ตอนที่ 150 พี่เฟิงนักเลงของผม
ขณะที่พวกผีกำลังพุ่งเข้ามา เสียงของหานเฉ่วเฟิงที่นอนอยู่ด้านหลังก็ดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็ดีใจทันที
ผมรีบหันไป “ พี่เฟิง คุณมาแล้ว ! ”
ในเวลานี้หานเฉ่วเฟิงลุกขึ้นยืนแล้ว เขาค่อยๆหันมามองผมแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองพวกผีที่กำลังพุ่งเข้ามา
เขายกยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา “ เจ้าเด็กน้อย นายกับเจ้าขยะนี้ขยันหาเรื่องจริงๆนะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็โดนพวกนายหาเรื่องมาให้อีกแล้ว ! ”
ขณะที่พูด หานเฉ่วเฟิงก็หยิบบุหรี่ออกมา เขาจุดมันทันที
ท่าทางแบบนั้นดูชิวมาก ราวกับกลุ่มผีตรงหน้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา
“ พี่เฟิง พวกเราไม่ใช่คนปราบผีเหรอ ! ช่วงนี้ก็แค่ไปเจอพวกไม่ดีเยอะหน่อยก็เท่านั้นเอง ! ” ผมพูดด้วยความลำบากใจ
แต่ผีร้ายพวกนั้นกลับทนไม่ไหวแล้ว ใบหน้าของผีตาแก่บิดเบี้ยว เขาตะโกนด้วยความโมโหอย่างมาก
“ รออะไรอยู่ล่ะ กัดไอ้พวกนักพัฒนานี้ให้ตายเลย ! ”
คำพูดเพิ่งหลุดออกมา ผีร้ายกลุ่มนั้นก็คำราม “ โฮก ” ทันที จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราอีกครั้ง
เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสิ่งนี้ ก็เลิกคิ้ว สูบบุหรี่อย่างรวดเร็ว
ขณะที่พวกผีร้ายกำลังพุ่งเข้ามาบุหรี่มวนนั้นก็ถูกโยนลงพื้นอย่างรวดเร็ว
เขาใช้มือหยิบดาบไม้ขึ้นมา เตรียมจู่โจมพวกผีที่กำลังพุ่งเข้ามาทันที
วินาทีนั้น ผมและหยางเฉ่วกำดาบไม้ไว้อยู่แล้ว เตรียมรับมือกับศึกที่กำลังมาถึง
แต่ขณะที่ผีตนนึงเข้ามาอยู่ในเขตการโจมตีของพวกเรา พี่เฟิงก็วิ่งออกไป เขาตะโกนออกมาทันที
“ …แม่รนหาที่ตาย ! ”
พลังของพี่เฟิงสูงกว่าหยางเฉ่วนิดหน่อย และเขาไม่ได้เก่งเรื่องอาถาอาคม แต่เป็นการต่อสู้ระยะประชิด
เมื่อเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้ เขาก็ไม่รอให้ผีร้ายได้ทำอะไร พี่เฟิงแทงเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายทันที
ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำมือหมุนวน เพื่อสร้างบาดแผลให้ใหญ่กว่าเดิม
วินาทีนั้นผีร้ายตนนั้นก็กรีดร้อง “ อ๊ากก ” ออกมา เสี้ยงวินาทีต่อมา “ ปัง ” เสียงระเบิดก็ดังขึ้น วิญญาณของผีร้ายตนนั้นก็แตกสลายไปในทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พลังสูงอะไรขนาดนี้
พี่เฟิงสามารถต่อสู้กับเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่เป็นผีร้ายในระดับชุดสีเหลืองได้ เป็นธรรมดาที่พวกผีชุดขาวนี้ จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลังจากฆ่าตายในดาบเดียว พี่เฟิงก็ยังด่าออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็โบกดาบไม้ให้กับผีร้ายที่กำลังเข้ามา
พี่เฟิงเร็วมาก เขาใช้กำลังเอาชนะ แต่ปากกลับพูดไม่หยุด เขายังคงด่าอีกฝ่ายเรื่อยๆ เหมือนกับพวกนักเลงไม่มีผิด
คำว่า…แม่แบบนี้ สำหรับพี่เฟิงแล้ว ถือว่าเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด
อย่ามองว่าอีกฝ่ายเป็นผีจำนวนมาก แต่ผีพวกนี้กลับไม่สามารถต่อกรกับพี่เฟิงได้เลย
ก่อนหน้านี้ยังพยายามบดขยี้พวกเรา แต่ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของผมและหยางเฉ่ว พี่เฟิงจึงกลายเป็นกำลังเสริมให้พวกเราได้บดขยี้พวกผีเยอะขึ้น
พี่เฟิงด่าอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์ และเล่นต่อสู้กับอีกฝ่ายไปพร้อมๆกัน
ระหว่างนี้ พวกผีร้ายเหล่านั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ
พี่เฟิงลงมือได้โหดเหี้ยมมาก นี่เพิ่งต่อสู้ได้ไม่นาน ผีร้ายสามตนก็ตายคาดาบของเขาไปแล้ว
บวกกับผีที่เราฆ่าตายไปสองตัว ตอนนี้ผีทั้ง 11 ตนก็ลดเหลือ 6 ตนแล้ว
และหนึ่งในผี 6 ตนนี้ก็มีผีที่กำลังบาดเจ็บหนัก 1 ตน เป็นผีเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแรงจะสู้แล้ว
การต่อสู้สามต่อห้า จากจำนวนคนทำให้พวกเราต้องเจอความลำบาก
แต่สำหรับพี่เฟิงแล้ว เขาสามารถบดขยี้ผีห้าตัวนี้ได้อย่างเต็มกำลัง
แต่ผีร้ายพวกนั้นก็ไม่ได้รับมือง่ายๆ แต่ละตนต่างไม่กลัวตาย ถึงแม้จะเห็นพี่เฟิงดุร้ายขนาดไหน แต่พวกเขาก็ยังคำรามออกมา
พวกเขาตะโกนไม่หยุดว่า ฆ่า ฆ่าไอ้พวกนักพัฒนานั้น
ตอนนี้ พี่เฟิงได้ปะทะกับผีอีกครั้ง
หยางเฉ่วเห็นโอกาส จึงเอื้อมมือเข้าไปแปะยันต์
“ ตูม ” เสียงระบิดดังขึ้น ผีตนนั้นยังไม่ทันได้ร้องออกมา วิญญาณของเขาก็แตกสลาย กลายเป็นแสงไปแล้ว
ในตอนนี้เอง ผมก็เห็นว่าสถานการณ์สามารถควบคุมได้แล้ว จึงพูดกับหานเฉ่วเฟิงว่า “ พี่เฟิง ตอนนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ช่วยไว้ชีวิตพวกเขาได้ไหม อีกเดี๋ยวผมอยากจะส่งวิญญาณพวกเขาให้พ้นทุกข์ ! ”
แม้ว่าผมจะฆ่าพวกเขาบางตนไปแล้ว และพวกเขาก็เกือบจะฆ่าผมไปแล้วเช่นกัน
แต่ในใจของผมรู้ดี นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ พวกเขาเองก็ต้องทำเหมือนกัน
ยังไงผมก็เป็นคนปราบผี และอาจารย์ก็เคยบอกว่า ต้องรักษาหัวใจของตัวเองเอาไว้ให้ดี
ในเมื่อสถานการณ์สามารถควบคุมได้แล้ว ถ้าไว้ชีวิตได้ ผมก็ขอเลือกที่จะไม่ฆ่า สำหรับคนปราบวิญญาณร้ายหรือพวกวิญญาณที่กำลังจะตายแล้ว ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น
หลังจากพี่เฟิงได้ยินผมพูด ที่มุมปากของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้น “ ได้ ! ”
หลังจากพูดจบ ร่างกายของพี่เฟิงก็สั่นไหว ถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังจากนั้น พี่เฟิงก็โยนดาบไม้ในมือทิ้ง มองผีสี่ตัวที่ยังมีพลังต่อสู้อยู่ จากนั้นก็เริ่มโจมตีใส่พวกเขาอีกครั้ง
ผีสี่ตนนี้สามารถต้านทานพี่เฟิงและพวกเราได้ที่ไหนละ ผลลัพธ์ไม่ถึง 5 นาที ทุกตนก็ถูกพี่เฟิงซัดลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว
ส่วนผมและหยางเฉ่ว ก็หยิบยันต์ออกมา ขอแค่ผีหนึ่งตนลงมานอนอยู่กับพื้น
พวกเราสองคนก็จะเข้าไปแปะยันต์อย่างรวดเร็ว สะกดวิญญาณของเขาเอาไว้ทันที
หลังจากผีตนสุดท้ายถูกพี่เฟิงอัดเสร็จ ผีทั้ง 11 ตัวก็ถือว่าถูกจัดการแล้ว
พี่เฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ แม่เจ้า ! เจ้าขยะนี้ ถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้เลยเหรอ มันช่างโง่จริงๆ…… ”
พี่เฟิงทั้งเยาะเย้ย และใช้มือลูบแผลที่แขนของตัวเองไปพร้อมๆกัน
ส่วนผมและหยางเฉ่วกลับไม่สนใจเขา พวกเรามองผี 5 ตนที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ผมต้องทำขั้นต่อไปคือ ขับไล่พลังชั่วร้ายที่อยู่ในร่างกายของพวกเขา จากนั้นก็ถามหาเบาะแสเกี่ยวกับเสี่ยวม่านจากปากของพวกเขา
เพราะการขับไล่พลังชั่วร้าย ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่ทำกันได้ง่ายๆ
ดังนั้นผมและหยางเฉ่วจึงเลือกผีมาหนึ่งตน นั้นก็คือผีเด็กผู้หญิงที่มีอายุ 6-7 ขวบที่ถูกพวกเราทำร้ายเมื่อตอนแรกเริ่ม
พลังชั่วร้ายของผีเด็กตนนี้อ่อนที่สุด ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็จะจัดการได้ง่าย
หลังจากเลือกเป้าหมายเสร็จ ผมก็ให้หยางเฉ่วหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น เพราะคาถาของเธอทรงพลังกว่าผม
ส่วนผมก็หยิบธูปออกมาจากกระเป๋าสามดอก เผายันต์เหลืองสองแผ่น
เพราะผีเด็กถูกยันต์สะกดเอาไว้ ตอนนี้จึงได้ยินเสียงพูดของพวกเราเท่านั้น
หลังจากผมเผายันต์เหลืองเสร็จ ในปากก็ท่องพวกคำส่งวิญญาณที่เคยเรียนมาจากอาจารย์
ขณะที่ผมกำลังท่องอย่างต่อเนื่อง ธูปที่ปักอยู่บนดิน ตอนนี้ดูเหมือนจะลอยตั้งขึ้น จากนั้นก็เข้าไปในจมูกของผีเด็กทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ หยางเฉ่วก็นำยันต์ที่วาดเสร็จแล้ว ไปแปะที่หน้าอกของผีเด็ก ในเวลาเดียวกันก็ดึงยันต์สะกดวิญญาณออกจากประตูชีวิตผี
จากนั้น หยางเฉ่วก็ประสามมือ เริ่มเสกคาถาอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเธอก็ทำมือท่าเซียนโฉ่วยิ่ง และตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”
เมื่อเสียงนี้หลุดออกไป “ ตูม ” ยันต์แผ่นนั้นก็มีเปลวไฟสีเขียวลุกโชนขึ้นมาเป็นวงกลม และมอดไหม้ในทันที
ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังตามมาติดๆ
ยันต์แผ่นนี้ไม่ใช่ยันต์ที่เอาไว้ใช้โจมตี มันเป็นยันต์ขจัดพลังชั่วร้ายอีกชนิดหนึ่ง
มีอักษรณ์คำว่า “ ปราบ ” เขียนเอาไว้ มีความสามารถในการขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากศพ
หลังจากที่ยันต์ระเบิดออก ผีเด็กตนนั้นก็ดิ้นไปมากับพื้น
ในปากกรีดร้องอย่างรุนแรง “ อร๊าย ! เจ็บ เจ็บมาก…… ”
ขณะที่พูด เธอก็ยังดิ้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังทรมานมาก
แต่ขณะที่เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้น พวกเรากลับมองเห็นพลังหยิน ที่กำลังไหลออกมาจากด้านในร่างกาย ผ่านทางปากของเธอ
พลังชั่วร้ายที่อยู่ในร่างของเธอ ค่อยๆลดลงทีละนิด
ดวงตาที่เคยไร้ชีวิตชีวา และมีสีขาวโพน ตอนนี้มันได้มีนัยน์ตาปรากฎขึ้นมาเล็กน้อย
เสียงกรีดร้องของเธอ ก็ค่อยๆอ่อนลง
หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ผีเด็กก็กลับมาสงบอีกครั้ง
พวกเราไม่ได้ขยับไปไหน เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ
แต่สามารถรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าพลังชั่วร้ายในร่างกายของผีเด็กไม่มีเหลืออยู่แล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผีเด็กตนนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพื้น
เมื่อเห็นผีเด็กลุกขึ้นมา พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง
แต่ผีเด็กตนนั้นกลับแสดงหน้าตาสบายๆออกมา ราวกับลูกผู้ดีมีการศึกษา มองไปบนท้องฟ้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ
ตอนนี้ ท่าทางของเธอดูไม่เหมือนผีร้ายเลยสักนิด ตอนที่เธอเพิ่งได้สติกลับมาไม่นานเธอก็สับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เผยท่าทางมีชีวิตชีวา และใบหน้าที่ผ่อนคลาย
จากนั้น เธอก็อ้าแขนออก และพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้น “ หลุดพ้นแล้ว ในที่สุดฉัน ก็พลุดพ้นแล้ว…… ”