ศพ – ตอนที่ 180 หนีเอาชีวิตรอด

ตอนที่ 180 หนีเอาชีวิตรอด

จู่ๆกุ่ยซานหยวนก็คุกเข่าลง มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดคารวะ และยังพูดว่า “ ท่านผู้ส่งสาร ” ออกมา นี้จึงทำให้ผมมึนงงไปพักหนึ่ง

มันก็ไม่ใช่แค่นกตัวนึงเหรอ นอกจากจะใหญ่ผิดปกติแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน

และหลังจากที่เจ้านกตัวนั้นเห็นกุ่ยซานหยวนคารวะ มันก็ร้อง “ กากา ” ออกมาสองครั้ง ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งตกลงมา หลังจากนั้นเจ้าตัวนกนั้นก็บินหายไปจากสายตาของพวกเรา

กุ่ยซานหยวนเห็นมีของตกลงมา เขาจึงรีบเข้าไปหยิบ หลังจากกวาดสายตามอง นั้นก็คือกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่ง ในนั้นน่าจะมีสารอยู่

 

แต่ในยุคสมัยนี้ ใครเขายังใช้นกส่งสารอยู่ละ

กุ่ยซานหยวนดูซีเรียสมาก เขาเปิดมันออก จากนั้นก็คลี่สารออกมาอ่าน

เขาเพิ่งอ่านไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็ดูตกใจ พร้อมกับพูดว่า “ แย่แล้ว ! ” ออกมา

ดูเหมือนมันจะเกิดเรื่องใหญ่โครตๆขึ้น แต่คำพูดของกุ่ยซานหยวนเพิ่งจางหาย เขาก็หมุนตัว หันมามองพวกเราอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันก็พูดกับพวกเราสามคนว่า “ พวกแกดวงดี ท่านประมุขเชิ่งเรียกตัวข้า คืนนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง วันข้างหน้าข้าจะมาเลาะเนื้อหนังของพวกแกใหม่ ”

หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้พวกเราได้ตอบโต้อะไร ทันใดนั้นหมอผีก็หมุนตัว วิ่งไปอีกทางฝากหนึ่งของลำธารทันที

 

การเคลื่อนไหวของเขาเร็วสุดๆ ราวกับวานรที่คล่องแคล่ว ผ่านไปไม่นานร่างของเขาก็เลือนหายไปจากสายตาของพวกเรา

จู่ๆก็เห็นหมอผีจากไป ผมและเฟิงเฉ่วหานหรือแม้แต่ท่านนักพรตตู๋ก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

เรื่องทั้งหมดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป เมื่อกี้พวกเรายังอยู่ระหว่างความเป็นความตายอยู่เลย

แต่ตอนนี้ ตอนนี้เจ้าหมอผีนั้นกลับจากไปด้วยตัวเอง นี่มันเรื่องบ้าอะไร

แม้ในใจกำลังสงสัย แต่ก็รู้สึกดี เป็นแบบนี้ก็ดี พวกเราจะได้หลุดพ้นจากวิกฤติ และหนีเอาชีวิตรอดได้

แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานยังขยับไม่ได้ พวกเรายังพยายามดิ้นรนต่อไป

 

ส่วนท่านนักพรตตู๋ก็ได้กดบาดแผลด้านหลังเอาไว้  เขาเหงื่อไหลเต็มหน้า เดินเข้ามาหาพวกเราด้วยสีหน้าซีดเซียว

ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดว่า “ ดูเหมือน ดูเหมือนพวกเรา จะรอด รอดแล้ว…… ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านนักพรตตู๋ยังฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย

ไม่พูดไม่ได้ ท่านนักพรตตู๋ช่างเป็นชายชาตรีจริงๆ

เลือดสดๆพวกนั้นต่างไหลอาบไปทั้งเสื้อและกางเกงของเขาแล้ว เจ้าท่อนเหล็กนั้นแทงเข้าไปในร่างกายของเขา ถ้าไม่รีบหยุดเลือดเอาไว้ หรือไปหาหมอไม่ทัน ท่านนักพรตตู๋ต้องตายแน่ๆ

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับกัดฟัน ในเวลานี้เขาไม่ร้องออกมาเลยสักแอะ แม้แต่สีหน้าหวาดกลัวก็ไม่เผยออกมา

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็เดินมาถึงตรงหน้าของพวกเราแล้ว

 

เขาหายใจหอบเหนื่อย ตัวสั่นไปทั้งตัว “ พวก พวกนายสองคนถูกผนึก ผนึกพลังเอาไว้ อย่า กลัว…… ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็สูดหายใจเข้า จากนั้นก็ทำมือเป็นรูปดาบ ชี้มาที่หน้าอกของพวกเราสองคน พร้อมพูดออกมาเบาๆว่า “ เปิดๆ…… ”

ทันใดนั้น ในร่างกายก็มีความร้อนปรากฎขึ้น

ดูเหมือนไอเย็นที่อยู่ในร่างกายจะถูกกำจัดออกไป ร่างกายที่เคยไร้เรี่ยวแรง อาการเวียนหัวตาลาย ในเวลานี้มันเริ่มฟื้นกลับคืนมาเล็กน้อยแล้ว

แขนขาทั้งสองข้าง ค่อยๆกลับมาขยับได้อีกครั้ง

“ อา อาจารย์…… ” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาเป็นคนแรก

 

“ ท่านลุงตู๋ ! ” หลังจากที่ผมเริ่มฟื้นตัว ก็รีบตะโกนออกมาทันที

เพราะเลือดที่แผลด้านหลังของท่านนักพรตตู๋กำลังไหลออกมาไม่หยุด และสภาพของเขายังดูแย่มากๆ พวกเราจึงเป็นกังวล

“ อาจารย์ ผมจะห้ามเลือดให้ แล้ว แล้วจะรีบพาไปหาหมอ ! ” เฟิงเฉ่วหานรีบพูด ในเวลาเดียวกันก็ลงมือทำ

แต่เพราะเขาเพิ่งฟื้นตัว ดังนั้นร่างกายจึงทำอะไรไม่ได้ตามใจนึก พอเฟิงเฉ่วหานขยับ เขาก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

“ เสี่ยว เสี่ยวเฟิง อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นอะไร ไม่ตายหรอก ! ”

“ ท่านลุงตู๋ ผมจะใส่ยาห้ามเลือดและพันแผลให้ ! ” ผมรีบพูด จากนั้นก็หยิบของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋า

 

เพราะทุกครั้งที่ไปทำภารกิจพวกเรามักบาดเจ็บเสมอ ดังนั้นผมจึงเตรียมพวกนั้นเอาไว้แล้ว

ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้ห้าม เพราะตอนนี้สภาพของเขาดูแย่มาก

หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็รวมพลังกัน ใส่ยาห้ามเลือดและพันแผลอย่างง่ายๆให้ท่านนักพรตตู๋

ขณะที่ร่างกายของพวกเราค่อยๆฟื้นตัว สติของท่านนักพรตตู๋ก็เริ่มเลือนลาง และแล้วเขาก็นอนหลับไปในที่สุด

เฟิงเฉ่วหานไม่พูดอะไร เขาแบกท่านนักพรตตู๋ขึ้นหลัง จากนั้นเขากับผม ก็ออกไปจากหุบเขาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

สำหรับเรื่องที่ผู้ใหญ่บ้านถูกกุ่ยซานหยวนฆ่า พวกเราก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้ร่างของเขาโดนสัตว์รุมกัดกิน

 

เดิมทีผมคิดว่าจะโทรหาอาจารย์ หรือเหล่าฉิน เพื่อให้มารับพวกเรา

ผลลัพธ์เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่า สถานที่แห่งนี้ไม่มีสัญญาณ

ถึงว่าทำไมเจ้ากุ่ยซานหยวนถึงได้ใช้นกส่งสาร ดูแล้วก็สมเหตุสมผลดี

เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับกุ่ยซานหยวน เขาถึงได้รีบร้อนไม่ยอมเสียเวลาฆ่าพวกเราเลยแม้แต่น้อย

ดูจากเรื่องนี้ เขาจะต้องเจอกับเรื่องที่รับมือได้ยากสุดๆเข้าแล้ว

ไม่อย่างนั้นการต่อสู้กับพวกเราสองครั้ง แถมยังฆ่าลูกศิษย์ของเขาตาย เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราให้มีชีวิตรอดแน่

แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องรีบพาท่านนักพรตตู๋ไปหาหมอ รักษาชีวิตของท่านนักพรตตู๋เอาไว้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานรีบแบกท่านนักพรตตู๋ลงเขา แต่ทางบนหุบเขาแห่งนี้ กลับเดินได้ลำบากมาก การเดินทางของพวกเราจึงค่อนข้างช้า

สถานการณ์ของท่านนักพรตตู๋เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ อย่างแรกคือเขาเสียเลือดเยอะเกินไป อย่างที่สองคือพวกเราไม่รู้ว่าการแทงครั้งนั้นไปทำร้ายอวัยวะภายในของเขาไหม และจะสามารถรักษาได้รึเปล่า

ผมสองคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วิ่งลงเขาไปอย่างไม่คิดชีวิต

เมื่อพวกเราออกมาจากป่าได้ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว

พวกเราไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะหันไปมองแม่ลูกแซ่เฟิ๋ง พวกเรารีบตรงกลับไปที่ตำบลทันที

แต่ที่นี่ กลับมีสัญญาณโทรศัพท์ขีดสองขีดแล้ว

 

ผมจึงรีบโทรหาอาจารย์ทันที ผลลัพธ์โทรศัพท์เพิ่งมีคนกดรับ ทันใดนั้นอาจารย์ก็ด่าผมทันที “ ไอ้เด็กเวร เมื่อคืนไปไหนมาฮะ ”

“ อาจารย์ ตอนนี้รีบมาที่หมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกว ท่านนักพรตตู๋บาดเจ็บสาหัส รีบมารับพวกเราที ! ” ผมรีบพูด เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็คิดได้ทันทีว่าเขาน่าจะกลับมาถึงบ้านเมื่อคืน

เมื่ออาจารย์ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจทันที “ อะไรนะ เหล่าตู๋บาดเจ็บ ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูด ผมก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง แต่เล่าแค่สั้นๆเท่านั้น

หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน เขาก็ตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนพวกเราจะได้เจอกับกุ่ยซานหยวนอีก แถมยังเกือบตายอีกด้วย

 

อาจารย์ไม่พูดจาไร้สาระ เขาบอกผมและเฟิงเฉ่วหานให้วิ่งเร็วกว่าเดิม เขาจะออกไปเอารถ บอกให้พวกเราวิ่งไปตามถนนก่อน…….

หลังจากนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็หยุดพักอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็แบกท่านนักพรตตู๋วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตต่อ

ในเวลานี้ท่านนักพรตตู๋เข้าขั้นอาการโคม่าแล้ว เขาหายใจเข้าสั้นๆ หายใจออกเยอะมาก สถานการณ์ดูย่ำแย่มาก

พวกเรากลัวว่ายังส่งท่านนักพรตตู๋ไม่ถึงโรงพยาบาล เขาก็จะหยุดหายใจไปก่อน

เฟิงเฉ่วหานก็ตะโกนว่า “ อาจารย์อาจารย์ อดทนเอาไว้ก่อน…… ” แบบนี้ไม่หยุด

พวกเราออกมาจากหมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกวแล้ว หลังจากวิ่งมาได้ครึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงถนนที่ใกล้ที่สุด จากนั้นพวกเราก็วิ่งไปทางตำบล

 

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีกว่าๆ รถขนศพคุ้นตาคันหนึ่งก็ขับเข้ามา

มันก็คือรถขนศพที่สุสาน คนขับก็คือเหล่าฉิน

แม้ความสัมพันธ์ของเหล่าฉินกับท่านนักพรตตู๋จะดูไม่ลงรอยกัน แต่ในใจของเขายังมีศิษย์น้องคนนี้อยู่

รถเพิ่งจอด ทันใดนั้นเหล่าฉินก็ตะโกนมาทางพวกเรา “ รีบขึ้นรถเร็ว ! ”

ขณะที่พูด อาจารย์ที่อยู่ในรถก็เปิดประตูออกมา

เป็นธรรมดาที่ผมและเฟิงเฉ่วหานจะไม่รอช้า พวกเราก็รีบวิ่งขึ้นรถในทันที

เหล่าฉินเห็นท่านนักพรตตู๋สลบไม่ได้สติ แถมร่างกายยังมีเลือดออก เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

“ ไอ้นักพรตชั่วนั้นสมควรตาย สักวันมันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต…… ”

หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็เหยียบคันเร่ง กลับรถแล้วพาพวกเราตรงไปโรงพยาบาลทันที

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset