงอยู่
ตอนนี้เสี่ยวม่านส่งข้อความขอความช่วยเหลือมาให้ผม ดังนั้นไม่ว่ายังไงผมก็ต้องไปช่วยเธอ
เฟิงเฉ่วหานไม่พูดมาก เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตอบกลับทันที “ ได้ ! ”
หลังจากพูดจบ ผมก็ทิ้งเงินเอาไว้บนโต๊ะ 200 หยวน และเดินออกมาจากร้านขายของข้างทางกับเฟิงเฉ่วหานทันที
ผมรีบมาก หลังจากออกมาก็ตรงไปที่ร้านทันที
ในเวลาเดียวกันก็โทรหาเสี่ยวม่านอีกสองสามครั้ง แต่มันกลับบอกว่าปิดเครื่องอยู่
ถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่สามารถอดกลั้นความวิตกกังวลในใจได้ จึงส่งข้อความกลับให้เสี่ยวม่าน อดทนเอาไว้ ฉันจะรีบไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้ !
หลังจากพูดจบ ผมก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว ผมรีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องนอน เปิดลิ้นชักหยิบยันต์ออกมา หยิบอาวุธต่างๆใส่กระเป๋า และรีบวิ่งออกไปจากบ้านทันที
หลังจากที่ผมมาถึงทางแยก เฟิงเฉ่วหานก็ถือดาบวิ่งตรงมาทางผม
ผมสองคนมองหน้ากัน จากนั้นผมก็พยักหน้าให้และวิ่งไปทางที่สถานีขนส่งตั้งอยู่
ระหว่างทางเฟิงเฉ่วหานถามผมว่า คนที่กำลังไปช่วยเป็นใคร
เมื่อได้ยินคำถามของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็รีบตอบกลับไปทันที บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อเฟิงเฉ่วหานฟังจบ ก็ตอบเพียง “ อือ ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
ตอนกลางคืนตำบลเล็กๆของพวกเรา มีรถเข้ามาน้อยมาก
แต่พวกเราโชคดี พึ่งมาถึงสถานีขนส่งก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่
ผมรีบเรียกรถ และพาเฟิงเฉ่วหานเข้าไปนั่งด้านในอย่างรวดเร็ว
คนขับคนนั้นรู้สึกโชคดีมาก และดีใจมาก จึงถามพวกเราสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังว่าจะไปไหน
ผมรีบตอบกลับ “ ตำบลหม่าหวาง ! ”
สำหรับตำบลหม่าหวางนี้ ผมเองก็รู้แค่พอประมาณ เป็นอีกส่วนหนึ่งของเขตชานเมือง ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล และที่นั้นก็ค่อนข้างทุรกันดาร
ตอนเด็กมากๆ ผมเคยตามอาจารย์ไปที่นั้นหนึ่งครั้ง
เมื่อคนขับรถได้ยินว่าเป็น “ ตำบลหม่าหวาง ” สามคำนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเขาแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย
หลังจากที่เขาลังเลอยู่สองวินาที ก็พูดกับพวกเราสองคนว่า “ น้องชายทั้งสอง ตอนนี้มืดแล้ว พวกนายแน่ใจนะว่าจะไปที่นั้น ”
ผมเห็นคนขับยังทำหน้าแปลกใจ และดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากไป
แต่เสี่ยวม่านอยู่ที่นั้น คืนนี้ถึงแม้ว่าต้องจี้รถ พวกเราก็ต้องไป “ พี่คนขับ พี่รีบออกรถเถอะ ! ผมให้พี่ 5 เท่า ! ”
เมื่อคนขับได้ยินคำว่า “ 5 เท่า ” เขาก็อึ้งไปในทันที จากนั้นก็พูดว่า “ ได้ ! ในเมื่อน้องชายให้ห้าเท่า งั้นพี่ก็จะขับไปส่งพวกน้อง ! ”
หลังจากพูดจบ คนขับก็เหยียบคันเร่ง ขับรถออกจากตำบลทันที
เห็นได้ชัดว่าผมกำลังรีบร้อนมาก บางครั้งก็ก้มมองโทรศัพท์ ดูว่ามีข้อความใหม่ส่งเข้ามาอีกไหม
แต่ในเวลานี้คนขับคนนั้นกลับพูดว่า “ น้องชายทั้งสอง ถึงพวกนายจะให้พี่ห้าเท่า แต่พี่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่บอกไม่ได้ ! ”
ขณะที่พูด คนขับรถก็มองพวกเราผ่านกระจกมองหลังเป็นครั้งคราว
เมื่อผมเห็นคนขับรถเป็นแบบนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าเขามีเรื่องที่ต้องพูดจริงๆ
ผมจึงพูดทันที “ พี่คนขับ พี่มีอะไรก็พูดมาเถอะ ! ”
เมื่อคนขับรถได้ยินผมพูด ก็ตอบกลับทันที “ ไม่รู้ว่าพวกนายเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนไหม ที่ตำบลหม่าหวางน่ะมีผีออกอาละวาดอยู่ ! ”
ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของผมกับเฟิงเฉ่วหานก็เปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนคนขับรถคนนี้จะพอรู้อะไรมาบ้าง
แต่ผมยังแกล้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจ แล้วถามว่า “ ที่นั้นมีผีออกอาละวาดจริงๆเหรอครับ ”
คนขับรถค่อนข้างพูดเก่ง เมื่อได้ยินผมถามแบบนั้น ก็พูดต่อทันที “ ก็ใช่นะซิ ! ที่นั้นไม่มีคนอยู่ตั้งนานแล้ว แถมยังมีอีกชื่อว่าตำบลผี ! ถ้าไม่ใช่เพราะเก็บเงินแต่งงาน หาเงินไปดาวน์บ้าน ฉันไม่มีทางมาขับรถให้พวกนายแน่ ! ”
“ พี่คนขับ มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ ” ผมถามต่อ อยากรู้ว่าคนขับรถรู้เรื่องเยอะขนาดไหน
และคนขับรถคนนั้นก็ไม่ปิดบัง ขณะขับรถ เขาก็เล่าข่าวลือเกี่ยวกับตำบลหม่าหวางให้พวกเราฟัง
หลังจากฟังไปสักพัก ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เข้าใจกันพอประมาณ และสีหน้าก็มืดมนลงเรื่อยๆ
บอกว่าเมื่อ 8 ปีก่อน ที่ตำบลหม่าหวางจะถูกสร้างให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงมีการเตรียมรื้อถอนบ้านเรือนเก่าๆแล้วสร้างใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม
เพราะมีปัญหาเรื่องค่าตอบแทน ดังนั้นชาวบ้านในตำบลจึงเริ่มทะเลาะกับนักพัฒนา
ตอนแรกเริ่มนักพัฒนามีกำหนดการการก่อสร้างแน่นเอียด เพื่อที่จะสร้างให้เสร็จทันเวลา นักพัฒนาจึงเริ่มไปหาพวกนักเลง
ถ้าชาวบ้านคนไหนไม่พอใจกับค่าตอบแทน และอยากทำลายบ้านของเขาทิ้ง แน่นอนว่าจะต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ผลลัพธ์เรื่องเริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นมีผู้ชายสามคนเจ็บหนักจนตาย
แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับโครงการการท่องเที่ยว ส่งผลต่อรายได้ของประเทศ ดังนั้นเบื้องบนจึงปิดข่าวเอาไว้
และครอบครัวของผู้ชายสามคนที่ตายก็มีฐานะธรรมดาๆเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่เพียงถูกพังบ้าน ผู้ชายในครอบครัวยังต้องตายอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่ารังเกลียดยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขายังไปฟ้องกับทางการ แต่เบื้องบนก็ยังสนับสนุนนักพัฒนา และให้ค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ
ผ่านไปไม่นาน ครอบครัวทั้งสามบ้านนี้ก็รู้สึกว่าโลกเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมน พวกเขาสูญเสียความหวังในการมีชีวิตต่อ
ทั้งสามครอบครัว มีทั้งหมด 11 ชีวิต รวมตัวกันฆ่าตัวตายในคืนเดียว
ครอบครัวหนึ่งกระโดดบ่อน้ำตาย ครอบครัวหนึ่งแขวนคอตาย และอีกครอบครัวหนึ่งกินยาพิษตาย
เนื่องจากการฆ่าตัวตายของสามครอบครัวนี้ ทำให้นักพัฒนาสามารถเข้ามาควบคุมแผนการได้ต่อ แต่วันรุ่งขึ้นเขาก็เสียชีวิตอย่างผิดปกติในสถานที่ก่อสร้าง
เรื่องประเภทนี้แปลกประหลาดเกินไป และเป็นข่าวลือที่น่าเขย่าขวัญ
ผลลัพธ์ข่าวลือเรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปในพื้นที่อย่างรวดเร็ว แม้ว่าข่าวลือจะถูกปิดเอาไว้
แต่เรื่องนี้ก็ยังแพร่ออกมา จากปากต่อปาก จึงทำให้รัฐบาลในพื้นที่ปิดไม่มิดอีกต่อไป บวกกับนักพัฒนาก็ตายไปแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกสั่งหยุด แต่หยุดมาถึง 8 ปีแล้ว
เรื่องนี้ก็ยังไม่จบซะที มันยังแพร่ไปไกล
ตามที่คนขับพูด หลังจากที่ครอบครัวทั้งสามฆ่าตัวตาย วิญญาณก็กลายเป็นผีร้าย จึงลอยไปลอยมาอยู่ในตำบลตลอดทั้งวัน
โดยเฉพาะเมื่อตกกลางคืน คนที่อยู่ที่นั้นก็จะได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้น
ดังนั้นชาวบ้านในตำบลจึงตกใจขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเหตุนี้ผู้คนจำนวนมากจึงย้ายออกมาจากตำบลเล็กๆนั้น
ในตอนนี้มันก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว ตำบลเล็กๆแห่งนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็น “ ตำบลผี ” ไปแล้ว ในตำบลจึงมีหญ้าขึ้นรกทึบ ไม่มีใครอยู่อาศัยอีก……
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
ถ้าพูดแบบนั้น งั้นสถานที่ทุรกันดาร ที่ไม่มีแม้แต่เงาคนแบบนั้น เสี่ยวม่านที่เป็นนักเรียนนอกจบใหม่ จะไปที่นั้นทำไม
ขณะที่ผมกำลังสงสัย จู่ๆคนขับรถก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ น้องชายสองคน อย่าว่าพี่ชายพูดมากเลย แต่สถานที่แห่งนั้นมันน่ากลัวจริงๆนะ ให้พี่กลับไปส่งพวกน้องไหม พี่ไม่คิดค่ารถพวกน้องเลยนะ ! ถ้าไปเจอเข้ากับอะไรจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลยนะน้องชาย ! ”
คนขับรถเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ผมกลับหัวเราะออกมาเบาๆ “ พี่คนขับ พี่ขับต่อไปเถอะครับ ! ”
เมื่อคนขับเห็นผมสองคนมั่นใจแบบนั้น จึงไม่พูดเรื่องนี้อีก
ส่วนผมกับเฟิงเฉ่วหาน กลับเริ่มวิเคราะห์เรื่องราวของตำบลหม่าหวาง
ถ้าสิ่งที่คนขับพูดเป็นเรื่องจริง งั้นก็หมายความว่า สถานที่แห่งนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีผี 11 ตัว !
ผมและเฟิงเฉ่วหานมีแค่สองคน ถ้ารีบเข้าไปช่วยคนทั้งๆแบบนี้ พอได้เผชิญหน้า ผีที่มียังไม่ใช่แค่ 1 หรือ 2 ตัว แต่เป็นฝูง
มีโอกาสมาก ที่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง
แต่ทางที่ไปตำบลหม่าหวาง ต้องผ่านมหาลัยศิลปะชิงชานพอดี ดังนั้นผมจึงโทรหาหยางเฉ่ว
หวังว่าหยางเฉ่วจะมาช่วยได้
เมื่อหยางเฉ่วรับโทรศัพท์ผม เธอกำลังกินข้าวเย็นกับเพื่อนอยู่
เมื่อได้ยินเรื่องของผม เธอก็ไม่สงสัยเลยสักนิด ตอบตกลงทันที และเธอยังบอกผมว่าให้ไปรอเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยแป๊บนึง…….