ศพ – ตอนที่ 158 กำจัดจนสิ้นซาก

ตอนที่ 158 กำจัดจนสิ้นซาก

วิญญาณของผีเด็กหญิงและผีตาแก่แตกสลายไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือเพียงผีสามตนที่กำลังสู้อยู่กับพี่เฟิง

พูดตามความเป็นจริง ผมไม่อยากลงมือเลยสักนิด

แต่จะไม่ลงมือก็ไม่ได้ เนื่องจากพวกเขากลายเป็นผีร้ายถึงสองครั้ง พวกเราจึงแทบไม่มีโอกาสที่จะช่วยพวกเขาแล้ว

และถึงจะช่วยได้ ก็ไม่ใช่พลังในตอนนี้ของพวกเราที่จะทำได้

ตอนนี้พวกเราต้องทำใจแข็ง ฆ่าพวกเขาให้ตายทีละตนๆ หรือต้องทำให้วิญญาณแตกสลาย ถึงจะปลดปล่อยพวกเขาจากสภาพนี้ได้ !

ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ ในเวลาเดียวกันผมก็หันไปมองหน้าหยางเฉ่ว จากนั้นพวกเราก็วิ่งไปทางที่พี่เฟิงสู้กับผีสามตนทันที

 

ตอนนี้ผีทั้งสามตนกำลังโอบล้อมพี่เฟิงเอาไว้ แต่พี่เฟิงดูไม่หวาดกลัวเลยสักนิด เขาโจมตีไปรอบๆ อย่างกับม้าศึกที่แข็งแกร่ง

“ พี่เฟิง พวกเรามาแล้ว ! ” ผมตะโกน จากนั้นผมกับหยางเฉ่วก็เข้าไปปะทะกับอีกฝ่ายทันที

พี่เฟิงกำลังหัวร้อนสุดๆ เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ตอบกลับทันที “ มาได้ก็ดี ช่วยฉันส่งพวกเขาหน่อย หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปทำลายวิญญาณของยายแก่นั้น ! ”

หลังจากพูดจบ พี่เฟิงก็ยกดาบไม้ขึ้นและเข้าไปแทงผีผู้หญิงตนหนึ่งทันที

ผีผู้หญิงตนนั้นพยายามต่อต้าน ส่วนผีที่เหลืออีกสองตนก็กำลังจะเข้ามาโจมตี และช่วยเหลือจากทั้งสองทาง

แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะผมและหยางเฉ่วได้เข้ามาอยู่ในสนามรบแล้ว จึงช่วยแยกพวกเขาออกจากกัน

 

ผีผู้หญิงตนนั้นเมื่อไม่มีคนคอยช่วยอีก จึงตกเป็นฝ่ายถูกบดขยี้

พี่เฟิงแสดงสีหน้าเย็นชา ยกเท้าขึ้นถีบหนึ่งครั้ง

“ อร๊าย ” ผีผู้หญิงตนนั้นกรีดร้อง เธอล้มลงไปกับพื้นทันที

แต่เขาไม่รอให้ผีผู้หญิงได้ลุกขึ้น หลังจากนั้นพี่เฟิงก็นำกระจกแปดทิศที่อยู่ในมือส่องลงไปทันที

ผีผู้หญิงตนนั้นไม่สามารถลุกได้ทัน เพราะเธอโดนแสงจากกระจกแปดทิศส่องลงตรงกลางหน้าผากเต็มๆ

ตอนนี้กระจกแปดทิศเป็นเหมือนกับหัวแร้ง ที่กำลังเจาะหน้าผากของเธออย่างต่อเนื่อง “ ซ่าซ่าซ่า ” นอกจากนี้ยังมีไอดำไหลทะลักออกมา

ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่ตาผีอยู่พอดี ซึ่งเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิต

 

ผีผู้หญิงตนนั้นกรีดร้องโหยหวน เธออยากยกมือขึ้นมาป้องกัน แต่เมื่อมือของเธอสัมผัสกับแสงของกระจกแปดทิศ เธอก็เหมือนโดนไฟฟ้าช็อต มือข้างนั้นต้องหลบลงไปทันที

ตอนนี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงร้อง “ ฮือฮือฮือ ” และกลิ้งไปมากับพื้นเท่านั้น

สุดท้ายเสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น ของเหลวสีดำไหลกระเซ็นมาติดที่กระจกแปดทิศ เห็นได้ชัดว่าตาผีถูกทำลายแล้ว

เมื่อพี่เฟิงเห็นแบบนั้น เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิด

เขาถอนหายใจ ยกดาบไม้ขึ้นตามสัญชาตญาณ และเก็บมันเข้าฝักดังเดิม

จากนั้นก็หมุนตัว กลับมาช่วยพวกเราฆ่าผีที่เหลืออีกครั้ง

ผีที่เหลืออีกสองตนสู้ด้วยตัวต่อตัวก็ลำบากแล้ว แต่เมื่อมีพี่เฟิงเข้ามาช่วย แม้พวกเขาจะกลายเป็นผีร้ายถึงสองครั้ง และร้ายกาจมากกว่าเดิม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดการโจมตีที่โหดเหี้ยมของพี่เฟิงและพวกเราได้

 

ผมมีพลังน้อยที่สุด แต่ก็พยายามช่วยต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ และสร้างช่องว่างให้พี่เฟิงและหยางเฉ่ว

แต่สมาธิของผมนิ่งมาก หลังจากต่อสู้ไปไม่ถึง 10 กระบวนท่า ผมก็คว้าโอกาสได้ วินาทีนั้นผมแปะยันต์ลงไปที่หลังของผีตนหนึ่งทันที

ทันใดนั้นผีร้ายก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย ในเวลาเดียวกันเขายังคิดจะพุ่งเข้ามาฆ่าผม

แต่มันสายไปแล้ว ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงผมพูดว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

วินาทีนั้น ยันต์ที่แปะเอาไว้ก็ระเบิดออกทันที

“ ตูม ” ผีร้ายตนนั้นถูกแรงระเบิดอัดจนล้มลงพื้น วินาทีนั้นเขาสูญเสียพลังต่อสู้ในทันที

 

หลังจากนั้นหยางเฉ่วก็ขยับดาบไม้ในมือเล็กน้อย เธอแทงเข้าไปที่ตัวผีร้ายตนนั้น

เมื่อตาผีถูกทำลาย ผีร้ายตนนั้นก็สูญเสียงกำลังในการต่อต้านอย่างสมบูรณ์

แต่เมื่อตาผีแตก มันก็หมายความว่าวาระสุดท้ายของเขามาถึงแล้ว วิญญาณจึงแตกสลายไปทันที

ผีตนสุดท้ายที่เหลือรอด กลายเป็นนักรบผู้โดดเดียว ตอนนี้เขาจะสามารถต่อต้านการโจมตีของพวกเราสามคนได้ยังไง

ผลลัพธ์พี่เฟิงรุกอย่างรุนแรง โจมตีจนเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้น

หลังจากนั้นหยางเฉ่วก็ใช้ลวด รัดที่ตัวผีร้าย และดึงเขากลับมาทันที

ผมขมวดคิ้ว กัดฟันอย่างแรง ยังไงก็ต้องแทงให้ตายในดาบเดียว

 

จากนั้นผมก็กำดาบไม้ให้แน่น ยกมันขึ้น และแทงเข้าไปที่หน้าอกของผีร้ายตนนั้น

ในที่สุดผีร้ายตนนั้นก็กรีดร้อง “ บึก ” เขาทรุดตัวลงไปกับพื้น ตาผีที่อยู่บนหน้าผาก ก็ได้ถูกทำลายแล้วเช่นกัน

เสี้ยววินาทีต่อมา ผมก็ดึงดาบไม้ออก

แต่ขณะที่ผมกำลังดึงดาบไม้ออก ผีหนึ่งในสามตนนี้ ความอดทนของผีสองตนก่อนหน้านั้นก็ถึงขีดสุด

“ ปัง ” ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ร่างกายของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นแสงและกระจายไปทั่วทันที

ส่วนผีตนสุดท้ายก็ตัวสั่นไปทั้งตัว และกำลังจะหายไปเช่นกัน

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความขุ่นเคืองที่อยู่ในใจเท่านั้น

 

พวกเขาเหมือนกับเจ้าเชี่ยนเชี่ยน เดิมทีสามารถส่งวิญญาณได้ เดิมทีสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ และไม่ต้องวิญญาณแตกสลายเหมือนตอนนี้

แต่ตอนนี้พวกเรากลับเป็นคนฆ่าพวกเขาด้วยตัวเอง ทำให้วิญญาณพวกเขาแตกสลายกับมือ และทำให้พวกเขาหายไปจากโลกมนุษย์ด้วยน้ำมือของตัวเอง

ความรู้สึกแบบนั้นทำให้ในใจของผมหดหู่มาก ความรู้สึกที่หลากหลายไหลวนกันอย่างยุ่งเหยิง แม้แต่ความรู้สึกบ้าคลั่งและโมโหก็ยังมีอยู่ในนั้น

ผมมองวิญญาณผีตนสุดท้ายที่กำลังหายไปต่อหน้า เมื่อเห็นท่าทางที่แสนเจ็บปวดของเขา ในใจของผมก็แทบรับไม่ไหว

 

พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะคนปราบผี ผมกลับไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ ความรู้สึกแบบนั้นจึงทำให้ผมทุกข์ทรมานและโทษตัวเองทันที

แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆในดวงตาของผีตนสุดท้ายก็มีนัยน์ตาปรากฎขึ้น เขาจ้องผมแล้วพูดว่า “ ฆ่า ฆ่าฉันเลย ขอ ขอร้องละ…… ”

เมื่อวิญญาณกลายเป็นผีร้ายถึงสองครั้ง มีตาผีปรากฎขึ้น เขาก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว

ตอนนี้เขาเจ็บปวดมาก สิ่งที่เขารออยู่ มีเพียงวิญญาณแตกสลาย และมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ผมกำดาบไม้แน่น จากนั้นก็พูดกับผีตนนั้นด้วยความโศกเศร้า “ อด อดทนเอาไว้…… ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกมือขึ้น แทงดาบลงไปที่ประตูชีวิตของผีร้ายทันที

เมื่อดาบแทงลงไป “ ปัง ” ร่างกายของเขาก็ระเบิดออก กลายเป็นแสงสีขาว และจางหายไปจากสายตาผมทันที

เรื่องก็เป็นแบบนี้ สุดท้ายผี 11 ตนที่ตำบลหม่าหวาง ก็ถูกกำจัดจนหมด

ขณะที่ผมมองพื้นที่โล่งๆพร้อมกับแสงที่กำลังเลือนหายนั้น ในใจของผมกลับไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด

กลับกันผมยังรู้สึกแปลกๆ และโทษตัวเองไปมากมาย

แต่ตอนนั้นเอง ที่ข้างหูของผมกลับได้ยินเสียงเบาๆดังขึ้น “ ขอบคุณมาก ”

มันทั้งผ่อนคลาย และอ่อนล้ามาก

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบๆ

แต่ผมกลับไม่เห็นอะไร ตอนนี้ภาพตรงหน้ามีเพียงถนนที่มืดสลัวๆบางเส้น บ้านเรืยนที่มืดมิด และยายแก่แปลกประหลาดที่ยืนนิ่งๆอยู่ไม่ไกล

หรือผมจะหลอนไปเอง แต่เสียงเมื่อกี้กลับทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมา

ผมรู้ว่า ศัตรูของพวกเรายังอยู่

คนที่ทำให้ผลลัพธ์ทุกอย่างเกิดขึ้น ก็คือยายแกตรงหน้านี้

ถ้าเธอไม่ตาย เธอยังมีชีวิต ในอนาคตก็อาจมีเจ้าเชี่ยนเชี่ยนคนที่สอง และผี 11 ตนที่ตำบลหม่าหวางเกิดขึ้นอีก

 

พวกเขาจะถูกบังคับให้กลายเป็นผีร้าย และกลายเป็นทาสของยายแก่นี้ เป็นเครื่องมือฆ่าคนและแหล่งสะสมพลังชั่วร้ายแทนเธอ สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักจบ

สุดท้ายยังพบกับจุดจบที่เลวร้าย วิญญาณแตกสลาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของปีศาจตนนี้

ผมจ้องยายแก่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง จนถึงเรียกได้ว่าน่าเกลียด “ ยายแก่ แกเป็นคนทำทุกอย่าง เอาชีวิตของทุกคนคืนมา ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่ลังเล พุ่งเข้าไปหาเธอทันที

เมื่อหยางเฉ่วเห็นผมลงมืออย่างกระทันหัน เธอก็ตะโกนด้วยความตกใจ “ ติงฝาน อย่า ! ”

ผลลัพธ์เสียงยังไม่จางหาย ผมก็มาถึงตรงหน้าของยายแก่แล้ว

 

วินาทีนั้นยายแก่หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมาอย่างน่าขนลุก “ ไม่ดูเงาหัวตัวเอง ! ”

หลังจากพูดจบ ยายแก่ก็ยกมือขึ้น

ภายใต้เสื้อคลุมผืนยาว ได้มีมือเหี่ยวๆของยายแก่โผล่ออกมาหนึ่งข้าง

ต่อมามือข้างนั้นก็โบกมาทางผมเบาๆ ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงพลังหยินที่มหาศาล

วินาทีต่อมา ผมก็รู้สึกว่าที่ท้องของผมมีพลังบางอย่างเข้ามากระแทกอย่างแรง

ทันใดนั้นความรู้สึกที่กล้ามเนื้อฉีกขาดก็ก็เกิดขึ้น “ อ๊ากก ” ผมกรีดร้องออกมาตามสัญชาตญาณ

จากนั้นร่างกายของผมก็ล้มลงไปกับพื้น และกลิ้งตัวไปอีกสองรอบ

 

วินาทีนี้ ผมรู้สึกเจ็บที่ท้องมาก และรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ

“ ติงฝาน…… ” หยางเฉ่วตะโกนออกมาทันที ขณะเดียวกันเธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาผม

ผมอยากจะลุกขึ้น แต่ผลลัพธ์ผมเพิ่งขยับตัว ทันใดนั้นความรู้สึกแสบร้อนก็ไหลทะลักมาอยู่ที่ปาก

“ เอือก ” ผมสำลักเลือดสดๆออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ไอแห้งๆไม่หยุด

หยางเฉ่วตกใจ รีบเอื้อมมือมาประคองผมทันที จากนั้นเธอก็ใช้มืออีกข้างตบหลังของผมอย่างต่อเนื่อง

“ ติงฝานอย่าขยับ นาย นายอาจบาดเจ็บข้างใน…… ”

“ แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ ฮึแล้วยังคิดจะเอาชีวิตข้า พวกแกไม่กี่คน จงกลายเป็นทาสผีเฝ้าที่นี่ซะ ฆ่าคนเก็บวิญญาณ แทนคนของตระกูลจางก็แล้วกัน ! ”

 

ยายแก่พูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็เริ่มเดินเข้ามาใกล้พวกเราทีละก้าวๆ

เมื่อพี่เฟิงเห็นแบบนั้น ก็ตะโกนด่าทันที “ เก็บศพแกนะซิ ไปตายซะยายแก่หนังเหี่ยว ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็จับดาบไม้เข้าไปแทงอีกฝ่าย

แต่ใครจะรู้แม้แต่พี่เฟิง ก็ไม่ต่างอะไรจากผม เขายังไม่ได้เข้าใกล้ ยายแก่ก็โบกมือ จากนั้นตัวเขาก็กลิ้งลงไปกับพื้นเช่นกัน

ความแตกต่างของพวกเรา ช่างห่างชั้นกันจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าพลังของยายแก่ ห่างจากพวกเราสามคนเท่าไหร่

เมื่อผมและหยางเฉ่วเห็นพี่เฟิงล้มลงไปกับพื้น พวกเราก็ตกใจกันมาก

 

คิดไม่ถึงว่ายายแก่จะร้ายกาจถึงขนาดนี้ หยางเฉ่วตื่นตระหนกจนผิดปกติ วินาทีนั้นเธอประคองผมให้ลุกขึ้นทันที “ เร็วเข้า พวกเราต้องรีบหนี ยาย ยายแก่นี่ร้ายกาจเกินไป พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ…… ”

แต่ผมกลับรั้งหยางเฉ่วเอาไว้ ผมจ้องยายแก่ “ หนีงั้นเหรอ ไม่ อีกเดี๋ยวฉันจะให้มัน มันรู้ว่า การมายุ่งกับฉัน มันเป็นความผิดที่ร้ายแรงขนาดไหน…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset