ตอนที่ 146 ผีสามรุ่น
จู่ๆก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ในใจของพวกเราสามคนจึงมีเสียงดัง “ กึก ”
แม้อีกฝ่ายจะพูดว่า “ นักพัฒนา ” “ ทำลายบ้าน ” แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดกับพวกเรา
และทิศทางที่สายตาของพวกเขามองมา ยังเป็นที่ที่พวกเรากำลังซ่อนอยู่ชัดๆ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ในเวลาเดียวกันก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วว่า “ แม่งเอ้ย เหมือนพวกเราจะถูกจับได้แล้ว ตอนนี้ดูเหมือน ต้องสู้ตรงแล้วๆ ! ”
ผมพูดออกมา ในเวลาเดียวกันก็จับดาบไม้ในมือแน่น
หยางเฉ่วและฟิงเฉ่วหานก็มองออกว่าสถานการณ์เป็นยังไง ตอนนี้คิดจะลอบโจมตี คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงพยักหน้าให้ผมแรงๆ แสดงความเห็นด้วย
คำว่านักพัฒนา ทำลายบ้านอะไรนั้นที่ได้ยินจากพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามันคล้ายกับข่าวลือที่คนขับรถแท็กซี่พูดถึง
ถูกบังคับให้ทำลายบ้าน ชาวบ้านไม่มีทางเลือกจนต้องฆ่าตัวตาย
ผีสามตนตรงหน้า ก็คงเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ฆ่าตัวตาย
ขณะที่ผมกำลังแอบคิดอยู่ในใจ ก็ลุกขึ้นยืนแล้ว จากนั้นก็แหวกพุ้มหญ้าตรงหน้าออก และเดินออกไปตรงๆ
หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหาน เองก็เดินตามหลังผมมา อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้พวกเราได้เผชิญหน้ากันแล้ว แต่สีหน้าของทุกคนกลับดูไม่ค่อยดี
จุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อช่วยคน ดังนั้นจึงไม่มีเจตนาที่จะลงมือก่อน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงผมพูดว่า “ คนที่มาที่นี่เมื่อก่อนหน้านี้ ยังมีชีวิตอยู่ไหม ”
ผมเองก็ไม่รู้ว่าผีร้ายพวกนี้จะเข้าใจคำพูดของผมไหม แต่ยังไงก็ต้องถามเอาไว้ก่อน
แต่เสียงพึ่งเงียบลง เด็กผู้หญิงอายุ 6-7 ขวบคนนั้นก็ตอบกลับด้วยเสียงที่เย็นชา “ ฮึ ไอ้นักพัฒนาพวกนั้นตายหมดแล้ว ตอนนี้ถึงตาพวกแกแล้ว ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ “ พรึบ ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที
ตายหมดแล้ว นี่ไม่ได้กำลังบอกว่า เสี่ยวม่านเองก็ตายแล้วเหรอ
ไม่รอให้ผมได้ตอบโต้ หรือถามอีกครั้ง ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้น พลังชั่วร้ายไหลมาทางพวกเรา และตัวเธอเอง ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที
การเคลื่อนไหวของเธอเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาก็เข้ามาอยู่ตรงหน้าของพวกเราแล้ว
“ ลงมือ ! ” หยางเฉ่วตะโกน ถือดาบไม้ขึ้นมารับการโจมตีทันที
เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ลังเล ลงมือกับอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี ความเป็นไปได้ในการถามเมื่อก่อนหน้านี้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงทำได้แค่สู้กัน จัดการพวกมันได้แล้ว ถึงจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้
ถ้าอีกฝ่ายฆ่าเสี่ยวม่านจริงๆ ผมก็จะไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ
ผมกัดฟัน กำดาบไม้เข้าไปปะทะทันที
ส่วนผีอีกสองตัว เมื่อเห็นพวกเราลงมือ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน
พวกเราอยู่ไม่ไกลกันมาก ดังนั้นเพียงชั่วพริบตาการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว
ผีร้ายสามตัวนี้ดุร้ายมาก พลังหยินที่มีก็เยอะมาก
เมื่อพวกเราเข้าปะทะ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาทันที
ผมต่อสู้กับผีผู้หญิงวัยกลางคน ดูท่าทางธรรมดามาก แต่ดวงตาสีขาวโพลนคู่นั้น กลับทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
ผมได้ยินเธอคำราม “ โฮก ” ออกมา จากนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้นกวาดมาที่หัวของผม พละกำลังของเธอมหาศาล และเร็วมาก
ผมจะกล้าชักช้าอยู่ได้ยังไง รีบยกดาบไม้ขึ้นมาป้องกันทันที
“ ปัก ” กรงเล็บพวกนั้นข่วนโดนดาบไม้ของผมจังๆ
ผมตกตะลึงในใจ เธอร้ายกาจมาก
ถ้ากรงเล็บพวกนั้นโดนตัวผมละก็ มีหวังเนื้อได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆแน่
ผมไม่กล้าชักช้า รีบโต้กลับทันที
ส่วนทางด้านเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่ว ก็โดนกดดันไม่น้อยไปกว่าผม
แรงอาฆาตของผีสามตนนี้มีเยอะไม่ใช่เล่นๆ ดังนั้นพลังของพวกเราจึงต่างกันไม่มาก
แต่ผีร้ายสามตนนี้ไม่ได้เพิ่งเป็นผีร้ายใหม่ๆ ต่างเคยฆ่าคน จึงดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก ตอนลงมือก็รุนแรงผิดปกติ
แต่หลายวันมานี้ผมลงทุนลงแรงฝึกฝนอย่างหนัก และการสะสมประสบการณ์ที่รับจากการต่อสู้มาไม่น้อย นั้นจึงทำให้ผมไม่ใช่ติงฝานที่อ่อนแอเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ผมใช้พลังของตัวเอง และทักษะการต่อสู้ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ จึงสามารถป้องกันการโจมตีของผีผู้หญิงได้
ส่วนทางด้านของเฟิงเฉ่วหาน ก็ต่อสู้กันอย่างสูสี แต่ท่าทางจะดีกว่าผมนิดหน่อย
สำหรับหยางเฉ่ว เธอดีกว่าใครเพื่อน
ดูจากท่าทางเหมือนผมและเฟิงเฉ่วหานจะทำได้เพียงยืดระยะให้นานออกไป ถ้าเวลาผ่านไปอีกหน่อย หยางเฉ่วจะต้องจัดการผีเด็กได้แน่
และเมื่อถึงเวลานั้น จากการต่อสู้สามต่อสอง ชัยชนะก็จะตกอยู่ในกำมือของพวกเราแน่
พวกเราต่อสู้อย่างสุดกำลัง พยายามจัดการกับผีสามตัวอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่โจมตีหรือป้องกันก็จะจริงจังอย่างมาก เพราะความประมาทเล็กน้อย ก็อาจทำให้บาดเจ็บ หรือไม่ก็ตายได้
หลังจากต่อสู้กันมาได้ 10 นาทีกว่าๆ ผมก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มอ่อนแอขึ้น เสื้อที่ใส่ได้เปียกเหงื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ยัยผีนั้นกลับยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ผมเรื่อยๆ แต่ในเวลานี้เอง ในที่สุดหยางเฉ่วก็เป็นผู้ชนะ
จู่ๆหยางเฉ่วก็ตะโกนออกมา “ ทำลาย ! ”
เสียงพึ่งจางหาน หยางเฉ่วก็เอื้อมมือออกไป
ทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกของผีเด็ก ผมได้ยินแค่เสียงดัง “ ปัก ” จากนั้นผีเด็กตนนั้นก็กระเด็นออกไปทันที
เธอยังกรีดร้องออกมา “ อร๊าย ” จากนั้นร่างของเธอก็ล่วงลงพื้นไปทันที
“ ลูกรัก ! ” ทันใดนั้นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่สู้กับผมอยู่ก็อุทานด้วยความตกใจ เธอถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัวมาก
“ แกกล้าทำร้ายหลานสาวของฉัน ฉันจะฉีกพวกแกเป็นชิ้นๆ ! ” จู่ๆผีตาแก่ตัวนั้นก็บ้าคลั่ง
เขาต่อสู้กับเฟิงเฉ่วหานอย่างเอาเป็นเอาตาย
เฟิงเฉ่วหานเองก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเกิดบ้าขึ้นมาอย่างกระทันหัน ผลลัพธ์ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ถูกโจมตีแล้ว
ตอนนี้แขนขวาของเขาถูกข่วน เลือดสดๆไหลหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผมเห็นทางฝั่งของเฟิงเฉ่วหานมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น ก็รีบกำดาบไปทางนั้นทันที
“ ตายไปซะ ! ”
เมื่อผีตาแก่เห็นผมเข้ามาอย่างกระทันหัน จึงเบี่ยงตัวหลบ และถอยไปอีกฝั่งทันที
“ เหล่าเฟิง เป็นยังไงบ้าง ” ผมมองแขนของเฟิงเฉ่วหาน พร้อมกับถามด้วยความห่วงใย
“ ไม่ ไม่เป็นไร แค่แผลภายนอก ! ” แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานจะบาดเจ็บ และบาดแผลค่อนข้างใหญ่ แต่สีหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง เขาแค่ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว และจับบาดแผลของตัวเองเอาไว้
ในเวลานี้หยางเฉ่วเองก็รีบเข้ามา ดึงผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าคาดเอวเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ “ รีบพันเร็ว ! ”
เฟิงเฉ่วหานเป็นชายแท้ เขาจับผ้าพันแผลมา ไม่ต้องให้พวกเราช่วยเหลือ ตัวเองก็พันเสร็จแล้ว
ส่วนผีตาแก่กับผีผู้หญิงวัยกลางคนนั้น ก็ถอยไปดูอาการของผีเด็ก
ฝ่ามือเมื่อกี้ของหยางเฉ่ว เป็นการใช้คาถาประเภทหนึ่ง
หลังจากผีเด็กโดนคาถา ถึงเธอจะไม่ตายแต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้ร่างกายจึงเริ่มกระตุกและสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังบาดเจ็บสาหัส
“ ลูกรัก ลูกรักไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว แม่จะปกป้องหนูเองนะ ! ” ผีผู้หญิงพูดด้วยความห่วงใย ของคนเป็นแม่ เธอลูบไล้แก้มเนียนๆของผีเด็ก นี่จึงทำให้พวกเราแปลกใจมาก
เพราะจากมุมมองของพวกเรา วิญญาณที่กลายเป็นผีร้ายแล้ว น่าจะไม่มีความรู้สึกเหลืออยู่
สิ่งที่พวกเขาควรมี ก็น่าจะเหลือแค่สัญชาตญาณสัตว์ร้ายถึงจะถูกต้อง
แต่ทำไมกัน ทำไมตอนนี้ยัยผีวัยกลางคนนั้นถึงยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ละ
“ หลานของปู่ อดทนก่อนนะ อีกเดี๋ยวรอให้ปู่จับไอ้พวกนักพัฒนานั้นได้ แล้วเธอค่อยสูบพลังชีวิตจากพวกมัน เธอจะต้องดีขึ้นแน่นอน ! ” ผีตาแก่นั่งข้างๆผีเด็ก พร้อมพูดให้กำลังใจเธอ
จากนั้น ผีตาแก่นั้นก็หันมาอย่างรวดเร็ว เขาจ้องพวกเราตาไม่กระพริบ ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
และในเวลานี้เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน มองพวกเราอย่างอาฆาต ทันใดนั้นเขาก็คำรามออกมา “ อ๊ากกกก ”
เสียงลากยาวมาก ทุ้มต่ำมาก และแสบแก้วหูมาก เมื่อได้ยินผมก็รู้สึกอึดอัดมากทีเดียว
ตอนแรกพวกเรายังไม่ได้สนใจ เพียงคิดว่าตาแก่นี้แค่ร้องเอะอะโวยวาย
แต่หลังจากเสียงกรีดร้องของตาแก่หยุดลง พวกเราถึงได้รู้ว่า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว……
ทันใดนั้นรอบๆจัตุรัส ก็มีลมกระโชกแรงพัดเข้ามา
จากนั้น เสียงคำราม “ กากากา ” ของสัตว์ร้ายก็ดังขึ้นจากทุกสารทิศ
ระหว่างที่เสียงคำรามดังขึ้น เสียงฝีเท้าและการสั่นไหวของหญ้าก็ดังขึ้น
“ มีบางอย่างกำลังเข้ามา ! ” หยางเฉ่วขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันก็มองไปรอบๆ
แต่ไม่รอให้พวกเราได้พูดอะไร ทันใดนั้นในพุ่มหญ้าที่ห่างออกไป ก็มีรูปร่างของ “ คน ” ปรากฎขึ้น
เมื่อรูปร่างของ “ คน ” ปรากฎตัวขึ้น มันก็ทำให้พวกเราตกตะลึงในทันที
เห็นเพียงตัวของผู้ชายคนนั้นบวมไปหมด มีบางแห่งเน่าไปแล้ว และมาพร้อมกับกลิ่นลมหายใจที่เหม็นเน่า
ในเวลานี้เขาก็กำลังเขย่งเข้ามา เหมือนกับศพเดินได้ ส่งเสียงร้อง “ กากากา ” พร้อมกับตรงเข้ามาทางที่พวกเรายืนอยู่
แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขณะที่ศพเน่าๆนั้นปรากฎตัว รอบๆก็ยังมีศพแบบเดียวกันถึงสี่ห้าศพปรากฎออกมาเช่นกัน
สภาพของพวกเขาเหมือนซ่อมบี้ ทุกตัวต่างเขย่งเข้ามา จากทั่วทุกสารทิศของตำบล
นอกจากศพจะเน่า ค่อนข้างน่ารังเกียจ และร่างกายขยับได้เหมือนที่บรรยายไปตอนแรกแล้ว ที่ใบหน้าของพวกเขายังขาวซีดไม่มีพลังชีวิต แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีกแล้ว
และชุดที่พวกเขาใส่ ก็เหมือนกับศพที่พวกเราเจอเมื่อก่อนหน้านี้เป๊ะ ต่างก็ใส่เสื้อคลุมกันหนาว และแบกกระเป๋าเหมือนกัน
ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่รอบๆคอของพวกเขา ก็จะมีลักษณะพิเศษเหมือนกัน นั้นก็คือรอยกัดของเขี้ยว
เห็นได้ชัดว่า คนพวกนี้มาด้วยกัน
แต่พวกเขาถูกกัดตายที่นี่ จนกลายเป็น “ ศพเดินได้ ” ที่แปลกประหลาด ไม่มีวิญญาณ และไม่มีผีที่ควบคุมอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่เท่ากับผีดิบ แต่ก็ถือว่าเป็นศพเดินได้
ผมรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าหนึ่งในนี้ไม่มีเสี่ยวม่านอยู่
ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมีไฟแห่งความหวังลุกขึ้นมา หรือบางทีเสี่ยวม่านอาจจะยังมีชีวิตอยู่
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆผีตาแก่ก็พูดออกมา “ พวกนักพัฒนาที่น่ารังเกลียดอย่างพวกแก กล้าทำร้ายหลานสาวของฉัน อีกเดี๋ยวฉันจะสูบพลังชีวิตจากพวกแกให้หมด ทำให้ศพของพวกแกกลายเป็นทาสของฉัน…… ”