ตอนที่ 166 ศาสตร์ควบคุมแมลงพิษ
แม้จะเดาออกว่าคุณยายคนนี้ได้เจอกับอะไรมา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับคนธรรมดา และมันอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย
ไม่อย่างนั้นท่านนักพรตตู๋ก็คงไม่เคร่งเครียดแบบนี้ และยังออกมาทำงานในตอนกลางคืน
แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเลยคือ คุณยายคนนี้โดนเสกแมลงเข้าท้อง
หรือพูดอีกอย่างคือ เรื่องยุ่งที่คุณยายคนนี้ได้เจอ เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งชั่วร้าย
เพราะคนที่เสกแมลงได้ล้วนเป็นฝีมือของคน ไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของผีได้อย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่า คุณยายคนนี้ตกเป็นเป้าหมาย และโดนคนลอบสังหาร
ถ้าไม่ได้มาเจอกับพวกเรา คุณยายคนนี้คงตายไปแล้ว และก็คงไม่มีใครสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้
การเสกแมลงลงท้อง ไม่ใช่การวางยาพิษทั่วไป หรือปล่อยแมลงเข้าไปแบบธรรมดาๆ
เพราะคนเล่นของที่เพาะเลี้ยงแมลง ต่างมีวิชากันทั้งนั้น
ต้องรู้ว่าการเลี้ยงแมลงพิษ มีมาตั้งแต่โบราณ มันยังมีอิทธิพลในประเทศ และมีผู้คนจำนวนมากที่พูดคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของการเลี้ยงแมลงพิษ
คนสมัยก่อนกลัวแมลงพิษ ปกติพวกเขาจะใช้คำว่า “ หมอผีแมลง ” ในการบ่งบอกลางร้าย
เมื่อก่อนผมเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า การเลี้ยงแมลงพิษไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาเหมือนที่คนทั่วไปคิด แค่เลี้ยงแมลงทั่วๆไป จากนั้นก็แอบนำไปวางบนตัวคน
ที่จริงแล้ว เบื้องลึกเบื้องหลังของการเลี้ยงแมลงพิษ เป็นศาสตร์ดั่งเดิมอย่างหนึ่งของพวกเราลัทธิเต๋า
แต่เพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์และสภาพความเป็นอยู่ในตอนนั้น มันจึงค่อยๆหลุดออกไปจากความเชื่อและศาสตร์ของลัทธิเต๋า สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในการเพาะเลี้ยงแมลง กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ควบคุมแมลงพิษของพวกหมอผี
พวกที่ควบคุมแมลงพิษเหล่านี้ สามารถใช้คาถาพิเศษหรือเครื่องมือบางอย่าง ในการควบคุมแมลง ให้ไปฆ่าคนอย่างไร้รูปแบบ
สมัยก่อนการนองเลือดที่เกิดขึ้นในพระราชวังหลายครั้ง ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้ควบคุมแมลงพิษทั้งนั้น
แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกความเกลียดชัดของคนในราชวงศ์ หรือแม้แต่การโจมตีที่รุนแรง ทำให้มันกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย
เพราะการควบคุมแมลงพิษไม่เข้ากับบรรทัดฐานของลัทธิเต๋า หรือเรียกว่าแตกต่างกันมาก จึงมีบ่อยครั้งที่พวกเขาจะลอบสังหารกัน แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ปฏิเสธกันมาโดยตลอด
เพราะเหตุนี้ คนควบคุมแมลงพิษ จึงมักถูกเรียกว่าหมอผี
แม้กระทั่งในปัจจุบัน ถึงคนควบคุมแมลงพิษเหล่านี้จะตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเองแล้ว และก็มีคนควบคุมแมลงพิษที่เป็นคนดี ปกป้องความสงบสุข ได้รับความเคารพรักจากประชาชน และเริ่มเปิดเผยเรื่องการควบคุมแมลงพิษ
อย่างเช่นลูกสาวของราชาเหมียวผู้โด่งดัง เธอมีกระทั่งศาลเจ้าให้กราบไหว้บูชา
แต่ในพื้นที่ของพวกเรา สถานการณ์กลับแตกต่าง
เพราะความเชื่อ ขอบเขตของอำนาจที่ไม่เหมือนกัน ถ้าสองฝ่ายมาเจอกัน ยังไงก็ต้องหันคมดาบเข้าหากัน
และสถานการณ์ในปัจจุบันคือ มีคนใช้แมลงพิษในพื้นที่ของพวกเรา และยังลงมือกับคนยายแก่ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะทำอะไรในลัทธิเต๋า หรือเป็นคนเป็นปราบสิ่งชั่วร้ายที่ธรรมดาคนหนึ่ง พวกเราก็มีเหตุผลที่ต้องไปดู
หลังจากที่ผมสงสัยมาระยะหนึ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
เมื่อก่อนผมเคยได้ยิน และรู้ความลับบางอย่างของคนควบคุมแมลงพิษ ว่าแมลงพิษที่พวกเขาใช้มีพิษที่ร้ายแรงมาก แต่ผมยังไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน
ครั้งนี้สามารถติดตามท่านนักพรตตู๋ไปเปิดหูเปิดตาได้ ในใจของผมก็รู้สึกแทบทนรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหว
แต่ถ้าพูดย้อนกลับไป ครั้งนี้สิ่งที่พวกเราต้องเผชิญหน้า อาจไม่ใช่พวกพ่อพระแม่พระที่ดีเด่อะไร
ไม่แน่คนๆนั้นอาจไม่ต่างอะไรกับพวกองค์กรตาผี เป็นคนชั่วคนหนึ่ง และคนพวกนี้ ก็อาจร้ายกาจจนจัดการได้ยาก
หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็คุยกันอยู่ข้างหลังอีกนิดหน่อย และมันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหมอผีที่ควบคุมแมลงพิษ
เฟิงเฉ่วหานและท่านนักพรตตู๋เดินทางร่อนเร่มาหลายปี แม้แต่แหล่งกำเนิดของคนควบคุมแมลงพิษ พวกเขาก็เคยไปมาแล้ว
แต่ตอนที่พวกเขาไป กลับไม่เจออะไรผิดปกติ พวกเขาจึงเดินทางไปดูการแสดงที่เมืองโบราณเฟิ่งหวง ดังนั้นเหล่าเฟิงเองก็บอกว่าไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ข้อมูลอะไรสำคัญๆ ท่านนักพรตตู๋ก็ไม่ยอมพูด พวกเราจึงทำได้เพียงปิดปาก และมุ่งหน้าเดินต่อไป
คุณยายและชายวัยกลางคนล้วนแซ่เฟิ๋ง ซึ่งบ้านของครอบครัวเฟิ๋งอยู่ห่างจากตำบลของพวกเราประมาณ 8 กิโลเมตร
เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก มีบ้านเรือนประมาณ 30-40 หลัง ชาวบ้านส่วนใหญ่อาศัยการทำไร่ทำนาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
หมู่บ้านบนเขาที่เล็กและห่างไกล จู่ๆกลับมีผู้ควบคุมแมลงพิษปรากฎตัว เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆ
เพราะฝนกำลังตก ทางบนภูเขาจึงเดินได้อย่างยากลำบาก
บวกกับมีคุณยายอยู่ข้างกาย ดังนั้นความเร็วในการเดินทางครั้งนี้จึงช้าลงมาก
ดังนั้นตอนที่พวกเรามาถึงบ้านของครอบครัวเฟิ๋ง ก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
คนในหมู่บ้านต่างนอนกันหมดแล้ว ในเวลานี้ใกล้ถึงเที่ยงคืนแล้ว ภาพของในหมู่บ้านจึงแปลเปลี่ยนเป็นภาพสีดำ แม้แต่แสงไฟสักดวงก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าเงียบสงัดมาก
และหมู่บ้านนี้ยังอยู่ในภูเขา ตอนนี้จึงมีลมเย็นพัดเข้ามาเป็นระยะ
ขณะที่ผมกำลังหันมองไปรอบๆ จู่ๆท่านนักพรตตู๋ที่อยู่หน้าสุดก็พูดว่า “ พี่สาว ในหมู่บ้านของพวกคุณสงบจริงๆ ไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยเหรอครับ ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”
ใช่ ! พวกเราเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่เสียงหมาเห่าสักตัวก็ไม่มี
ถ้าหมู่บ้านที่อยู่ในตัวเมืองก็ว่าไปอย่าง เหมือนชีวิตของสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงพวกนั้นจะกลายเป็นคุณปู่ไปหมด อย่าพูดถึงเห่าเลย นอกจากกินข้าว ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก พวกมันก็ขี้เกียจจนแทบไม่อยากขยับตัวไปไหน
ต้องรู้ว่าที่นี่คือบ้านนอก ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ เพื่อกันขโมยขโจร บ้านเกือบทุกหลังจะเลี้ยงหมากันทั้งนั้น
และพวกขี้หวาดระแวง ก็มักจะเลี้ยงหมาพันธ์เทอร์เรีย แม้หมาพันธ์นี้จะไม่ค่อยน่ารัก ตัวยังเล็ก และไม่ค่อยฉลาดมาก
แต่มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือเมื่อหมาพันธ์นี้ได้กลิ่นมนุษย์มันก็จะเห่าทันที เหมาะสำหรับใช้ป้องกันโจรมาก
นอกจากชายวัยกลางคนและคุณยาย พวกเราสามคนล้วนเป็นคนนอก
พวกเราคนนอกสามคนได้มาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงหมาเห่า มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ
หรือหมู่บ้านแห่งนี้ ในหลายสิบครอบครัวจะไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยสักราย
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็หันไปมองคุณยายและชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้า
ไม่รอให้คุณยายได้พูด จู่ๆชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจ “ อย่าไปพูดถึงมันเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนที่หมู่บ้านของพวกเราคงมีโจรเข้ามา หมา 20 กว่าตัวที่เลี้ยงอยู่ในหมู่บ้านต่างตายไปจนหมด ไม่เหลือเลยสักตัว หมาที่ผมเลี้ยงมาห้าปี ก็ยังถูกคนฆ่าตาย ! ”
“ ตายแล้ว 20 กว่าตัว ” ผมพูดด้วยความตกใจ
คุณยายก็โกรธเช่นกัน เธอพูดต่อทันที “ ใช่ ไม่เหลือเลยสักตัว ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าหมาอาจโดนวางยาพิษ จนไม่มีใครกล้ากิน ทุกตัวจึงถูกโยนลงไปในบ่อทำปุ๋ย ! ”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ พวกเราก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัย
แต่เพราะไม่มีเบาะแสเหลือมากนัก พวกเราจึงไม่ได้ถามต่อ เพียงจำมันเอาไว้ จากนั้นก็เดินตามคนทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน
แต่เรื่องที่แปลกคือ พวกเรายิ่งเดินเข้าไปในหมู่บ้าน รอบๆก็เริ่มเย็นขึ้น บางครั้งก็มีสายลมอันหนาวเย็นพัดเข้ามา
เฟิงเฉ่วหานยังพูดกับผมเบาๆ “ หมู่บ้านนี้อันตราย ระวังตัวด้วย ! ”
ผมทำหน้าสงสัย แต่ก็พยักหน้ารับ พร้อมกับมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง
แต่นอกจากสายลมอันหนาวเย็นแล้ว ผมก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติอีก
และตอนนี้ พวกเราก็ได้มาถึงบ้านของคุณยายและชายวัยกลางคนแล้ว
มันเป็นบ้านดินเก่าๆ มีบางส่วนที่พุพังไปแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปในสวนหย่อม ผมก็มองไปรอบๆ แต่มันดูปกติทุกอย่าง พวกเราจึงเดินเข้าไปที่ตัวบ้าน
แต่พวกเราเพิ่งมาถึงประตูบ้าน ทันใดนั้นสีหน้าของท่านนักพรตตู๋ก็เปลี่ยนไป
เขาหมุนตัว จ้องชายวัยกลางคนที่กำลังจะเปิดประตู จากนั้นก็รีบพูดว่า “ ทุกคนห้ามขยับ ! ”
เสียงของเขาจริงจังมาก จู่ๆก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น พวกเราทุกคนจึงนิ่งอึ้ง แต่ก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
“ ท่านลุงตู๋ เกิด เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ” ผมพูดด้วยความสงสัย และไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
แต่ท่านนักพรตตู๋กลับขมวดคิ้ว มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ พวกนายมองดูให้ดีๆ ว่าใต้ชายคาของบ้านนี้มีอะไรอยู่…… ”