ศพ – ตอนที่ 181 แข่งกับเวลา

ตอนที่ 181 แข่งกับเวลา

สถานการณ์ของท่านนักพรตตู๋ดูแย่มาก พวกเราเพิ่งขึ้นรถ อาจารย์ก็ถือกล่องยาเข้ามา เขาเริ่มตรวจสอบบาดแผล ใส่ยาห้ามเลือด แล้วพันแผลให้ท่านนักพรตตู๋เป็นครั้งที่สอง

“ สมควรตาย ทำไมถึงได้บาดเจ็บหนักขนาดนี้ ! ” อาจารย์พูดด้วยสีหน้าที่มืดมน

ผมขมวดคิ้ว “ อาจารย์ ท่านลุงตู๋ถูกท่อนเหล็กสีดำแทง บาดแผลเลยลึกมาก ไม่รู้ว่าอวัยวะภายในบาดเจ็บรึเปล่า ”

ผมรีบพูด และเล่าสิ่งที่รู้ให้อาจารย์และคนอื่นๆฟัง

เหล่าฉินที่ขับรถอยู่ก็โกรธมาก “ ไอ้กุ่ยซานหยวนชาติหมา ครั้งที่แล้วปล่อยให้มันหนีไปได้ ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะต้องทำให้วิญญาณมันแตกสลายเอง ! ”

ขณะที่พูด เหล่าฉินก็ขับรถเร็วขึ้นกว่าเดิม

 

แม้สถานการณ์ของท่านนักพรตตู๋จะย่ำแย่ แต่พลังหยางของท่านนักพรตตู๋ กลับไม่ได้ลดลง

ขอแค่พลังหยางของท่านนักพรตตู๋ไม่หายไปจนหมด พวกเราก็ยังมีหวังว่าจะรักษาได้

ตอนนี้พวกเรา กำลังแข่งกับเวลา

โรงพยาบาลที่ตำบลจะต้องรักษาไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าเป็นรอยฟกช้ำทั่วไปที่นั้นอาจรักษาให้หายได้

แต่สภาพโดนแทงอย่างท่านนักพรตตู๋ อาจได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาจะรักษาไม่ได้

ดังนั้นเหล่าฉินจึงไม่ขับกลับตำบล เขาตรงไปโรงพยาบาลในเมืองทันที

เขาขับเร็วมาก และรถที่พวกเรากำลังนั่งอยู่คือรถขนศพ

 

ในสายตาของคนภายนอก รถที่ขนคนตายอย่างพวกเราเป็นลางไม่ดี แม้ว่าจะอยู่บนทางหลวง พวกเขาก็ยังขับออกห่าง แทบไม่อยากเข้ามายุ่งกับเส้นทางของพวกเราเลย

บวกกับการขับรถที่อย่างกับฟาสต์แทร็คของเหล่าฉิน บีบแตรตลอดเวลา ความเร็วรถที่ควรไปถึง 1 ชั่วโมงกว่า เหล่าฉินกลับทำให้เหลือไม่ถึง 1 ชั่วโมง

ตอนนี้สีหน้าของท่านนักพรตตู๋ซีดสุดๆ เขาดูทรมานมาก หายใจแผ่วเบา หรือพูดได้ว่าชีวิตมาถึงช่วงที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว

เราเพิ่งมาถึงหน้าโรงพยาบาล เหล่าฉินก็รีบอุ้มท่านนักพรตตู๋พุ่งเข้าไปในโรงพยาบาล

ผมเองก็ตะโกนอยู่ข้างหน้า บอกให้หมอรีบมารักษา

 

เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลกระตือรือร้นอย่างมาก เมื่อเห็นพวกเราอุ้มคนเจ็บหนักเข้ามา พวกเขาก็รีบเข็นเตียงมารับทันที

แน่นอน ค่ารักษาของที่นี่ก็ไม่ถูก

แต่ตอนนี้ชีวิตคนสำคัญกว่า พวกเราจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น

ทางโรงพยาบาลฉีดยา เจาะเลือดของท่านนักพรตตู๋ จากนั้นก็พาท่านนักพรตตู๋เข้าไปในห้องผ่าตัดทันที

พวกเรายืนรอหน้าห้องผ่าตัดอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาของเฟิงเฉ่วหานแดงก่ำ จ้องห้องผ่าตัดอย่างไม่ละสายตา

หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงกว่าๆ หมอก็ออกมา

เมื่อเห็นหมอออกมา พวกเราก็เข้าไปล้อมทันที

 

“ หมอ อาจารย์ผมเป็นยังไงบ้าง ” เหล่าเฟิงพูดเป็นคนแรก

คุณหมอถอดหน้ากาก ถอนหายใจออกมา “ ครอบครัวสบายใจได้ครับ การรักษาประสบความสำเร็จ อาวุธไม่ได้ทำร้ายอวัยวะภายใน คนไข้จะค่อยๆหายกลับมาเป็นปกติครับ ใจของคนไข้ก็อึดมากครับ จากอาการของคนไข้ ขอแค่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักระยะ คนไข้ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเราทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในที่สุดพวกเราก็ช่วยท่านนักพรตตู๋กลับมาจากประตูผีได้ ตอนนี้เมื่อได้ยินคุณหมอพูดแบบนั้น หินที่อยู่ในใจของผม ก็ถูกวางลงทันที

 

เพราะท่านนักพรตตู๋ยังต้องตรวจเช็คอะไรอีกสองสามอย่าง ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงยังเจอเขาไม่ได้

ตอนนี้ท่านนักพรตตู๋ “ ไม่เป็นอะไรแล้ว ” อาจารย์เห็นผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็เหนื่อยมาทั้งคืน ดังนั้นเขาจึงบอกให้พวกเราออกไปหาอะไรกิน

เฟิงเฉ่วหานมองห้องผ่าตัดอีกพักหนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินออกมาจากโรงพยาบาลกับผม พวกเรานั่งกินอะไรในร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ

ตอนนี้เที่ยงแล้ว คนที่มากินข้าวจึงเยอะมาก และโต๊ะส่วนใหญ่ก็ถูกคนจับจองแล้ว

ผมและเฟิงเฉ่วหานเห็นโต๊ะในสุดมีผู้หญิงนั่งอยู่คนเดียว มันมีที่ว่างสองที่พอดี พวกเราจึงเดินเข้าไป

 

แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นดูดีมาก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ และนั่งลงตามอำเภอใจทันที

แต่ผมสองคนเพิ่งนั่งลง ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาด้วยความตกใจ “ เฮ้ย ! นาย ! ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมถึงมองเธออย่างละเอียด

ทันใดนั้นผมก็พบว่าคนที่พูดคือผู้หญิงที่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับพวกเรา และผู้หญิงคนนี้ยังไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือนักแสดงสาวสวยอู่ฮุ่ยฮุ่ย

เมื่อเห็นว่าเป็นอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมก็ตกใจนิดหน่อย

ไม่อยากจะพูดจริงๆ เหมือนชีวิตจะถูกลิขิตให้เจอกับยัยนี้

 

ผมจะไม่พูดถึงเรื่องสวนสาธารณ์แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแม้แต่งานเลี้ยงรุ่นผมก็ยังได้เจอกับเธอ

และตอนนั้นเธอยังถูกจางจึเทาจับตัวเอาไว้ ถ้าผมไม่ได้ไปเจอ อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็อาจกลายเป็นอาหารของจางจึเทาไปแล้ว

หลังจากถูกพาตัวไปสถานีตำรวจ เธอก็ยังถูกคนพาตัวออกไปก่อน จากนั้นพวกเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย

คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นาน พวกเราก็ได้กลับมาเจอกันที่ร้านอาหารแถวโรงพยาบาลในเมืองอีกครั้ง

ผมเงียบไปแป๊บนึง จากนั้นก็พูดออกมาทันที “ อู่ฮุ่ยฮุ่ย ! ”

อู่ฮุ่ยฮุ่ยไม่ใช่ดาราดังอะไร นอกจากหยางเฉ่วจะติดตามและชอบเม้ามอยเรื่องดาราตัวเล็กๆพวกนี้แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครรู้จักเธอ

คนรอบข้างก็ไม่ได้สนใจ อู่ฮุ่ยฮุ่ยถึงกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ใช่ฉันเอง เรื่องคราวก่อนขอบใจมากนะ ! ”

 

ผมรู้ดีว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย “ เรื่องเล็ก นั้นเป็นเรื่องที่ฉันควรทำ ! เออใช่ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ละ ”

อู่ฮุ่ยฮุ่ยได้ยินผมพูด เธอก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบตอบกลับทันที “ พักนี้ฉันได้เล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับน่ะ ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็จ้องตาผม

จากนั้นก็พูดออกมาทันที “ ฉันรับบทเป็นนางพยาบาล เพื่อให้เข้าถึงบท ดังนั้นฉันเลยมาที่โรงพยาบาล…… ”

สำหรับการแสดง ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ และก็ไม่ได้สนใจ

 

ผมจึงพูดตอบกลับ “ อืมอืม ” เท่านั้น ไม่ว่าจะถ่ายหนังเรื่องอะไร หรือจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับปลอมๆ ซึ่งต่างจากการตีรันฟันแทงของจริงอย่างพวกเรา ตอนเผชิญหน้าก็ไม่สามารถลังเลได้เลยสักนิด ทั้งหมดนั้นมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หลังจากอู่ฮุ่ยฮุ่ยพูดจบ เธอก็ถามผมกลับ “ แล้วทำไมพวกนายมาอยู่ที่นี่ละ อีกอย่าง ทำไมบนตัวของพวกนายถึงมีคราบเลือดอยู่ละ ”

เฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร แต่ผมกลับยิ้มอย่างขมขื่น “ เมื่อคืนเจอปัญหานิดหน่อย ผู้อาวุโสคนหนึ่งของฉันบาดเจ็บ ดังนั้นเลยพามาที่โรงพยาบาลน่ะ ! ”

อู่ฮุ่ยฮุ่ยรู้ดีว่าพวกเราทำงานอะไร ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็อดนึกถึงบางสิ่งไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

ผมไม่อธิบายอะไรมาก เพราะไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนธรรมดาฟัง

อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ไม่อยากรู้ เธอจึงไม่ถามอะไรมาก

หลังจากตกใจไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นเธอพูดกับผมว่า “ ติงฝาน เรื่องสองครั้งที่ผ่านมา ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายอย่างจริงจังเลย เรามาแลกเบอร์โทรศัพท์กันได้ไหม ต่อไปฉันจะได้นัดพวกนายมาเลี้ยงข้าว ”

ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็หยิบนามบัตรออกมา จากนั้นก็ยื่นให้อู่ฮุ่ยฮุ่ย “ นี่นามบัตรของฉัน…… ”

อู่ฮุ่ยฮุ่ยรับนามบัตรไป เธออ่านตาม “ ร้านรับจัดงานศพแห่งตำบลชิงฉือ…… ”

ตอนที่เธอพูด อาหารสองสามอย่างที่ผมและเฟิงเฉ่วหานสั่งก็มาเสิร์ฟแล้ว

ผมหิวจนแทบรอต่อไปไม่ไหว เวลานี้จึงไม่สนใจจะพูดต่อ ผมเริ่มกินอาหารทันที

 

เฟิงเฉ่วหานเหมือนกับไม้ตายซาก ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ นอกจากสั่งอาหารเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

หลังจากนั้น อู่ฮุ่ยฮุ่ยยังคุยกับพวกเราอีกนิดหน่อย สุดท้ายเธอก็รับโทรศัพท์สายหนึ่ง จากนั้นก็บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องไปทำ

ผลลัพธ์เธอยังกินข้าวไม่เสร็จ ก็บอกลาพวกเรา ก่อนเธอจะจากไปยังจ่ายค่าอาหารให้ผมและเฟิงเฉ่วหานด้วย

ตอนที่เจออู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างไม่ได้สนใจ

แต่ใครจะรู้ ว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยจะเป็นตัวก่อปัญหา

ถึงเธอจะไปถ่ายละครที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ กองถ่ายของเธอก็ยังเรียกวิญญาณออกมาได้จริงๆ

 

หลังจากกินอิ่มท้อง ผมก็ซื้ออาหารให้อาจารย์และเหล่าฉิน จากนั้นก็เดินกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ท่านนักพรตตู๋ออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว ตอนนี้อยู่ในความดูแลอย่างเข้มข้น

ได้ยินอาจารย์บอกว่า ท่านนักพรตตู๋เพิ่งตื่นขึ้นมา

แล้วบอกว่า หมอบอกพวกเขาว่า ตราบใดที่บาดแผลของเขาไม่ติดเชื้อ อาการคงที่ ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่ตามมาแล้ว

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เหล่าเฟิงก็สบายใจได้จริงๆ

เพราะพวกเราอดนอนมาทั้งคืน เหนื่อยจนแทบเดินไม่ไหว จึงอยากพักผ่อนดีๆสักหน่อย

ดังนั้นหลังจากรู้ว่าท่านนักพรตตู๋ปลอดภัยแล้วจริงๆ พวกเราก็ออกจากโรงพยาบาล……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset