ศพ – ตอนที่ 165 การรักษาชั้นเลิศ

ตอนที่ 165 การรักษาชั้นเลิศ

ในเวลานี้จู่ๆก็เห็นคุณยายตื่นขึ้นมา แถมการหายใจและสีหน้ายังไม่เหมือนกับเมื่อกี้

เห็นได้ชัดว่าเธออาการดีขึ้นมาก ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ดีใจทันที

การรักษาของนักพรตตู๋ ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม จากการรักษาของท่านนักพรตตู๋ ผมได้รับความรู้ใหม่ไปด้วย

แม้คนไข้จะตื่นขึ้นมา แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่าโรคนี้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม หรือเพียงแค่ดีขึ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ท่านนักพรตตู๋ดึงเข็มเงินออก ใช้มือจับชีพจรเธออีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ เสี่ยวเฟิง ไปเอาถังขยะมา ! ”

เฟิงเฉ่วหานไม่ได้สงสัย เขารีบลงมือ หยิบถังขยะที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาทันที

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ชายวัยกลางคนก็มาอยู่ตรงหน้าคุณยายอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็พูดว่า “ แม่ ! แม่ ! แม่รู้สึกยังไงบ้าง ”

คุณยายเห็นลูกตัวเองถาม เธอจึงตอบกลับทันที

แต่ตอนที่เธอเพิ่งอ้าปาก ทันใดนั้นเสียง “ อ้วก ” เลือดสีดำเข้มพร้อมกับสิ่งสกปรก ไหลทะลักออกมาจากปากของคุณยาย

โชคดีที่เฟิงเฉ่วหานนำถังขยะมาทัน เลือดและสิ่งสกปรกกองนั้น จึงเข้าไปอยู่ในนั้นทั้งหมด

และครั้งนี้ การสำลักของเธอยังไม่ใช่น้อยๆ แต่เป็นเลือดกองใหญ่

และมันยังส่งกลิ่นที่แปลกประหลาดออกมา มันเหม็นมาก และฉุนมาก

 

ชายวัยกลางคนตบหลังของคุณยายอย่างต่อเนื่อง เขากลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ แม่ แม่…… ”

คุณยายกลับไอและสำลักออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผมเห็นอาการแบบนั้นก็ร้อนรนขึ้นมาทันที

แต่เมื่อลองมองดูให้ละเอียด ผมก็พบว่าแม้คุณยายจะกำลังอ้วกอยู่ แต่ท่านนักพรตตู๋ดูไม่มีทีท่าว่าจะกระวนกระวายเลยสักนิด

และในเลือดกองนั้นยังมีสิ่งสกปรกดำๆปนอยู่ แต่กลับไม่ใช่แมลง

คุณยายได้สติคืนมาบ้างแล้ว เธอจับที่หน้าอกของตัวเอง ตอนนี้เธอไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่เหมอลอยไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว

เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นสัญญาณที่ดี

 

แต่ชายวัยกลางคนกลับร้อนรนทำอะไรไม่ถูก เขาหันมองจ้องท่านนักพรตตู๋ “ แกรักษายังไงฮะ ทำไมแม่ของฉันอาการหนักขึ้น ถ้าแม่ของฉันเป็นอะไรไป ฉันจะทำลายป้ายร้านแก…… ”

ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้โกรธ และไม่ได้พูดอะไร

แต่คุณยายที่อ้วกอยู่ กลับจับตัวชายวัยกลางคนเอาไว้ “ ลูก ลูก ! ”

“ แม่ แม่เป็นอะไร แม่พูดมา แม่พูดมาเลย…… ” ชายวัยกลางคนร้องไห้ออกมาแล้ว

แต่ตอนนี้คุณยายกลับสูดหายใจเข้าออกสองสามครั้ง ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ จากนั้นเธอก็เช็ดเลือดที่ปาก “ แม่ แม่ไม่เป็นอะไร ตอนนี้ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว…… ”

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ดีใจขึ้นมาทันที

 

“ แม่ แม่ดีขึ้นจริงๆเหรอ ”

“ จริงๆ ยัง ยังไม่รีบขอโทษท่านหมออีก นิสัยแกนี่นะ ถึงได้หาเมียไม่ได้ซะที…… ”

ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ชายวัยกลางคน แม้แต่ผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ยังสงบลง

วิธีรักษาของท่านนักพรตตู๋ได้ผลจริงๆ ! โรคที่รักษายากแบบนี้ ไม่ต้องตรวจเลือด ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องเอกซเรย์ แค่วิธีฝังเข็ม ก็ได้ผลเร็วถึงขนาดนี้

การรักษาที่อัศจรรย์นี้เหมือนกับเป็นฮว่าโถว ( แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ศัลยแพทย์จีน )กลับชาติมาเกิด !

ชายวัยกลางคนเองก็เป็นคนบ้านนอก จึงมีนิสัยพูดตรงไปตรงมา

 

ถึงเมื่อกี้เขาจะได้ขู่ท่านนักพรตตู๋ไป แต่ในเวลานี้เขากลับขอโทษอย่างจริงใจ และยังขอบคุณที่ท่านนักพรตตู๋ช่วยชีวิตแม่ของเขาเอาไว้

ท่านนักพรตตู๋กลับไม่คิดอะไรมาก เขาโบกมือให้ “ ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวฉันจะจัดยาให้สองสามชุด หลังจากกลับไปก็ต้มให้แม่ของนายดื่มนะ ! ”

ชายวัยกลางคนขอบคุณอย่างต่อเนื่อง เขาดีใจจนแทบอยากคุกเข่าให้ท่านนักพรตตู๋

แต่ในเวลานี้ ท่านนักพรตตู๋กลับมายืนหยุดที่หน้าคุณยาย จากนั้นก็พูดว่า “ พี่สาว พักนี้กินอะไรผิดไปบ้างไหม รู้สึกไม่สบายตั้งแต่เมื่อไหร่ ”

 

เมื่อคุณยายได้ยินท่านนักพรตตู๋ถาม เธอกลับลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ ปกติยายก็ไม่ได้กินอะไรไม่ดี ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผักที่ปลูกกันในบ้าน ! ส่วนเรื่องรู้สึกไม่สบาย วันนี้รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ก็รู้สึกไม่สบายท้องเป็นพิเศษ ”

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง

จากนั้นก็ถามต่อ “ งั้นในช่วงสองสามวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อวาน พี่สาวลองคิดให้ดีๆ ว่าไม่ได้กินอะไรที่ผิดปกติเข้าไปจริงๆ หรือสัมผัสกับบางอย่างไหม ”

คุณยายอายุมากแล้ว เธอใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดออกมาทันที “ อือใช่ เมื่อวานเย็นตอนฉันออกไปตัดหญ้า ได้กินตี้โถวจากในเขาไปสองสามลูก ”

“ ตี้โถวป่างั้นเหรอ ” ท่านนักพรตตู๋พูดด้วยความสงสัย

 

คุณยายพยักหน้า “ นอกจากเจ้านี้แล้ว ยายก็ไม่ได้กินอะไรแปลกๆอีกเลย ! ”

ตี้โถวเป็นผลไม้ที่ขึ้นอยู่ในภูมิภาคของพวกเรา เติบโตบนผิวดิน ผลสีแดง รสชาติค่อนข้างหวาน

แต่ของสิ่งนี้ไม่มีพิษ ตอนเด็กๆผมวิ่งไปเด็ดกินบนภูเขาอยู่บ่อยๆ

ผลลัพธ์เสียงของคุณยายเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็พูดออกมา “ สองสามวันนี้ผมก็กินตี้โถว แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ! แม่ แม่ไปกินเห็ดพิษบนเขามารึเปล่า ”

คุณยายส่ายหัว บอกเพียงตัวเองกินแค่ตี้โถว นอกนั้นก็เป็นผักที่ปลูกในไร่

ผมเห็นว่าการถามไม่ได้เบาะแสอะไร จึงไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก

 

แต่ในทางกลับกันท่านนักพรตตู๋ก็รักษาจนหายแล้ว เขาจึงบอกให้คนทั้งสองกลับไป ระวังเรื่องความสะอาด ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว

แต่ใครจะรู้ว่าท่านนักพรตตู๋กำลังใส่ใจกับเรื่องนี้สุดๆ เมื่อเห็นว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงพูดออกมาอีกครั้ง “ เอาแบบนี้แล้วกัน คืนนี้ฉันจะกลับไปกับพวกคุณ จะต้องหาสาเหตุเจอแน่ ! ไม่อย่างนั้นอาจเกิดโรคนี้ขึ้นอีกได้ ”

จะไปคืนนี้งั้นเหรอ เขารีบร้อนอะไรขนาดนั้น

คุณยายและชายวัยกลางคนตกใจมาก แต่เมื่อเห็นเจตนาที่ทำเพื่อตัวเอง พวกเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร

เฟิงเฉ่วหานจึงถามว่า “ อาจารย์ ดึกขนาดนี้แล้ว จะไปคืนนี้จริงๆเหรอ ”

 

ผลลัพธ์ท่านนักพรตตู๋กลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ ใช่ จะไปคืนนี้ และยังต้องเอาอาวุธไปด้วย ! ”

เมื่อได้ยินว่าจะเอาอาวุธไปด้วย ผมก็แสดงหน้าตาสงสัยออกมาทันที

ไปหาสาเหตุของโรค ต้องเอาอาวุธไปด้วยเหรอ นี่ไม่ได้ไปล่าผีซะหน่อย

แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

เอาอาวุธไปด้วย จะต้องไปคืนนี้ แถมท่าทางของท่านนักพรตตู๋ยังซีเรียสขนาดนั้น

เรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มันไม่ปกติ คำพูดของท่านนักพรตตู๋จะต้องมีความในแฝงอยู่แน่ๆ

ตอนนี้ ผมจึงค่อยๆหันไปมองท่านนักพรตตู๋

 

พบว่าคิ้วของท่านนักพรตตู๋กำลังขมวดเป็นปม ดังนั้นผมจึงลองถามให้ลึกลงกว่านี้ “ ท่านลุงตู๋ มี มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ ”

ผมถามได้คลุมเครือมาก แต่ท่านนักพรตตู๋กลับฟังแล้วเข้าใจ

เขาพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย “ ยังไม่แน่ใจ แต่จะต้องเกี่ยวกันแน่ ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ “ พรึบ ” สีหน้าของผมก็ถอดสี

ต้องไปเตรียมอาวุธ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ

แม้จะไม่รู้ว่าท่านนักพรตตู๋เห็นอะไร แต่มันจะต้องมีบางอย่างในนั้น และมันยังเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถแก้ไขได้เองแน่

 

เพียงแต่คนทั้งสองยังอยู่ที่นี่ ท่านนักพรตตู๋จึงพูดออกมาไม่ได้

เฟิงเฉ่วหานก็เข้าใจความหมายที่พวกเราสองคนคุยกัน ตอนนี้สีหน้าของเขาจึงเคร่งขรึมลง

เขาไม่ถามให้มากความ หลังจากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปเตรียมอาวุธในบ้านทันที

แม้ว่าในใจจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่าพวกเราจะไม่ยอมปล่อยมันไป

ดังนั้นผมจึงพูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “ ท่านลุงตู๋ ผมกลับไปเปลี่ยนรองเท้าก่อน รอผมหน่อยนะครับ ”

ท่านนักพรตตู๋พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรกับผม

หลังจากนั้น ผมก็รีบวิ่งออกไปจากร้าน

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็รีบหยิบอาวุธ เปลี่ยนรองเท้า จุดธูปให้มู่หลงเหยียน และกลับมาที่ร้านไป๋ฉ่าว

ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆพร้อมแล้ว ในเวลานี้เมื่อเห็นผมกลับมา พวกเราก็เริ่มเดินตามทั้งสองคนไปในทิศทางที่บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ทันที

คนทั้งสองยังรู้สึกไม่ค่อยดี จึงบอกขอบคุณพวกเรา และยังบอกว่าพวกเราเป็นหมอที่ดี

ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ยังเป็นห่วงสุขภาพของพวกเขา ไปหาสาเหตุที่บ้านของพวกเขา และยังไม่เก็บเงินพวกเขาเพิ่ม……

แต่ผมเข้าใจดี ว่านี่ล้วนเป็นการแสดง

ท่านนักพรตตู๋ต้องเห็นอะไรบางอย่าง และเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย ไม่ได้โดนพิษธรรมดาๆเท่านั้นแน่ๆ

 

ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่รีบร้อน นำอาวุธมาด้วย และยังขอตามพวกเขากลับมากลางดึก

ดังนั้นผมจึงไม่สนใจคนทั้งสอง ผมหันไปพูดกับเฟิงเฉ่วหานเบาๆ “ เหล่าเฟิง รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ”

เฟิงเฉ่วหานได้ยินผมถาม จึงกวาดสายตามองคนทั้งสอง จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ อาจารย์บอกว่า คุณยายคนนี้โดนคนเสกแมลงลงท้อง…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset