ตอนที่ 180 หนีเอาชีวิตรอด
จู่ๆกุ่ยซานหยวนก็คุกเข่าลง มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดคารวะ และยังพูดว่า “ ท่านผู้ส่งสาร ” ออกมา นี้จึงทำให้ผมมึนงงไปพักหนึ่ง
มันก็ไม่ใช่แค่นกตัวนึงเหรอ นอกจากจะใหญ่ผิดปกติแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน
และหลังจากที่เจ้านกตัวนั้นเห็นกุ่ยซานหยวนคารวะ มันก็ร้อง “ กากา ” ออกมาสองครั้ง ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งตกลงมา หลังจากนั้นเจ้าตัวนกนั้นก็บินหายไปจากสายตาของพวกเรา
กุ่ยซานหยวนเห็นมีของตกลงมา เขาจึงรีบเข้าไปหยิบ หลังจากกวาดสายตามอง นั้นก็คือกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่ง ในนั้นน่าจะมีสารอยู่
แต่ในยุคสมัยนี้ ใครเขายังใช้นกส่งสารอยู่ละ
กุ่ยซานหยวนดูซีเรียสมาก เขาเปิดมันออก จากนั้นก็คลี่สารออกมาอ่าน
เขาเพิ่งอ่านไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็ดูตกใจ พร้อมกับพูดว่า “ แย่แล้ว ! ” ออกมา
ดูเหมือนมันจะเกิดเรื่องใหญ่โครตๆขึ้น แต่คำพูดของกุ่ยซานหยวนเพิ่งจางหาย เขาก็หมุนตัว หันมามองพวกเราอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันก็พูดกับพวกเราสามคนว่า “ พวกแกดวงดี ท่านประมุขเชิ่งเรียกตัวข้า คืนนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง วันข้างหน้าข้าจะมาเลาะเนื้อหนังของพวกแกใหม่ ”
หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้พวกเราได้ตอบโต้อะไร ทันใดนั้นหมอผีก็หมุนตัว วิ่งไปอีกทางฝากหนึ่งของลำธารทันที
การเคลื่อนไหวของเขาเร็วสุดๆ ราวกับวานรที่คล่องแคล่ว ผ่านไปไม่นานร่างของเขาก็เลือนหายไปจากสายตาของพวกเรา
จู่ๆก็เห็นหมอผีจากไป ผมและเฟิงเฉ่วหานหรือแม้แต่ท่านนักพรตตู๋ก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เรื่องทั้งหมดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป เมื่อกี้พวกเรายังอยู่ระหว่างความเป็นความตายอยู่เลย
แต่ตอนนี้ ตอนนี้เจ้าหมอผีนั้นกลับจากไปด้วยตัวเอง นี่มันเรื่องบ้าอะไร
แม้ในใจกำลังสงสัย แต่ก็รู้สึกดี เป็นแบบนี้ก็ดี พวกเราจะได้หลุดพ้นจากวิกฤติ และหนีเอาชีวิตรอดได้
แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานยังขยับไม่ได้ พวกเรายังพยายามดิ้นรนต่อไป
ส่วนท่านนักพรตตู๋ก็ได้กดบาดแผลด้านหลังเอาไว้ เขาเหงื่อไหลเต็มหน้า เดินเข้ามาหาพวกเราด้วยสีหน้าซีดเซียว
ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดว่า “ ดูเหมือน ดูเหมือนพวกเรา จะรอด รอดแล้ว…… ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านนักพรตตู๋ยังฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
ไม่พูดไม่ได้ ท่านนักพรตตู๋ช่างเป็นชายชาตรีจริงๆ
เลือดสดๆพวกนั้นต่างไหลอาบไปทั้งเสื้อและกางเกงของเขาแล้ว เจ้าท่อนเหล็กนั้นแทงเข้าไปในร่างกายของเขา ถ้าไม่รีบหยุดเลือดเอาไว้ หรือไปหาหมอไม่ทัน ท่านนักพรตตู๋ต้องตายแน่ๆ
แต่ท่านนักพรตตู๋กลับกัดฟัน ในเวลานี้เขาไม่ร้องออกมาเลยสักแอะ แม้แต่สีหน้าหวาดกลัวก็ไม่เผยออกมา
หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็เดินมาถึงตรงหน้าของพวกเราแล้ว
เขาหายใจหอบเหนื่อย ตัวสั่นไปทั้งตัว “ พวก พวกนายสองคนถูกผนึก ผนึกพลังเอาไว้ อย่า กลัว…… ”
หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็สูดหายใจเข้า จากนั้นก็ทำมือเป็นรูปดาบ ชี้มาที่หน้าอกของพวกเราสองคน พร้อมพูดออกมาเบาๆว่า “ เปิดๆ…… ”
ทันใดนั้น ในร่างกายก็มีความร้อนปรากฎขึ้น
ดูเหมือนไอเย็นที่อยู่ในร่างกายจะถูกกำจัดออกไป ร่างกายที่เคยไร้เรี่ยวแรง อาการเวียนหัวตาลาย ในเวลานี้มันเริ่มฟื้นกลับคืนมาเล็กน้อยแล้ว
แขนขาทั้งสองข้าง ค่อยๆกลับมาขยับได้อีกครั้ง
“ อา อาจารย์…… ” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาเป็นคนแรก
“ ท่านลุงตู๋ ! ” หลังจากที่ผมเริ่มฟื้นตัว ก็รีบตะโกนออกมาทันที
เพราะเลือดที่แผลด้านหลังของท่านนักพรตตู๋กำลังไหลออกมาไม่หยุด และสภาพของเขายังดูแย่มากๆ พวกเราจึงเป็นกังวล
“ อาจารย์ ผมจะห้ามเลือดให้ แล้ว แล้วจะรีบพาไปหาหมอ ! ” เฟิงเฉ่วหานรีบพูด ในเวลาเดียวกันก็ลงมือทำ
แต่เพราะเขาเพิ่งฟื้นตัว ดังนั้นร่างกายจึงทำอะไรไม่ได้ตามใจนึก พอเฟิงเฉ่วหานขยับ เขาก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
“ เสี่ยว เสี่ยวเฟิง อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นอะไร ไม่ตายหรอก ! ”
“ ท่านลุงตู๋ ผมจะใส่ยาห้ามเลือดและพันแผลให้ ! ” ผมรีบพูด จากนั้นก็หยิบของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋า
เพราะทุกครั้งที่ไปทำภารกิจพวกเรามักบาดเจ็บเสมอ ดังนั้นผมจึงเตรียมพวกนั้นเอาไว้แล้ว
ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้ห้าม เพราะตอนนี้สภาพของเขาดูแย่มาก
หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็รวมพลังกัน ใส่ยาห้ามเลือดและพันแผลอย่างง่ายๆให้ท่านนักพรตตู๋
ขณะที่ร่างกายของพวกเราค่อยๆฟื้นตัว สติของท่านนักพรตตู๋ก็เริ่มเลือนลาง และแล้วเขาก็นอนหลับไปในที่สุด
เฟิงเฉ่วหานไม่พูดอะไร เขาแบกท่านนักพรตตู๋ขึ้นหลัง จากนั้นเขากับผม ก็ออกไปจากหุบเขาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเรื่องที่ผู้ใหญ่บ้านถูกกุ่ยซานหยวนฆ่า พวกเราก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้ร่างของเขาโดนสัตว์รุมกัดกิน
เดิมทีผมคิดว่าจะโทรหาอาจารย์ หรือเหล่าฉิน เพื่อให้มารับพวกเรา
ผลลัพธ์เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่า สถานที่แห่งนี้ไม่มีสัญญาณ
ถึงว่าทำไมเจ้ากุ่ยซานหยวนถึงได้ใช้นกส่งสาร ดูแล้วก็สมเหตุสมผลดี
เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับกุ่ยซานหยวน เขาถึงได้รีบร้อนไม่ยอมเสียเวลาฆ่าพวกเราเลยแม้แต่น้อย
ดูจากเรื่องนี้ เขาจะต้องเจอกับเรื่องที่รับมือได้ยากสุดๆเข้าแล้ว
ไม่อย่างนั้นการต่อสู้กับพวกเราสองครั้ง แถมยังฆ่าลูกศิษย์ของเขาตาย เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราให้มีชีวิตรอดแน่
แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องรีบพาท่านนักพรตตู๋ไปหาหมอ รักษาชีวิตของท่านนักพรตตู๋เอาไว้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ผมและเฟิงเฉ่วหานรีบแบกท่านนักพรตตู๋ลงเขา แต่ทางบนหุบเขาแห่งนี้ กลับเดินได้ลำบากมาก การเดินทางของพวกเราจึงค่อนข้างช้า
สถานการณ์ของท่านนักพรตตู๋เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ อย่างแรกคือเขาเสียเลือดเยอะเกินไป อย่างที่สองคือพวกเราไม่รู้ว่าการแทงครั้งนั้นไปทำร้ายอวัยวะภายในของเขาไหม และจะสามารถรักษาได้รึเปล่า
ผมสองคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วิ่งลงเขาไปอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อพวกเราออกมาจากป่าได้ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว
พวกเราไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะหันไปมองแม่ลูกแซ่เฟิ๋ง พวกเรารีบตรงกลับไปที่ตำบลทันที
แต่ที่นี่ กลับมีสัญญาณโทรศัพท์ขีดสองขีดแล้ว
ผมจึงรีบโทรหาอาจารย์ทันที ผลลัพธ์โทรศัพท์เพิ่งมีคนกดรับ ทันใดนั้นอาจารย์ก็ด่าผมทันที “ ไอ้เด็กเวร เมื่อคืนไปไหนมาฮะ ”
“ อาจารย์ ตอนนี้รีบมาที่หมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกว ท่านนักพรตตู๋บาดเจ็บสาหัส รีบมารับพวกเราที ! ” ผมรีบพูด เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็คิดได้ทันทีว่าเขาน่าจะกลับมาถึงบ้านเมื่อคืน
เมื่ออาจารย์ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจทันที “ อะไรนะ เหล่าตู๋บาดเจ็บ ”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูด ผมก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง แต่เล่าแค่สั้นๆเท่านั้น
หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน เขาก็ตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนพวกเราจะได้เจอกับกุ่ยซานหยวนอีก แถมยังเกือบตายอีกด้วย
อาจารย์ไม่พูดจาไร้สาระ เขาบอกผมและเฟิงเฉ่วหานให้วิ่งเร็วกว่าเดิม เขาจะออกไปเอารถ บอกให้พวกเราวิ่งไปตามถนนก่อน…….
หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็หยุดพักอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็แบกท่านนักพรตตู๋วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตต่อ
ในเวลานี้ท่านนักพรตตู๋เข้าขั้นอาการโคม่าแล้ว เขาหายใจเข้าสั้นๆ หายใจออกเยอะมาก สถานการณ์ดูย่ำแย่มาก
พวกเรากลัวว่ายังส่งท่านนักพรตตู๋ไม่ถึงโรงพยาบาล เขาก็จะหยุดหายใจไปก่อน
เฟิงเฉ่วหานก็ตะโกนว่า “ อาจารย์อาจารย์ อดทนเอาไว้ก่อน…… ” แบบนี้ไม่หยุด
พวกเราออกมาจากหมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกวแล้ว หลังจากวิ่งมาได้ครึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงถนนที่ใกล้ที่สุด จากนั้นพวกเราก็วิ่งไปทางตำบล
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีกว่าๆ รถขนศพคุ้นตาคันหนึ่งก็ขับเข้ามา
มันก็คือรถขนศพที่สุสาน คนขับก็คือเหล่าฉิน
แม้ความสัมพันธ์ของเหล่าฉินกับท่านนักพรตตู๋จะดูไม่ลงรอยกัน แต่ในใจของเขายังมีศิษย์น้องคนนี้อยู่
รถเพิ่งจอด ทันใดนั้นเหล่าฉินก็ตะโกนมาทางพวกเรา “ รีบขึ้นรถเร็ว ! ”
ขณะที่พูด อาจารย์ที่อยู่ในรถก็เปิดประตูออกมา
เป็นธรรมดาที่ผมและเฟิงเฉ่วหานจะไม่รอช้า พวกเราก็รีบวิ่งขึ้นรถในทันที
เหล่าฉินเห็นท่านนักพรตตู๋สลบไม่ได้สติ แถมร่างกายยังมีเลือดออก เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“ ไอ้นักพรตชั่วนั้นสมควรตาย สักวันมันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต…… ”
หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็เหยียบคันเร่ง กลับรถแล้วพาพวกเราตรงไปโรงพยาบาลทันที