ศพ – ตอนที่ 15 เชิญคน

ผมเปิดตากว้างๆ จ้องมองไปในความมืดด้วยความหวาดกลัว

และอยากจะเห็นสักหน่อย ว่าผีเมียของผมอยู่ตรงไหนกันแน่

แต่เมื่อผมมองรอบๆ ก็ยังไม่เห็นอะไรเลยสักนิด

ผมไม่พอใจ จึงตะโกนไปรอบๆ “เธอ เธออยู่ที่ไหน!”

หลังตะโกน ผมก็มองไปรอบๆอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ดี

และไม่มีใครพูดตอบกลับมาเลย มันเงียบสนิทจนไม่มีเสียงใดๆทั้งสิ้น

 

ขณะนั้นเอง ไฟที่เคยดับไปก่อนหน้า จู่ๆก็มีประกายไฟเกิดขึ้นสองครั้ง มันมีเสียงดัง “แพร๊บ”

ไฟในบ้านก็กลับมาสว่างเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่ผมยังรู้สึกว่าผีเมียของผมยังอยู่ในบ้าน แต่ผมมองไม่เห็นเธอ แค่คิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกกลัวแล้ว

แน่นอน ผมรู้ดี แม้ว่าผีเมียของผมคนนี้จะเป็นคนอารมณ์ร้าย

แต่เธอก็ไม่ทำร้ายผม ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้เธอก็คงไม่พูดออกมา

หลังจากกวาดสายตาไปรอบๆบ้านสองถึงสามรอบ สุดท้ายผมก็พูดออกมาอีกครั้ง “เธออยู่ไหน เมื่อกี้ เมื่อกี้ขอบใจมากนะ เธอจะ เธอจะออกมาเจอฉันหน่อยได้ไหม!”

 

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นในบ้านก็มีเสียงเบาๆของผู้หญิงดังขึ้น “ฮึ ไอ้ผู้ชายกาก ใครเขาอยากจะเจอหน้านายกัน!”

หลังจากพูดจบ ในบ้านก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย

แต่ผมตกตะลึงในทันที แม้ว่าใจจะรู้สึกกลัว เพราะอีกฝ่ายเป็นผี

แต่ที่มากกว่านั้น คือเธอยังงอนผมอยู่ แล้วผมกลายเป็นผู้ชายกากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มันเป็นเพราะว่าในวีแชทของผมมีเพื่อนผู้หญิงร้อยกว่าคนอย่างงั้นเหรอ

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเธอไม่อยากเจอผม ผมก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนี้

 

ดังนั้นผมจึงเดินไปปิดประตูบ้าน เพราะห้องของอาจารย์และเหล่าฉินต่างก็ล็อคเรียบร้อย ผมเลยเข้าไปไม่ได้

ตอนนี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากนอนเลยสักนิด ดังนั้นจึงถือดาบไม้ขึ้นมา และนั่งดูทีวีในบ้านเพื่อฆ่าเวลา

บางครั้งผมก็หันไปสนใจประตูและหน้าต่างของบ้าน เพราะกลัวว่าผีแขวนคอตายตนนั้นจะกลับมาอีก

ผมทำแบบนี้จนถึงตี 4 ถึงได้เริ่มง่วงขึ้นมานิดหน่อย หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆนอนหลับไป

จนกระทั่งรุ่งเช้า จู่ๆผมก็ถูกปลุก “เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝาน!”

เมื่อได้ยินเสียง “พรึบ” ผมก็สะดุ้งตื่นจากโซฟาทันที

 

และยังเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา “เสี่ยวฝาน แกเป็นอะไร ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ”

วินาทีนั้นผมถึงเห็นชัดๆ ที่แท้คนที่ปลุกผมก็คืออาจารย์

เมื่อเห็นหน้าอาจารย์ ใจที่เคยหวาดกลัวของผมก็ผ่อนคลายลงมาก

จากนั้นผมก็รีบพูดกับเขาทันที “อาจารย์ อาจารย์เมื่อคืนผมเจอผี ผีแขวนคอนั้นมาหาผม!”

อาจารย์ก็เงียบไปในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเห็นท่าทางของผม เขาก็ขมวดคิ้ว

“มันเกิดอะไรขึ้น พูดให้ชัดเจนหน่อยซิ!”

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ และจัดการเรียบเรียงความคิดเรียบร้อย จากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียด

หลังจากอาจารย์ฟังจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาเผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

“อะไรนะ ผีหลี่กวางหลงที่แขวนคอตายนั้น มันมาหาแกอย่างงั้นเหรอ”

“ใช่ครับอาจารย์ แต่สุดท้าย สุดท้ายก็ได้เธอช่วยเอาไว้น่ะครับ!” ขณะพูดผมก็มองป้ายวิญญาณนิรนามที่อยู่ในบ้าน

อาจารย์เองก็หันมามอง “งั้นแกก็ได้เห็นหน้าเมียแกแล้วซินะ”

 

ผมแสดงท่าทางอึดอัดใจออกมา “ยังครับ ก็ ก็แค่ได้ยินแต่เสียงครับ!”

หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน ดูเหมือนเขาจะทำท่าทางผิดหวังนิดหน่อย

เพราะผีเมียไม่ยอมออกมาให้เห็นตรงๆ พวกเราจึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเธอได้

หลังจากนั้น เหล่าฉินก็เดินออกมาจากห้อง เขาสั่นหัวไปมา ดูเหมือนว่าจะยังเมาค้างอยู่

เมื่ออาจารย์เห็นเหล่าฉินออกมา เขาก็เผยสีหน้าที่ดูสงสัย แล้วพูดว่า “เหล่าฉิน เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นล่ะ!”

เหล่าฉินทำหน้าไม่เข้าใจ จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

อาจารย์ไม่รอช้า รีบบอกให้ผมบอกเขาทันที ผมจึงพูดแบบย่อๆให้เขาฟังหนึ่งรอบ

 

สีหน้าของเหล่าฉินก็เปลี่ยนไปทันที เขาเอื้อมมือขึ้นไปตบหน้าผากของตัวเอง “เพราะดื่มเหล้า เพราะดื่มเหล้าแท้ๆ!”

แต่เสียงของเหล่าฉินพึ่งตกลง อาจารย์ก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “เหล่าฉิน เมื่อคืนพวกเราดื่มเหล้ากันไปเท่าไหร่นะ เสี่ยวฝานยังบอกว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่พวกเรากลับไม่กระดิกตัวกันเลยสักนิด!”

“เหล่าติง นายหมายความว่ายังไง” เหล่าฉินทำหน้าสงสัย

“พวกเราต้องถูกใครบางคนเล่นงานแน่ ในเหล้าอาจถูกวางยาเอาไว้ก็ได้” อาจารย์พูดด้วยความสงสัย

เมื่ออาจารย์พูดมาถึงจุดนี้ ในสมองของผมก็นึกถึงคำหนึ่งที่ผีแขวนคอตายพูดไว้เมื่อวาน

 

เขาบอกว่าให้ผมหยุดเรียก ไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า อาจารย์ก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก

ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจมัน แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดดูแล้ว

หรืออีกฝ่ายอาจเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้รู้ว่าอาจารย์และเหล่าฉินจะไม่ตื่นขึ้นมา

ดังนั้น เมื่อผมคิดออก จึงรีบบอกกับอาจารย์และเหล่าฉินทันที

อาจารย์และเหล่าฉินต่างกระตุกคิ้ว จากนั้นก็รีบเดินไปที่โต๊ะกินข้าว หยิบเหล้าขวดนั้นขึ้นมา จากนั้นก็เทเหล้าที่เหลืออยู่ในขวดออกมา

แต่หลังจากที่เทเหล้าใส่ในแก้วเรียบร้อย ทุกคนก็ต้องตกใจ

 

มันเป็นเหล้าซะที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเหมือนสีน้ำลื่นๆดำๆ แถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นจากน้ำผลไม้ที่เน่าเสียอีกด้วย

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็มึนงงไปในทันที

เหล้านี้ผมซื้อมากับมือ และยังซื้อจากโรงกลั่นเหล้าที่เก่าแก่ของตำบล ตอนดื่มเมื่อคืนยังดีๆอยู่เลย

แต่ตอนนี้ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ

“อาจารย์ เหล้านี้ผมซื้อมาจากโรงกลั่นเหล้าร้านเก่า ผม ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้!” ผมพูดด้วยความไม่เข้าใจอย่างมาก

 

อาจารย์กลับโบกมือให้ “เสี่ยวฝาน การที่พวกเราถูกของสกปรกเล่นงานนั้น จะโทษแกก็ไม่ได้”

“อาจารย์ งั้น งั้นพวกเราควรทำยังไงดีครับ”

อาจารย์ถอนหายใจออกมา “พวกเราต้องคิดหาวิธีจัดการผีชั่วสองสามตน และยังต้องคิดวิธีตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ต้องทำให้พวกเราจบเห่แน่!”

เสียงของอาจารย์พึ่งหายไป เหล่าฉินก็พูดออกมา “เหล่าติง ฉันว่าเรื่องนี้มันเกินความสามารถของพวกเราแล้วนะ แม้ว่าตอนนี้จะทำให้เสี่ยวฝานปลอดภัยได้ แต่ต่อไปมันก็พูดยากนะว่าพวกเราจะต้องเจอกับลูกไม้อะไรอีกบ้าง”

 

“ฉันว่า พวกเราไปเชิญคนมาช่วยเถอะ!”

เชิญคน ผมงงอยู่ครู่หนึ่ง ในพื้นที่แห่งนี้นอกจากอาจารย์และเหล่าฉิน ยังมีคนอื่นที่มีความสามารถแบบนี้อีกด้วยเหรอ

อาจารย์เผยสีหน้าแปลกใจ “ในระแวกนี้มียอดฝีมืออยู่ด้วยเหรอ”

เหล่าฉินทำสีหน้าคิดหนัก “ยอดฝีมือกะผีนะซิ ก็แค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไงเขาก็มีความสามารถ!”

เมื่อผมและอาจารย์ได้ยินประโยคนี้ ต่างก็แสดงสีหน้าที่อึดอัดใจและอยากรู้อยากเห็นออกมา เมื่อลองถามให้ละเอียด

 

เหล่าฉินก็ไม่พูดอะไรมาก บอกแค่ว่าเขามีศิษย์น้องคนหนึ่ง ชอบออกไปท่องเที่ยว เมื่อเดือนที่แล้วพึ่งกลับมาถึงเขตเมือง

เพราะความสัมพันธ์ของเหล่าฉินและศิษย์น้องไม่ค่อยดีมากนัก และดูเหมือนจะมีปมอะไรกันบางอย่าง แต่เหล่าฉินก็ไม่ยอมพูดออกมา

เพียงบอกว่า ประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่เขาได้ติดต่อกับศิษย์น้องครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ไปหาอีกฝ่าย

ตอนนี้เรื่องของพวกเราค่อนข้างตึงมือ เหล่าฉินจึงต้องทิ้งศักดิ์ศรีนั้นไป และเชิญเขามาช่วยเหลือ

แม้ว่าผมและอาจารย์จะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามารักษาหน้าของตัวเอง เพราะชีวิตสำคัญกว่าสิ่งใด

 

หลังจากนั้น เหล่าฉินจึงโทรศัพท์

หลังจากวางสาย ผมก็ได้ยินเหล่าฉินพูดกับอาจารย์ว่า “เขาจะเข้ามาตอนบ่าย!”

ผมรู้สึกขอบคุณเหล่าฉินมาก ถ้าไม่ทำเพื่อชีวิตของผม เหล่าฉินก็ไม่ต้องทิ้งศักดิ์ศรีแล้วเชิญศิษย์น้องนั้นมา

เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายสามกว่าๆ ศิษย์น้องของเหล่าฉินก็ได้มาถึงแล้ว

และหาร้านขายของชำของพวกเราเจอทันที ขณะนั้นพวกเราก็กำลังพูดคุยกันอยู่ในบ้าน

จู่ๆก็ได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของผู้ชายที่หน้าประตู “ศิษย์พี่!”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเราทั้งสามคนก็หันไปมองทันที อยากจะรู้จริงๆว่าศิษย์น้องของเหล่าฉินจะมีหน้าตายังไงกันแน่

เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นคนกำลังยืนอยู่สองคน พวกเขาเป็นชายทั้งคู่ คนหนึ่งแก่และคนหนึ่งเด็ก

คนหนึ่งในนั้นมีอายุห่างจากอาจารย์และเหล่าฉินไม่มาก ดูแล้วอายุประมาณ 60 กว่าๆ

เขาดูวัยรุ่นมาก ใส่เสื้อลายดอก กางเกงสแล็คสีขาว และยังใส่รองเท้าหนังสีส้ม

ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ไม่เหมือนนักพรตเลยสักนิด

ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ มีรูปร่างสูงผอม ผิวขาว หน้าตาหล่อมาก แต่สีหน้าก็ตายด้านมาก

หลังจากสองคนนี้ปรากฎตัว เหล่าฉินก็กวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง

จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน  “มาแล้วเหรอ เข้ามานั่งก่อนซิ!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset