ศพ – ตอนที่ 147 ศพทาส

ตอนที่ 147 ศพทาส

คำพูดของผี 3 ตนนี้ มักทำให้พวกเรารู้สึกอึดอัด

ไม่ว่าจะอ้าปากหรือหุบปากก็มักจะพูดว่า “ นักพัฒนา ” นี่คงเป็นเพราะถูกนักพัฒนาทำร้ายจนกลายเป็นปม ดังนั้นเมื่อตายไปแล้วจึงชอบเห็นใครต่อใครเป็นนักพัฒนา

แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าผีพวกนี้ พวกเขากลายเป็นวิญญาณร้ายอย่างสมบูรณ์แล้ว แถมยังเรียกพวกทาสศพขึ้นมาจากความตาย นั้นจึงทำให้พวกเราไม่กล้าประมาทยิ่งกว่าเดิม

แม้ว่าจะดูแปลกอยู่บ้าง เพราะหลังจากพวกเขากลายเป็นวิญญาณร้าย กลับมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็จะประมาทไม่ได้

เมื่อผมเห็นว่าถูกล้อมเอาไว้ และศพแปลกๆเหล่านั้นกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา ผมจึงพูดว่า “ อีกฝ่ายคนเยอะกว่า ดังนั้นอีกเดี๋ยวพวกเราห้ามแยกออกจากกัน ! ต้องร่วมมือกันกำจัดพวกมันแล้วละ ”

 

ผมพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในเวลาเดียวกันก็สำรวจไปรอบๆ

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อคนน้อยสู้กับคนที่เยอะกว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่สามารถสู้เพียงลำพังได้

แต่ผีตาแก่ที่อยู่ห่างออกไป กลับจ้องพวกเราตาขวาง และตะโกนออกมาอีกครั้ง “ ฉีกพวกมันซะ ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ศพเจ็ดแปดศพที่อยู่รอบๆ ก็อ้าปากอย่างรวดเร็ว คำราม “ โฮก ” ออกมาดังๆ จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

เมื่อเห็นศพเหล่านี้พุ่งเข้ามาหาพวกเรา พวกเราทุกคนก็รีบตั้งสติ

เพียงชั่วพริบตาเดียว ศพพวกนี้ก็เข้ามาใกล้พวกเราแล้ว

 

ท่าทางของพวกมันเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย อ้าปากอยากจะกัดพวกเราให้เละ

ผมเห็นศพพวกนี้พุ่งเข้ามา แน่นอนว่าจะต้องไม่ปราณี

ผมเล็งไปที่หน้าอกของศพๆนึง ยกดาบขึ้นเตรียมพุ่งเข้าไปแทง

พลังที่ส่งเข้าไปในดาบนี้มีเยอะมาก บวกกับแรงที่อีกฝ่ายเข้ามาปะทะ

จึงทำให้ดาบนี้แทงทะลุร่างของอีกฝ่ายทันที สำหรับผม ศพที่โดนผมแทงกลางอก จะต้องตาย

แต่วินาทีต่อมา ผมกลับต้องมึนงง

ศพนั้นเหมือนคนที่ไม่เคยโดนแทง มีเลือดสีดำเข้มกระเซ็นออกมา แต่มันกลับไม่สนใจแผลที่หน้าอกเลยสักนิด

 

ในปากยังคงคำราม “ โฮก ” ออกมา ในเวลาเดียวกันก็ใช้กรงเล็บเข้ามาข่วนหน้าของผม

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที รีบใช้เท้าถีบร่างของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็ดึงดาบไม้ออกมาด้วย

และกรงเล็บของเจ้าศพนั้น ก็ข่วนโดนกับอากาศ

เจ้าศพนั้นถูกผมถีบจนกลิ้งลงไปกับพื้น ราวกับว่ามันไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ

มันจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ในปากพูดออกมาไม่หยุด หิว ! ฉันหิวเหลือเกิน ฉันอยากกิน !

ขณะที่พูด มันก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นท่าทางของมัน ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าศพพวกนี้ไม่เหมือนกับศพที่พวกเราเจอในตอนแรก

ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผีร้ายสิงอยู่ แต่กลับเคลื่อนไหวและพูดได้

“ แม่งเอ้ย ตัวอะไรวะ ทำไมฆ่าไม่ตาย ! ” ผมพูดด้วยความตกใจ

ทางด้านหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหาน เองก็เจอสถานการณ์เดียวกัน

สีหน้าของพวกเราล้วนเข้มขึ้น ถอยหลังชนกัน จนกลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และยังคงพยายามป้องกันการจู่โจมของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

ในเวลานี้เฟิงเฉ่วหานเองก็โจมตีศพอย่างไม่คิดชีวิต และพูดไปพร้อมๆกัน “ พวกเราไม่เคยเจอเจ้าพวกนี้มาก่อน แต่บนโลกนี้ ไม่มีตัวอะไรเป็นอมตะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็ฟาดดาบลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้แขนของศพขาดในทันที

แต่ศพศพนั้นยังคำราม “ โฮก ” ออกมา และพุ่งเข้ามาหาเฟิงเฉ่วหานอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆหยางเฉ่วก็พูดออกมา “ เจ้าศพพวกนี้แปลกมาก แต่ต้องมีจุดอ่อนอยู่แน่ ติงฝาน นายจำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้นายฆ่าศพนั้นได้ยังไง ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง

ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยฆ่ามาแล้วศพนึงนิ และยังตายในดาบเดียวด้วย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็เผยสีหน้าดีใจออกมา รีบพูดทันที “ ที่หัว โจมตีที่หัวของพวกมัน ! ”

 

“ ใช่ น่าจะเป็นที่หัวของพวกมัน พวกมันมีจุดอ่อนอยู่ที่หัว ! ” หยางเฉ่วพูด

และมองศพศพหนึ่งที่เข้ามาอย่างไม่กลัวตาย หลังจากหลบการโจมตีจากศพได้ เธอก็ฟาดดาบลงไปที่หัวของศพทันที

ครั้งนี้การฟันส่งเสียงดัง “ ฉึก ” หัวของศพศพนั้น ถูกฟันจนเป็นแผลขนาดใหญ่

เลือดสีดำเข้มไหลทะลักออกมา และไหลลงไปตามแนวของหัวทันที

แต่ศพศพนั้น “ บึก ” ก็ล้มลงไปกับพื้นทันที ตำแหน่งที่หัวถูกฟัน มีไอดำค่อยๆไหลออกมา

ขณะที่ไอดำปรากฎขึ้น กล้ามเนื้อของศพนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตา พวกมันแห้งลงอย่างรวดเร็ว ราวกับศพๆนี้ได้อยู่มายาวนานหลายร้อยปี

 

แต่ระหว่างสองสามวินาทีนี้ ศพแปลกประหลาดที่คำรามอย่างบ้าคลั่งเมื่อกี้ ก็ได้กลายเป็นศพแห้งๆไปแล้ว……

ผมอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ผมก็คงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมา

แต่ นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า ถ้าอยากจัดการศพพวกนี้ ก็ต้องฟันที่หัวของพวกมัน

“ ใช่ที่หัวจริงๆด้วย ! ” ผมพูด ในเวลาเดียวกันก็เล็งศพที่พุ่งเข้ามา ยกดาบเข้าไปฟาดฟันทันที

ศพพวกนี้เป็นซากศพ จึงมีกลิ่นเน่าเหม็นมาก ที่หน้าต่างก็มีหนอนชอนไชเข้าๆออกๆ เห็นแล้วน่าขยะแขยงสุดๆ

 

ในเวลานี้พวกมันกำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเข้ามาโจมตีผม ช่างดุร้ายมากจริงๆ

แต่ผมไม่ได้หลบ เคลื่อนพลังในร่างกาย ไปที่เท้า จากนั้นก็กระโดดถีบพวกมันทันที

ดาบที่เคลือบไปด้วยพลังที่เข้มข้นของผม แทงลงไปที่หัวของศพทันที

แต่เจ้าศพศพนั้นใช้มือจับเอาไว้ ผลลัพธ์ “ ฉึก ”

แขนของศพนั้นถูกตัดขาดทันที แต่ไม่รอให้มันก้มลงกับพื้น ผมก็ฟันต่อทันที

แม้ว่าเจ้าศพนั้นจะขยับได้ แต่ไม่ได้ว่องไว กลับกันยังช้าลงมาก

เมื่อดาบนั้นถูกฟันลงไป มันก็เข้าไปตัดตรงหน้าผากของอีกฝ่ายทันที

 

ระหว่างนั้น ศพที่แยกเขี้ยวกลางกรงเล็บ ก็ตัวแข็งทื่อ

ที่หัวมีไอดำไหลออกมา มันล้มลงไปกับพื้นทันที และไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

ส่วนผิวหนังที่เน่าเละของมัน ก็เป็นเหมือนศพก่อนหน้านี้ พวกมันเริ่มแห้งเหี่ยว แม้แต่หนอนพวกนั้น ก็ยังพลอยเหี่ยวตามไปด้วย

ตอนนี้พวกเราหาจุดอ่อนของพวกศพเจอแล้ว รวมทั้งศพพวกนี้ไม่มีทักษะการต่อสู้มากนัก

ดังนั้นเมื่อพวกเราร่วมมือกัน จึงสามารถจัดการกับศพเจ็ดศพได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้รอบๆตัวของพวกเรา ต่างเต็มไปด้วยซากศพเจ็ดศพที่แห้งๆดำๆ

 

เมื่อศพสุดท้ายกลายเป็นศพแห้ง ผีตาแก่ ผีผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่ให้พวกเราได้พักหายใจ

พวกเขากรีดร้องออกมา ในเวลาเดียวกันก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

ระหว่างนั้น พวกเรารู้สึกได้ถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้น

พลังหยินที่เข้มข้นพัดเข้ามา พลังชั่วร้ายที่กดดันจิตใจของคน ดูเหมือนตอนนี้พวกมันจะเข้มข้นขึ้นมาหลายส่วน

พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อเห็นผีสองตัวพุ่งเข้ามา พวกเราก็กำดาบไม้ในมือให้แน่น และเข้าไปต่อสู้ทันที

เจ้าผีสองตัวนี้บ้าคลั่งมาก ตอนลงมือไม่เพียงแค่เร็วมากเท่านั้น แต่ยังรุนแรงเหมือนจะต้องการเอาชีวิตของพวกเราอีกด้วย

ถ้าหลบพลาดแม้แต่นิดเดียว ผลที่ตามมาก็ต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน

 

แต่พวกเราก็มีข้อดี นั้นก็คือพวกเราสามคนกำลังสู้กับผีสองตน พวกเรากำลังได้เปรียบเรื่องกำลังคน

วินาทีนี้ผมและหยางเฉ่วสู้กับผีผู้หญิง ส่วนเฟิงเฉ่วหานสู้กับผีตาแก่

แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานจะสู้คนเดียวด้วยความลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อผมและหยางเฉ่วร่วมมือกัน ก็จะสามารถเอาชนะผีผู้หญิงตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย

หลังจากสู้มาได้ 20 นาทีกว่าๆ ในที่สุดผีผู้หญิงก็เริ่มรับมือไม่ไหว เธอจึงเปิดช่องว่างให้เห็น

เมื่อหยางเฉ่วเห็นแบบนั้น ก็แกว่งแขนไปที่เอว และหยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบ

ไม่อธิบายใดๆ ใช้ฝ่ามือแปะลงไปทันที

 

เมื่อยัยผีเห็นแบบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่เหมือนมันจะสายไปหนึ่งก้าว เพราะยันต์ของหยางเฉ่ว ไม่เหมือนกับของพวกเรา

ยันต์ของพวกเรา ต้องใช้มือแปะลงไปบนร่างของวิญญาณเท่านั้น ทำแบบนี้ถึงจะสามารถส่งพลังลงไปได้ และขั้นสุดท้ายก็เสกคาถา

แต่ยันต์ของหยางเฉ่ว กลับสามารถลอยออกไปจากมือ ได้ประมาณ 20 เซนติเมตร และยังสามารถเก็บพลังเอาไว้ได้ประมาณ 5 วินาที

อย่ามองว่ามันแค่ 20 เซนติเมตร หรือเพียงแค่เอื้อมมือออกไปเท่านั้น

 

ต้องรู้ว่าเมื่อวินาทีชีวิตมาถึง บางครั้งอย่าพูดว่า 20 เซนติเมตรเลย

ถ้าระยะห่างของยันต์จากด้านหน้ามีแค่ 5 เซนติเมตร ก็ต่างเป็นข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลแล้ว

ตอนนี้ยันต์ลอยออกไป และแปะลงไปที่หน้าอกของผีผู้หญิงอย่างแม่นยำ

ผีผู้หญิงตนนี้กลัวมาก เธอคิดจะใช้มือฉีกมันออก

พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงว่าจะฉีกได้ไหม แค่หยางเฉ่วคนเดียว ก็ไม่ให้โอกาสแบบนั้นกับเธอแล้ว

ตอนนี้มือข้างเดียวของหยางเฉ่วได้กลายเป็นรูปดาบแล้ว ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset