ศพ – ตอนที่ 142 เรียกตัวตอนกลางคืน

ตอนที่ 142 เรียกตัวตอนกลางคืน

ผมและเสี่ยวม่านเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก แม้ว่า 10 กว่าปีมานี้พวกเราจะไม่ได้ติดต่อกัน แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนนั้น ยังคงอยู่

ตอนนี้เสี่ยวม่านส่งข้อความขอความช่วยเหลือมาให้ผม ดังนั้นไม่ว่ายังไงผมก็ต้องไปช่วยเธอ

เฟิงเฉ่วหานไม่พูดมาก เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตอบกลับทันที “ ได้ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ทิ้งเงินเอาไว้บนโต๊ะ 200 หยวน และเดินออกมาจากร้านขายของข้างทางกับเฟิงเฉ่วหานทันที

ผมรีบมาก หลังจากออกมาก็ตรงไปที่ร้านทันที

ในเวลาเดียวกันก็โทรหาเสี่ยวม่านอีกสองสามครั้ง แต่มันกลับบอกว่าปิดเครื่องอยู่

 

ถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่สามารถอดกลั้นความวิตกกังวลในใจได้ จึงส่งข้อความกลับให้เสี่ยวม่าน อดทนเอาไว้ ฉันจะรีบไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้ !

หลังจากพูดจบ ผมก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว ผมรีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องนอน เปิดลิ้นชักหยิบยันต์ออกมา หยิบอาวุธต่างๆใส่กระเป๋า และรีบวิ่งออกไปจากบ้านทันที

หลังจากที่ผมมาถึงทางแยก เฟิงเฉ่วหานก็ถือดาบวิ่งตรงมาทางผม

ผมสองคนมองหน้ากัน จากนั้นผมก็พยักหน้าให้และวิ่งไปทางที่สถานีขนส่งตั้งอยู่

ระหว่างทางเฟิงเฉ่วหานถามผมว่า คนที่กำลังไปช่วยเป็นใคร

 

เมื่อได้ยินคำถามของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็รีบตอบกลับไปทันที บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อเฟิงเฉ่วหานฟังจบ ก็ตอบเพียง “ อือ ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

ตอนกลางคืนตำบลเล็กๆของพวกเรา มีรถเข้ามาน้อยมาก

แต่พวกเราโชคดี พึ่งมาถึงสถานีขนส่งก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่

ผมรีบเรียกรถ  และพาเฟิงเฉ่วหานเข้าไปนั่งด้านในอย่างรวดเร็ว

คนขับคนนั้นรู้สึกโชคดีมาก และดีใจมาก จึงถามพวกเราสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังว่าจะไปไหน

ผมรีบตอบกลับ “ ตำบลหม่าหวาง ! ”

 

สำหรับตำบลหม่าหวางนี้ ผมเองก็รู้แค่พอประมาณ เป็นอีกส่วนหนึ่งของเขตชานเมือง ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล และที่นั้นก็ค่อนข้างทุรกันดาร

ตอนเด็กมากๆ ผมเคยตามอาจารย์ไปที่นั้นหนึ่งครั้ง

เมื่อคนขับรถได้ยินว่าเป็น “ ตำบลหม่าหวาง ” สามคำนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเขาแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย

หลังจากที่เขาลังเลอยู่สองวินาที ก็พูดกับพวกเราสองคนว่า “ น้องชายทั้งสอง ตอนนี้มืดแล้ว พวกนายแน่ใจนะว่าจะไปที่นั้น ”

ผมเห็นคนขับยังทำหน้าแปลกใจ และดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากไป

 

แต่เสี่ยวม่านอยู่ที่นั้น คืนนี้ถึงแม้ว่าต้องจี้รถ พวกเราก็ต้องไป “ พี่คนขับ พี่รีบออกรถเถอะ ! ผมให้พี่ 5 เท่า ! ”

เมื่อคนขับได้ยินคำว่า “ 5 เท่า ” เขาก็อึ้งไปในทันที จากนั้นก็พูดว่า “ ได้ ! ในเมื่อน้องชายให้ห้าเท่า งั้นพี่ก็จะขับไปส่งพวกน้อง ! ”

หลังจากพูดจบ คนขับก็เหยียบคันเร่ง ขับรถออกจากตำบลทันที

เห็นได้ชัดว่าผมกำลังรีบร้อนมาก บางครั้งก็ก้มมองโทรศัพท์ ดูว่ามีข้อความใหม่ส่งเข้ามาอีกไหม

แต่ในเวลานี้คนขับคนนั้นกลับพูดว่า “ น้องชายทั้งสอง ถึงพวกนายจะให้พี่ห้าเท่า แต่พี่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่บอกไม่ได้ ! ”

ขณะที่พูด คนขับรถก็มองพวกเราผ่านกระจกมองหลังเป็นครั้งคราว

 

เมื่อผมเห็นคนขับรถเป็นแบบนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าเขามีเรื่องที่ต้องพูดจริงๆ

ผมจึงพูดทันที “ พี่คนขับ พี่มีอะไรก็พูดมาเถอะ ! ”

เมื่อคนขับรถได้ยินผมพูด ก็ตอบกลับทันที “ ไม่รู้ว่าพวกนายเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนไหม ที่ตำบลหม่าหวางน่ะมีผีออกอาละวาดอยู่ ! ”

ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของผมกับเฟิงเฉ่วหานก็เปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนคนขับรถคนนี้จะพอรู้อะไรมาบ้าง

แต่ผมยังแกล้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจ แล้วถามว่า “ ที่นั้นมีผีออกอาละวาดจริงๆเหรอครับ ”

 

คนขับรถค่อนข้างพูดเก่ง เมื่อได้ยินผมถามแบบนั้น ก็พูดต่อทันที “ ก็ใช่นะซิ ! ที่นั้นไม่มีคนอยู่ตั้งนานแล้ว แถมยังมีอีกชื่อว่าตำบลผี ! ถ้าไม่ใช่เพราะเก็บเงินแต่งงาน หาเงินไปดาวน์บ้าน ฉันไม่มีทางมาขับรถให้พวกนายแน่ ! ”

“ พี่คนขับ มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ ” ผมถามต่อ อยากรู้ว่าคนขับรถรู้เรื่องเยอะขนาดไหน

และคนขับรถคนนั้นก็ไม่ปิดบัง ขณะขับรถ เขาก็เล่าข่าวลือเกี่ยวกับตำบลหม่าหวางให้พวกเราฟัง

หลังจากฟังไปสักพัก ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เข้าใจกันพอประมาณ และสีหน้าก็มืดมนลงเรื่อยๆ

บอกว่าเมื่อ 8 ปีก่อน ที่ตำบลหม่าหวางจะถูกสร้างให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงมีการเตรียมรื้อถอนบ้านเรือนเก่าๆแล้วสร้างใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม

 

เพราะมีปัญหาเรื่องค่าตอบแทน ดังนั้นชาวบ้านในตำบลจึงเริ่มทะเลาะกับนักพัฒนา

ตอนแรกเริ่มนักพัฒนามีกำหนดการการก่อสร้างแน่นเอียด เพื่อที่จะสร้างให้เสร็จทันเวลา นักพัฒนาจึงเริ่มไปหาพวกนักเลง

ถ้าชาวบ้านคนไหนไม่พอใจกับค่าตอบแทน และอยากทำลายบ้านของเขาทิ้ง แน่นอนว่าจะต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้น

ผลลัพธ์เรื่องเริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ  ตอนนั้นมีผู้ชายสามคนเจ็บหนักจนตาย

แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับโครงการการท่องเที่ยว ส่งผลต่อรายได้ของประเทศ ดังนั้นเบื้องบนจึงปิดข่าวเอาไว้

และครอบครัวของผู้ชายสามคนที่ตายก็มีฐานะธรรมดาๆเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่เพียงถูกพังบ้าน ผู้ชายในครอบครัวยังต้องตายอีกด้วย

 

แต่สิ่งที่น่ารังเกลียดยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขายังไปฟ้องกับทางการ แต่เบื้องบนก็ยังสนับสนุนนักพัฒนา และให้ค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ

ผ่านไปไม่นาน ครอบครัวทั้งสามบ้านนี้ก็รู้สึกว่าโลกเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมน พวกเขาสูญเสียความหวังในการมีชีวิตต่อ

ทั้งสามครอบครัว มีทั้งหมด 11 ชีวิต รวมตัวกันฆ่าตัวตายในคืนเดียว

ครอบครัวหนึ่งกระโดดบ่อน้ำตาย ครอบครัวหนึ่งแขวนคอตาย และอีกครอบครัวหนึ่งกินยาพิษตาย

เนื่องจากการฆ่าตัวตายของสามครอบครัวนี้ ทำให้นักพัฒนาสามารถเข้ามาควบคุมแผนการได้ต่อ แต่วันรุ่งขึ้นเขาก็เสียชีวิตอย่างผิดปกติในสถานที่ก่อสร้าง

เรื่องประเภทนี้แปลกประหลาดเกินไป และเป็นข่าวลือที่น่าเขย่าขวัญ

 

ผลลัพธ์ข่าวลือเรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปในพื้นที่อย่างรวดเร็ว แม้ว่าข่าวลือจะถูกปิดเอาไว้

แต่เรื่องนี้ก็ยังแพร่ออกมา จากปากต่อปาก จึงทำให้รัฐบาลในพื้นที่ปิดไม่มิดอีกต่อไป บวกกับนักพัฒนาก็ตายไปแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกสั่งหยุด แต่หยุดมาถึง 8 ปีแล้ว

เรื่องนี้ก็ยังไม่จบซะที มันยังแพร่ไปไกล

ตามที่คนขับพูด หลังจากที่ครอบครัวทั้งสามฆ่าตัวตาย วิญญาณก็กลายเป็นผีร้าย จึงลอยไปลอยมาอยู่ในตำบลตลอดทั้งวัน

โดยเฉพาะเมื่อตกกลางคืน คนที่อยู่ที่นั้นก็จะได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้น

ดังนั้นชาวบ้านในตำบลจึงตกใจขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเหตุนี้ผู้คนจำนวนมากจึงย้ายออกมาจากตำบลเล็กๆนั้น

 

ในตอนนี้มันก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว ตำบลเล็กๆแห่งนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็น “ ตำบลผี ” ไปแล้ว ในตำบลจึงมีหญ้าขึ้นรกทึบ ไม่มีใครอยู่อาศัยอีก……

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

ถ้าพูดแบบนั้น งั้นสถานที่ทุรกันดาร ที่ไม่มีแม้แต่เงาคนแบบนั้น เสี่ยวม่านที่เป็นนักเรียนนอกจบใหม่ จะไปที่นั้นทำไม

ขณะที่ผมกำลังสงสัย จู่ๆคนขับรถก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ น้องชายสองคน อย่าว่าพี่ชายพูดมากเลย แต่สถานที่แห่งนั้นมันน่ากลัวจริงๆนะ ให้พี่กลับไปส่งพวกน้องไหม พี่ไม่คิดค่ารถพวกน้องเลยนะ ! ถ้าไปเจอเข้ากับอะไรจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลยนะน้องชาย ! ”

 

คนขับรถเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ผมกลับหัวเราะออกมาเบาๆ “ พี่คนขับ พี่ขับต่อไปเถอะครับ ! ”

เมื่อคนขับเห็นผมสองคนมั่นใจแบบนั้น จึงไม่พูดเรื่องนี้อีก

ส่วนผมกับเฟิงเฉ่วหาน กลับเริ่มวิเคราะห์เรื่องราวของตำบลหม่าหวาง

ถ้าสิ่งที่คนขับพูดเป็นเรื่องจริง งั้นก็หมายความว่า สถานที่แห่งนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีผี 11 ตัว !

ผมและเฟิงเฉ่วหานมีแค่สองคน ถ้ารีบเข้าไปช่วยคนทั้งๆแบบนี้ พอได้เผชิญหน้า ผีที่มียังไม่ใช่แค่ 1 หรือ 2 ตัว แต่เป็นฝูง

มีโอกาสมาก ที่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง

 

แต่ทางที่ไปตำบลหม่าหวาง ต้องผ่านมหาลัยศิลปะชิงชานพอดี ดังนั้นผมจึงโทรหาหยางเฉ่ว

หวังว่าหยางเฉ่วจะมาช่วยได้

เมื่อหยางเฉ่วรับโทรศัพท์ผม เธอกำลังกินข้าวเย็นกับเพื่อนอยู่

เมื่อได้ยินเรื่องของผม เธอก็ไม่สงสัยเลยสักนิด ตอบตกลงทันที และเธอยังบอกผมว่าให้ไปรอเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยแป๊บนึง…….

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset