ตอนที่ 155 พิธีส่งวิญญาณ
จู่ๆก็ได้ยินพี่เฟิงพูดแบบนั้น “ พรึบ ” สีหน้าของผมจึงเปลี่ยนไปทันที
ลุงวัยกลางคนคนนั้น คิดจะทำร้ายเสี่ยวม่านอย่างงั้นเหรอ
แต่ไม่รอให้ผมได้พูด เสี่ยวม่านกลับแย่งกุ่ยจินตานออกจากมือพี่เฟิง จากนั้นก็เถียงเขาทันที “ อย่ามากล่าวหาลุงฉินของฉันนะ ฉันพกลูกปัดนี้ติดตัวมาเป็นสิบปีแล้ว ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ! แถมลุงฉินและแม่ของฉันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาดีกับฉันมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ทำร้ายฉันแน่นอน ! ”
ขณะที่พูด เสี่ยวม่านก็ไม่สนใจคำพูดของพี่เฟิงเลยสักนิด
แม้จะอยู่ต่อหน้าพวกเรา เธอก็ยังนำลูกปัดเส้นนั้นสวมลงบนคอของเธออีกครั้ง
เมื่อพี่เฟิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ น้องเสี่ยวม่าน เธอแน่ใจจริงๆเหรอ ว่าตัวเองพกติดตัวมา 10 ปีแล้ว ”
“ นั้นมันโกหกกันได้เหรอ ตอนฉันอายุ 10 ปีฉันมีไข้สูงมาก ลุงฉินเลยให้ลูกปัดเส้นนี้เพื่อคุ้มครองฉัน ต่อมาฉันก็ไม่ป่วยอีกเลย และหลังจากนั้นฉันก็พกลูกปัดติดตัวมาตลอด ! ” เสี่ยวม่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอไม่สงสัย ในตัวลุงฉินและกุ่ยจินตานเส้นนี้เลยสักนิด
ในเวลาเดียวกันผมเองก็สงสัยขึ้นมา ถ้าที่เสี่ยวม่านพูดมาเป็นความจริง งั้นเรื่องนี้ก็แปลกประหลาดแล้วละ
เจ้ากุ่ยจินตานเส้นนี้ไม่ได้เป็นของปลอม และมันก็มีพลังหยินแรงสุดๆ
ถ้าคนเป็นอยู่กับเจ้าสิ่งนี้นานๆ จะต้องลำบากอย่างแน่นอน
แต่เสี่ยวม่านกลับพกติดตัวมา 10 ปีแล้ว แถมยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่
ช่วงเวลานั้นผมยังไม่เข้าใจ พี่เฟิงเองก็ทำท่าทางไม่มีอะไรจะพูด
แต่เสี่ยวม่านกลับพูดว่า “ อย่าสนใจลูกปัดของฉันเลย พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ! ”
เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูดแบบนั้น วูน่าที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ ใช่ค่ะ ! พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ ! ”
“ ใช่ใช่ใช่ ที่นี่มืดมาก น่ากลัวจะตาย ต่อไปฉันจะไม่ออกมาหาสิ่งลี้ลับอีกแล้ว ! ” ผู้ชายที่สวมแว่นตาพูด เขาดูกลัวมากๆ
เมื่อเห็นทุกคนตื่นกลัว ผมและพี่เฟิงเองก็คิดไม่ตก ตอนนี้ผมจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
แม้จะยังสงสัย แต่เจ้าสิ่งนี้เป็นตัวช่วยพวกเสี่ยวม่านเอาไว้ และเสี่ยวม่านก็พกติดตัว และไม่เป็นอะไร
ถ้าระยะเวลาสั้นๆผมยังเข้าใจ แต่เธอกลับพกมา 10 ปีแล้ว นี่มันจะอธิบายว่ายังไง
เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ ผมจึงคิดว่าเสี่ยวม่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
หลังจากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าให้กับทุกคน จากนั้นก็รีบพาทุกคนออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังที่จัตุรัส
เพราะที่นี่เป็นตำบลเล็กๆ ดังนั้นผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงตัวจัตุรัสแล้ว
หยางเฉ่วและผีทุกตนต่างอยู่ที่นี่ ในเวลานี้หยางเฉ่วได้ใช้หญ้าที่อยู่รอบๆ มาทำเป็นหุ่นหลายตัว เพื่อใช้ในการส่งวิญญาณ
เมื่อเสี่ยวม่านและคนอื่นไม่เห็นผี แต่เห็นหยางเฉ่วใส่ชุดสีขาวอย่างกระทันหัน ทุกคนก็ต่างตกใจทันที
โชคดีที่ผมรีบอธิบาย “ ทุกคนอย่าตกใจ เธอก็เป็นคนที่ผมเรียกมา เป็นนักพรตอีกคนหนึ่ง ! ”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ ก็หายใจในด้วยความโล่งอก
ในเวลาเดียวกันผู้ชายอ้วนๆอีกคนก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ เอ่อ เอ่อเธอกำลังทำอะไร ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมยังทำหุ่นฟางอยู่ ”
“ จะทำอะไรได้ละ ก็ส่งผีนะซิ ! ” พี่เฟิงพูดตรงๆ
ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นในใจของพวกเขาก็มีเสียงดัง “ กึก ” พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหวาดระแวงขึ้นมา
เมื่อผมเห็นทุกคนตกใจกลัว และได้ยินคำว่า “ ผี ” ที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวน ผมก็รีบปลอบใจทันที
“ ไม่เป็นไรนะ ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที พวกนายแค่ยืนรอเท่านั้น ! ”
ทั้งสี่คนไม่ได้ตอบกลับ ได้ยินเพียงเสียง “ อืม ” สองครั้งเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเผยให้เห็นความหวาดกลัว
ในเวลาเดียวกันก็หันไปมองรอบๆด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าจะเจอกับสิ่งไม่ดีอีกครั้ง
ในเวลานี้ พวกเราได้มาถึงด้านหน้าของหยางเฉ่วแล้ว
เมื่อหยางเฉ่วเห็นพวกเราพาใครหลายคนกลับมา เธอก็ถามพร้อมกับรอยยิ้ม “ ใครคือเสี่ยวม่าน ”
เมื่อได้ยินหยางเฉ่วถาม เสี่ยวม่านก็พูดด้วยความสงสัย “ ฉัน ฉันเอง ! ”
เมื่อหยางเฉ่วเห็นเสี่ยวม่าน เธอก็สำรวจอยู่แป๊บนึง จากนั้นก็เหล่มอง “ สวัสดี ฉันชื่อหยางเฉ่ว เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ”
“ ไม่เป็นไร ขอบคุณ ขอบคุณพวกเธอมากนะที่มาช่วยพวกเรา ! ” เสี่ยวม่านตอบกลับอย่างมีมารยาท ในเวลาเดียวกันก็สำรวจหยางเฉ่วอย่างละเอียด
หยางเฉ่วเองก็ยิ้มให้ และยังหันไปทักทายคนที่เหลืออย่างเป็นมิตร
บอกให้พวกเขาพักผ่อน จากนั้นถึงหันมาพูดกับผมว่า “ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้มาเริ่มส่งวิญญาณกันเถอะ ! ”
ผมพยักหน้าให้ มองไปที่หุ่นฟางห้าตัว ในเวลาเดียวกันก็มองตำแหน่งที่ผีห้าตนยืนอยู่
จากนั้นผมก็จับมือกับพวกเขา และพูดว่า “ ทุกท่าน สถานการณ์เร่งด่วน ตอนนี้ผมจะส่งพวกคุณลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหมอผีนั้นมาเจอเข้า จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น…… ”
ผีห้าตนจับมือกลับ ผีตาแก่ได้ยินผมพูดจบ เขาเองก็พูดด้วยความรู้สึกขอบคุณมากๆ “ งั้นก็ขอรบกวนท่านนักพรตแล้ว ! ”
ผมตอบรับ “ อืม ” จากนั้นก็เดินไปทางหยางเฉ่วและหานเฉ่วเฟิง เตรียมร่วมมือกับพวกเขา ทำพิธีส่งวิญญาณพร้อมกัน
แต่เสี่ยวม่านและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับมองด้วยความสงสัย
เพราะในสายตาของพวกเขา มองไม่เห็นการมีอยู่ของผีทั้งห้าตน เห็นผมกำลังพูดคุยกับอากาศอย่างสมบูรณ์
แต่สถานการณ์ยิ่งเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
ในเวลานี้พวกเขาไม่กล้าเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงยืนรอพวกเราอยู่ที่เดิม
พิธีส่งวิญญาณทำได้ไม่ยาก คนที่ทำงานสายนี้ต่างทำได้ทุกคน
ผมติดตามพ่อมา 10 กว่าปีแล้ว รู้ตั้งนานแล้วว่าต้องทำยังไงบ้าง
ตอนนี้พวกเราตั้งหุ่นฟางห้าตัวเรียบร้อย ผมนำยันต์เหลืองออกมาจากกระเป๋า
ถามวันเดือนปีเกิดของผีห้าตน จากนั้นก็นำมันไปแปะเอาไว้บนตัวหุ่นฟาง
หลังจากนั้นก็จุดธูป เผากระดาษเหลืองสองสามแผ่น ร่ายคาถาส่งวิญญาณลากยาว หยินหยางเท่าเทียม กระแสน้ำไหลวน ชีวิตและความตาย มักถูกกำหนดไว้……
ผมท่องคำพูดพวกนี้ จนกระทั่งมาถึงท่อนสุดท้าย ก็จะได้ยินเสียงของผมจมดิ่งลง พูดออกมาว่า สุดท้ายทุกชีวิตก็ต้องตาย วิญญาณดับสูญ มาจากไหนก็กลับไปที่นั้นเถอะ……
เสียงของผมเพิ่งเงียบลง ผม หยางเฉ่ว และพี่เฟิง ทุกคนต่างประสามมือ กลายเป็นรูปดาบอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันก็หมุนตัว ชี้ไปทางยันต์เหลืองที่แปะไว้บนตัวหุ่นฟางทั้งห้า จากนั้นก็พูดออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี๊ยง ! ”
คำพูดเพิ่งหลุดออกมา ยันต์ที่แปะไว้บนตัวหุ่นฟางก็ระเบิดดัง “ ตูม ” พร้อมกลับเปลวไฟสีเขียวที่เผาไหม้พวกมันทันที
เมื่อเปลวไฟสีเขียวปรากฎขึ้น หุ่นฟางก็ถูกเผาทันที
ไฟแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มันถูกพัดให้โอบล้อมไปทั่วทั้งตัวของหุ่นฟาง……
เมื่อหันไปมองผีห้าตนอีกครั้ง ผมก็พบว่าในเวลานี้ผีทั้งห้าตนกำลังอ่าแขนออก เผยท่าทางที่มีความสุขมากๆออกมา
ผมรู้ดี ว่าพวกเขาจะจากไปแล้ว
ขอแค่หุ่นฟางไหม้จนหมด พวกเขาก็จะจากโลกนี้ไปลงนรกได้แล้ว
เพราะพวกเขาเคยฆ่าคน สำหรับเรื่องที่พวกเขาจะต้องตกนรก หรือไปเกิดใหม่นั้น ก็คงต้องรอดูที่ท่านยมราชอย่างเดียวแล้วละ
ขณะที่หุ่นฟางกำลังเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายของผีตาแก่และผีตนอื่นๆก็เริ่มเลือนลาง
พวกเขารู้ว่า ตัวเองกำลังจะหายไปแล้ว ตอนนี้จึงมองพวกเรา ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างมาก
ผีตาแก่พูดขอบคุณกับพวกเราอีกครั้ง และยังบอกว่าเวลาของโลกนี้สิ้นสุดแล้ว เขาจะตอบแทนพวกเราเมื่อได้เกิดใหม่อะไรทำนองนั้น !
เรื่องพวกนี้ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ขอเพียงให้พวกเขาออกไปได้อย่างปลอดภัย ภารกิจของพวกเราก็จะถือว่าสำเร็จ หมดหน้าที่ของคนปราบผีแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราคิดไม่ถึงคือ ขณะที่หุ่นฟางกำลังไหม้จนหมด วิญญาณของพวกเขากำลังจะจากโลกนี้ไป เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด เสียงระเบิดดัง “ ปัง ” ก็ปรากฎขึ้น หุ่นฟางตัวหนึ่ง ล้มลงกับพื้นทันที เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้น ได้หายไปทันที สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียงซากหญ้าที่ไหม้เกรียมกระจายอยู่บนพื้น
ในเวลาเดียวกัน ผีตนหนึ่งที่กำลังจะหายไป ก็ร้อง “ อร๊าย ” ออกมาอย่างกระทันหัน จากนั้นเธอก็ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับตัวอีกเลย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราทุกคนก็ตกใจ “ พรึบ ” และสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แต่ไม่รอให้พวกเราได้ทำอะไร “ ปังปังปังปัง ” เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาติดกัน หุ่นฟางที่เหลืออีกสี่ตัว ก็ระเบิดติดกันทันที
ผีที่เหลืออีกสี่ตนก็เป็นเหมือนกัน ทุกตนต่างกรีดร้อง ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับตัวอีกเลย……