ศพ – ตอนที่ 167 รังแมลง

ตอนที่ 167 รังแมลง

จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็พูดออกมา ทำให้พวกเราทุกคนมึนงงทันที

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด ท่านนักพรตตู๋กลับบอกให้พวกเรามองดูที่ชายคา

ตอนนั้นผมสงสัยมาก ทำไมต้องดูชายคาด้วย

แต่ในเมื่อท่านนักพรตตู๋พูดถึงขนาดนั้น ผมก็แสดงสีหน้าสงสัย ยกไฟฉายในมือขึ้น จากนั้นก็ส่องไปที่ชายคา

แต่เมื่อส่องไป “ พรึบ ” สีหน้าของพวกเราทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที

ภายใต้แสงไฟ บริเวณใต้ชายคา มีตัวอ่อนแมลงสีแดง ที่ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กำลังเกาะกันอย่างหนาแน่น

แมลงพวกนั้นเหมือนกับตัวหนอน มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก แต่ทุกตัวจะมีสีแดงหรือไม่ก็สีแดงเข้ม

ในเวลานี้พวกมันกำลังเบียดตัวกันอย่างหนาแน่น ทุกตัวต่างเกาะอยู่ที่ใต้ชายคา และคืบคลานอย่างต่อเนื่อง

 

คานบ้าน กระเบื้อง ผนัง ทุกที่ต่างมีแมลงก่อตัวกันเป็นชั้นๆ

แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ พวกมันยังคลานอยู่ และจับตัวกันเป็นฝูง สภาพแบบนั้นทำให้คนที่เห็นถึงกับขนลุก หวาดกลัวจนมือไม้สั่น

ฉากนี้น่าขยะแขยงเกินไป และน่ากลัวเกินไป

ทำไมใต้ชายคา ถึงมีแมลงอยู่เยอะขนาดนี้ และยังเป็นแมลงสีแดงที่ผมไม่รู้จัก

แต่เห็นได้ชัดมาก ตอนที่คุณยายอ้วกออกมา ก็เป็นแมลงสีแดงแบบนี้

อาจเป็นไปได้มาก ว่าก่อนหน้านี้คุณยาย ถูกแมลงวางไข่ที่นี่ จากนั้นมันก็กลายเป็นกาฝากในร่างกาย นี่ถึงได้เป็นสาเหตุของการอาเจียน

 

แน่นอน ว่าต้องไม่ลืมคนที่ตั้งใจเลี้ยงมันที่นี่ และตั้งใจทำร้ายคนในบ้านหลังนี้

ขณะที่ผมกำลังมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ คุณยายและชายวัยกลางคน ก็กรีดร้อง “ อร๊าย/อ๊าก ” ออกมา ขณะเดียวกันตัวของพวกเขาก็ถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง

คุณยายตกใจจนแทบสลบ ส่วนชายวัยกลางคนก็กลัวมาก “ มะ แมลง ทำไม ทำไมบ้านฉันถึงมีแมลงเยอะขนาดนี้ ! ”

คุณยายถูกผมประคองเอาไว้ สีหน้าของเธอซีดขาวมาก

ในเวลานี้เธอร้องไห้ออกมาเรียบร้อย “ สมควรตาย กล้ามาปล่อยแมลงใส่บ้านฉันเยอะขนาดนี้ ครอบครัวของฉันไปทำให้ใครโกรธแค้น ถึงได้ทำกับพวกเราแบบนี้ ! ”

 

ท่านนักพรตตู๋เห็นคุณยายพูดทั้งน้ำตา จึงพูดออกมาตรงๆ “ ยาย ยายหยุดร้องไห้ก่อน และก็อย่าโวยวาย เราต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน ! ”

เมื่อคุณยายได้ยิน เธอก็ส่งเสียง “ ฮือฮือฮือ ” ออกมาเท่านั้น

แต่ชายวัยกลางคนกลับทำหน้าขมขื่น “ มะ แมลงเยอะขนาดนี้ ต่อไป ต่อไปบ้านของพวกเรา จะยังอยู่ได้ไหมครับ ”

ท่านนักพรตตู๋ตบบ่าชายวัยกลางคนเบาๆ “ ในเมื่อพวกเรามาแล้ว ก็เพื่อมาแก้ปัญหาให้ ตอนนี้พวกคุณรออยู่ข้างนอก นายเอากุญแจมาให้ฉัน พวกเราจะเข้าไปก่อน ”

ในเวลานี้ชายวัยกลางคนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เมื่อได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น เขาก็ตอบรับ “ ครับ ” จากนั้นก็ส่งกุญแจให้กับท่านนักพรตตู๋

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้กุญแจมา เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่สนใจพวกแมลง กางร่มออก ถือกุญแจเข้าไปเปิดประตู จากนั้นก็เปิดไฟฉายเดินเข้าไป

ผมและเฟิงเฉ่วหานหันมามองหน้ากันหนึ่งครั้ง พยักหน้าให้กันอย่างเงียบๆ จากนั้นพวกเราก็กางร่มออก และตามเข้าไปทันที

แม้บนหัวจะเต็มไปด้วยแมลงสีแดงแปลกๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้พวกเราอยากรู้มากเข้าไปอีก

หลังจากที่พวกเราถือไฟฉายเดินเข้ามา พวกเรากลับตัวชา ขนลุกแล้วลุกอีก ฝ่าเท้ากระตุกหลายครั้ง

เพราะพวกเราพบว่า ในบ้านหลังนี้ได้กลายเป็นรังแมลงแล้ว

เมื่อมองเข้าไป พื้นที่ในบ้านต่างเต็มไปด้วยแมลงสีแดง พวกมันกำลังคืบคลานอยู่ทุกซอกมุมของบ้าน

 

พื้น ผนัง เฟอร์นิเจอร์ เพดาน ทุกที่ล้วนมีพวกมัน

เพราะแมลงมีเยอะมาก และพวกมันยังคลานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังส่งเสียง “ ฉึบฉึบ ” เบาๆ และบนเพดานยังมีแมลงบางส่วน ที่หล่นลงมาบนร่มดัง “ แปะแปะ ”

เสียงนั้นทำให้คนขนลุก รู้สึกขยะแขยง อึดอัด เหมือนกับได้ยินเสียงเล็บขูดแก้ว ทำให้คนรู้สึกหวาดเสียวมาก

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างรู้สึกไม่สบายตัว แต่ท่านนักพรตตู๋กลับพูดอย่างเย็นชา “ อย่างที่คิดมีคนใช้แมลงพิษมาทำร้ายคน ถ้าครอบครัวเฟิ๋งไม่ไปร้านของพวกเรา คืนนี้ทั้งสองคนก็คงไม่มีใครรอด ! ”

ขณะที่พูด ท่านนักพรตตู๋ก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับความโมโห จากนั้นก็เปิดประตูห้อง

 

หลังจากพวกเราเปิดประตูห้องออก ก็ใช้ไฟฉายส่องเข้าไป ทันใดนั้นภาพที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเดิมก็ปรากฎขึ้น

ในห้องนี้ มีแมลงมากยิ่งกว่าเดิม

บนพื้นมีแมลงกองกันกว่าสิบยี่สิบเซนติเมตร และเมื่อส่องไฟไปบนหัวเตียง พวกเราก็พบว่าบนหัวเตียงกลายเป็นรังแมลงไปแล้ว

พวกมันก่อตัวกันเป็นชั้น มีแมลงซ้อนทับอยู่ด้วยกัน

พวกมันคลานอย่างต่อเนื่อง พร้อมใจปีนมารวมกัน ภาพนั้นเป็นภาพที่ยากจะลืม มันน่าขนหัวลุกยิ่งกว่าอะไร

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานมองจนลืมตัว แมลงเยอะขนาดนี้ ช่างน่ากลัวจริงๆ

ท่านนักพรตตู๋ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ แมลงเยอะขนาดนี้ จะต้องไม่ได้ออกมาเองแน่ พวกมันจะต้องมีคนควบคุมอยู่ ! ”

“ ควบคุม ” เฟิงเฉ่วหานถามตามที่จิตใจสำนึกบอก

“ ใช่ ผู้ควบคุมแมลงพิษที่ร้ายกาจอยู่ที่นี่ นอกจากแมลงพิษจะร้ายกาจแล้ว พวกเขายังสามารถควบคุมพวกมันได้จากที่ห่างไกล ! แต่ตอนนี้ดูเหมือน พลังของเจ้าปีศาจนั้นยังไม่เยอะพอ ตอนที่ในบ้านไม่มีคนอยู่เลยยังไม่รู้ตัว ทำได้แค่ส่งแมลงเข้ามาในบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้น ! ” ท่านนักพรตตู๋วิเคราะห์

เรื่องนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างมีความรู้อันน้อยนิด

ตอนนี้จึงทำได้เพียงทำตามที่ท่านนักพรตตู๋พูด เขาพูดอะไร พวกเราก็ทำอันนั้น

 

ดังนั้นผมจึงพูดออกมาตรงๆ “ ท่านลุงตู๋ ถ้าอย่างนั้นลุงว่าพวกเราควรทำยังไงต่อดี ! เจ้าปีศาจนั้นน่าขยะแขยงมาก ถึงกับกล้าคบค้าสมาคมกับแมลงเยอะขนาดนี้ ! ”

ท่านนักพรตตู๋กวาดสายตามองไปรอบๆบ้าน จากนั้นก็พูดว่า “ ที่นี่มีเบาะแสเหลือไม่มาก พวกเราถอยก่อน ! ”

เมื่อเห็นฉากแบบนี้ ใจขี้สงสัยของผมก็หายไป ตอนนี้ผมอยากจะออกไปจากบ้านแมลงนี่เต็มทนแล้ว

ตอนนี้เมื่อได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น ผมก็ไม่มีทีท่าว่าจะอยากอยู่ต่อ

ผมและเฟิงเฉ่วหานหมุนตัว คิดจะเดินออกจากที่นี่ทันที

แต่ในบ้านนี้มีแมลงเยอะมาก จึงมองไม่เห็นสถานการณ์ข้างหลัง

 

ผลลัพธ์หลังจากพวกเราหมุนตัวกลับมา พวกเราก็บังเอิญไปเหยียบโดนแมลงสองสามตัว

“ แกรบแกรบ ” ตอนนี้ใต้รองเท้ามีซากแมลงสองสามตัวติดอยู่ ในตัวพวกมันต่างมีน้ำสีดำไหลออกมา

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่คิดมาก แมลงเยอะขนาดนี้ เหยียบตายไปบ้างก็คงไม่เป็นไร ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร

แต่เสี้ยววินาทีต่อมา ฉากที่น่าขนลุกก็ปรากฎขึ้น

พวกเราตกใจทันที เมื่อพบว่าแมลงที่เคยคลานอย่างเชื่องช้า ตอนนี้กลับตื่นตัวขึ้น เหมือนพวกมันเลือดขึ้นหน้า ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มคลานอย่างรวดเร็ว

เสียง “ ฉึบฉึบ ” ที่แผ่วเบา เริ่มดังขึ้นทันที

 

แมลงที่อยู่บนเพดานล่วงหล่นลงมา บนร่มอย่างต่อเนื่อง “ แปะแปะแปะ ”

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ นอกจากแมลงพวกนี้จะคลานเร็วขึ้นแล้ว

พวกมันยังหันหัว มาทางพวกเราสามคน

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ตกตะลึงทันที

แต่ไม่รอให้พวกเราได้ตอบสนองอะไร ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนว่า “ ยังยืนบื้ออยู่ทำไม รีบวิ่งซิ ! ”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ท่านนักพรตตู๋ก็ดึงผมและเฟิงเฉ่วหานวิ่งไปข้างนอก

ผลลัพธ์พวกเราเพิ่งวิ่งไปได้สองก้าว “ ปัง ” ประตูบ้านที่เคยเปิดอยู่ก็ปิดลงทันที

 

จากนั้นพวกเราก็เห็นแมลงที่อัดแน่นกันนั้น เริ่มคลานเข้าไปที่บานประตูอย่างรวดเร็ว จนทำให้ประตูถูกปิดตาย

นอกจากนี้แล้ว แมลงกองสูงกว่าครึ่งเมตร ที่เคยรวมตัวกันที่หัวเตียงนั้น ก็ “ ตูม ” กระจายตัวลงบนพื้นทันที

เมื่อแมลงจำนวนมหาศาลไหลลงมา บวกกับแมลงรอบๆ ภาพแมลงบ้าคลั่งที่เริ่มคลานเข้ามาหาพวกเราก็ปรากฎขึ้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset