ศพ – ตอนที่ 166 ศาสตร์ควบคุมแมลงพิษ

ตอนที่ 166 ศาสตร์ควบคุมแมลงพิษ

แม้จะเดาออกว่าคุณยายคนนี้ได้เจอกับอะไรมา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับคนธรรมดา และมันอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย

ไม่อย่างนั้นท่านนักพรตตู๋ก็คงไม่เคร่งเครียดแบบนี้ และยังออกมาทำงานในตอนกลางคืน

แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเลยคือ คุณยายคนนี้โดนเสกแมลงเข้าท้อง

หรือพูดอีกอย่างคือ เรื่องยุ่งที่คุณยายคนนี้ได้เจอ เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งชั่วร้าย

เพราะคนที่เสกแมลงได้ล้วนเป็นฝีมือของคน ไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของผีได้อย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่า คุณยายคนนี้ตกเป็นเป้าหมาย และโดนคนลอบสังหาร

 

ถ้าไม่ได้มาเจอกับพวกเรา คุณยายคนนี้คงตายไปแล้ว และก็คงไม่มีใครสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้

การเสกแมลงลงท้อง ไม่ใช่การวางยาพิษทั่วไป หรือปล่อยแมลงเข้าไปแบบธรรมดาๆ

เพราะคนเล่นของที่เพาะเลี้ยงแมลง ต่างมีวิชากันทั้งนั้น

ต้องรู้ว่าการเลี้ยงแมลงพิษ มีมาตั้งแต่โบราณ มันยังมีอิทธิพลในประเทศ และมีผู้คนจำนวนมากที่พูดคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของการเลี้ยงแมลงพิษ

คนสมัยก่อนกลัวแมลงพิษ ปกติพวกเขาจะใช้คำว่า “ หมอผีแมลง ” ในการบ่งบอกลางร้าย

เมื่อก่อนผมเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า การเลี้ยงแมลงพิษไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาเหมือนที่คนทั่วไปคิด แค่เลี้ยงแมลงทั่วๆไป จากนั้นก็แอบนำไปวางบนตัวคน

 

ที่จริงแล้ว เบื้องลึกเบื้องหลังของการเลี้ยงแมลงพิษ เป็นศาสตร์ดั่งเดิมอย่างหนึ่งของพวกเราลัทธิเต๋า

แต่เพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์และสภาพความเป็นอยู่ในตอนนั้น มันจึงค่อยๆหลุดออกไปจากความเชื่อและศาสตร์ของลัทธิเต๋า สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในการเพาะเลี้ยงแมลง กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ควบคุมแมลงพิษของพวกหมอผี

พวกที่ควบคุมแมลงพิษเหล่านี้ สามารถใช้คาถาพิเศษหรือเครื่องมือบางอย่าง ในการควบคุมแมลง ให้ไปฆ่าคนอย่างไร้รูปแบบ

สมัยก่อนการนองเลือดที่เกิดขึ้นในพระราชวังหลายครั้ง ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้ควบคุมแมลงพิษทั้งนั้น

แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกความเกลียดชัดของคนในราชวงศ์ หรือแม้แต่การโจมตีที่รุนแรง ทำให้มันกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย

 

เพราะการควบคุมแมลงพิษไม่เข้ากับบรรทัดฐานของลัทธิเต๋า หรือเรียกว่าแตกต่างกันมาก จึงมีบ่อยครั้งที่พวกเขาจะลอบสังหารกัน แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ปฏิเสธกันมาโดยตลอด

เพราะเหตุนี้ คนควบคุมแมลงพิษ จึงมักถูกเรียกว่าหมอผี

แม้กระทั่งในปัจจุบัน ถึงคนควบคุมแมลงพิษเหล่านี้จะตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเองแล้ว และก็มีคนควบคุมแมลงพิษที่เป็นคนดี ปกป้องความสงบสุข ได้รับความเคารพรักจากประชาชน และเริ่มเปิดเผยเรื่องการควบคุมแมลงพิษ

อย่างเช่นลูกสาวของราชาเหมียวผู้โด่งดัง เธอมีกระทั่งศาลเจ้าให้กราบไหว้บูชา

แต่ในพื้นที่ของพวกเรา สถานการณ์กลับแตกต่าง

 

เพราะความเชื่อ ขอบเขตของอำนาจที่ไม่เหมือนกัน ถ้าสองฝ่ายมาเจอกัน ยังไงก็ต้องหันคมดาบเข้าหากัน

และสถานการณ์ในปัจจุบันคือ มีคนใช้แมลงพิษในพื้นที่ของพวกเรา และยังลงมือกับคนยายแก่ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง

ไม่ว่าจะทำอะไรในลัทธิเต๋า หรือเป็นคนเป็นปราบสิ่งชั่วร้ายที่ธรรมดาคนหนึ่ง พวกเราก็มีเหตุผลที่ต้องไปดู

หลังจากที่ผมสงสัยมาระยะหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงหน้าตาอยากรู้อยากเห็น

เมื่อก่อนผมเคยได้ยิน และรู้ความลับบางอย่างของคนควบคุมแมลงพิษ ว่าแมลงพิษที่พวกเขาใช้มีพิษที่ร้ายแรงมาก แต่ผมยังไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน

ครั้งนี้สามารถติดตามท่านนักพรตตู๋ไปเปิดหูเปิดตาได้ ในใจของผมก็รู้สึกแทบทนรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหว

 

แต่ถ้าพูดย้อนกลับไป ครั้งนี้สิ่งที่พวกเราต้องเผชิญหน้า อาจไม่ใช่พวกพ่อพระแม่พระที่ดีเด่อะไร

ไม่แน่คนๆนั้นอาจไม่ต่างอะไรกับพวกองค์กรตาผี เป็นคนชั่วคนหนึ่ง และคนพวกนี้ ก็อาจร้ายกาจจนจัดการได้ยาก

หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็คุยกันอยู่ข้างหลังอีกนิดหน่อย และมันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหมอผีที่ควบคุมแมลงพิษ

เฟิงเฉ่วหานและท่านนักพรตตู๋เดินทางร่อนเร่มาหลายปี แม้แต่แหล่งกำเนิดของคนควบคุมแมลงพิษ พวกเขาก็เคยไปมาแล้ว

แต่ตอนที่พวกเขาไป กลับไม่เจออะไรผิดปกติ พวกเขาจึงเดินทางไปดูการแสดงที่เมืองโบราณเฟิ่งหวง ดังนั้นเหล่าเฟิงเองก็บอกว่าไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน

 

เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ข้อมูลอะไรสำคัญๆ ท่านนักพรตตู๋ก็ไม่ยอมพูด พวกเราจึงทำได้เพียงปิดปาก และมุ่งหน้าเดินต่อไป

คุณยายและชายวัยกลางคนล้วนแซ่เฟิ๋ง ซึ่งบ้านของครอบครัวเฟิ๋งอยู่ห่างจากตำบลของพวกเราประมาณ 8 กิโลเมตร

เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก มีบ้านเรือนประมาณ 30-40 หลัง ชาวบ้านส่วนใหญ่อาศัยการทำไร่ทำนาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

หมู่บ้านบนเขาที่เล็กและห่างไกล จู่ๆกลับมีผู้ควบคุมแมลงพิษปรากฎตัว เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆ

เพราะฝนกำลังตก ทางบนภูเขาจึงเดินได้อย่างยากลำบาก

บวกกับมีคุณยายอยู่ข้างกาย ดังนั้นความเร็วในการเดินทางครั้งนี้จึงช้าลงมาก

 

ดังนั้นตอนที่พวกเรามาถึงบ้านของครอบครัวเฟิ๋ง ก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

คนในหมู่บ้านต่างนอนกันหมดแล้ว ในเวลานี้ใกล้ถึงเที่ยงคืนแล้ว ภาพของในหมู่บ้านจึงแปลเปลี่ยนเป็นภาพสีดำ แม้แต่แสงไฟสักดวงก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าเงียบสงัดมาก

และหมู่บ้านนี้ยังอยู่ในภูเขา ตอนนี้จึงมีลมเย็นพัดเข้ามาเป็นระยะ

ขณะที่ผมกำลังหันมองไปรอบๆ จู่ๆท่านนักพรตตู๋ที่อยู่หน้าสุดก็พูดว่า “ พี่สาว ในหมู่บ้านของพวกคุณสงบจริงๆ ไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยเหรอครับ ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

ใช่ ! พวกเราเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่เสียงหมาเห่าสักตัวก็ไม่มี

 

ถ้าหมู่บ้านที่อยู่ในตัวเมืองก็ว่าไปอย่าง เหมือนชีวิตของสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงพวกนั้นจะกลายเป็นคุณปู่ไปหมด อย่าพูดถึงเห่าเลย นอกจากกินข้าว ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก พวกมันก็ขี้เกียจจนแทบไม่อยากขยับตัวไปไหน

ต้องรู้ว่าที่นี่คือบ้านนอก ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ เพื่อกันขโมยขโจร บ้านเกือบทุกหลังจะเลี้ยงหมากันทั้งนั้น

และพวกขี้หวาดระแวง ก็มักจะเลี้ยงหมาพันธ์เทอร์เรีย แม้หมาพันธ์นี้จะไม่ค่อยน่ารัก ตัวยังเล็ก และไม่ค่อยฉลาดมาก

แต่มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือเมื่อหมาพันธ์นี้ได้กลิ่นมนุษย์มันก็จะเห่าทันที เหมาะสำหรับใช้ป้องกันโจรมาก

นอกจากชายวัยกลางคนและคุณยาย พวกเราสามคนล้วนเป็นคนนอก

 

พวกเราคนนอกสามคนได้มาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงหมาเห่า มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ

หรือหมู่บ้านแห่งนี้  ในหลายสิบครอบครัวจะไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยสักราย

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็หันไปมองคุณยายและชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้า

ไม่รอให้คุณยายได้พูด จู่ๆชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจ “ อย่าไปพูดถึงมันเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนที่หมู่บ้านของพวกเราคงมีโจรเข้ามา หมา 20 กว่าตัวที่เลี้ยงอยู่ในหมู่บ้านต่างตายไปจนหมด ไม่เหลือเลยสักตัว หมาที่ผมเลี้ยงมาห้าปี ก็ยังถูกคนฆ่าตาย ! ”

“ ตายแล้ว 20 กว่าตัว ” ผมพูดด้วยความตกใจ

 

คุณยายก็โกรธเช่นกัน เธอพูดต่อทันที “ ใช่ ไม่เหลือเลยสักตัว ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าหมาอาจโดนวางยาพิษ จนไม่มีใครกล้ากิน ทุกตัวจึงถูกโยนลงไปในบ่อทำปุ๋ย ! ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ พวกเราก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัย

แต่เพราะไม่มีเบาะแสเหลือมากนัก พวกเราจึงไม่ได้ถามต่อ เพียงจำมันเอาไว้ จากนั้นก็เดินตามคนทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน

แต่เรื่องที่แปลกคือ พวกเรายิ่งเดินเข้าไปในหมู่บ้าน รอบๆก็เริ่มเย็นขึ้น บางครั้งก็มีสายลมอันหนาวเย็นพัดเข้ามา

เฟิงเฉ่วหานยังพูดกับผมเบาๆ “ หมู่บ้านนี้อันตราย ระวังตัวด้วย ! ”

ผมทำหน้าสงสัย แต่ก็พยักหน้ารับ พร้อมกับมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง

 

แต่นอกจากสายลมอันหนาวเย็นแล้ว ผมก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติอีก

และตอนนี้ พวกเราก็ได้มาถึงบ้านของคุณยายและชายวัยกลางคนแล้ว

มันเป็นบ้านดินเก่าๆ มีบางส่วนที่พุพังไปแล้ว

เมื่อเดินเข้าไปในสวนหย่อม ผมก็มองไปรอบๆ แต่มันดูปกติทุกอย่าง พวกเราจึงเดินเข้าไปที่ตัวบ้าน

แต่พวกเราเพิ่งมาถึงประตูบ้าน ทันใดนั้นสีหน้าของท่านนักพรตตู๋ก็เปลี่ยนไป

เขาหมุนตัว จ้องชายวัยกลางคนที่กำลังจะเปิดประตู จากนั้นก็รีบพูดว่า “ ทุกคนห้ามขยับ ! ”

เสียงของเขาจริงจังมาก จู่ๆก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น พวกเราทุกคนจึงนิ่งอึ้ง แต่ก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน

 

“ ท่านลุงตู๋ เกิด เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ” ผมพูดด้วยความสงสัย และไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับขมวดคิ้ว มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ พวกนายมองดูให้ดีๆ ว่าใต้ชายคาของบ้านนี้มีอะไรอยู่…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset