ศพ – ตอนที่ 183 วันเกิด

ตอนที่ 183 วันเกิด

วันนี้วันที่ 10 เป็นวันเกิดอายุครบ 300 ปีของมู่หลงเหยียน ตามที่ตกลงกันเอาไว้ คืนนี้ผมจะต้องไปบ้านมู่หลงที่ป่ากุ่ยหลิน

เพราะวันนี้อาจารย์อยู่ที่โรงพยาบาล ผมอยู่บ้านคนเดียว ดังนั้นผมเลยไม่ต้องรายงานเขา

เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้ก็บ่ายสามครึ่งแล้ว เนื่องจากเวลายังไม่ค่ำมาก ดังนั้นผมจึงนั่งพิงที่โซฟา คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงหลายวันมานี้

เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย การเดินทางบนถนนเส้นนี้ มันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หรืออาจพูดได้ว่ามีหลุมเยอะแยะเต็มไปหมด

 

และเส้นทางนี้ ก็ไม่เหมาะกับคนทั่วไปจริงๆ เพราะมันเต็มไปด้วยอันตราย ชีวิตก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย สามารถตายได้ทุกเมื่อ

ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์ไม่ยอมให้ผมเข้ามาทำงานนี้ ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยสอนวิชา และไม่ชวนผมเข้ามาในสายงานเลยสักครั้ง

เมื่อเข้ามาแล้ว ผมถึงได้รู้ว่าภายในนี้มันน่ากลัวและอันตรายขนาดไหน ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความทุกข์ของอาจารย์แล้ว

ช่วงเดือนนี้ ผีทารก หมอผี ผู้ควบคุมแมลงพิษ ผมก็ล้วนเจอมาหมดแล้ว และในทุกๆครั้งผมก็ต้องเผชิญกับอันตราย

 

ดูเหมือนหลายวันมานี้อาการของท่านนักพรตตู๋เริ่มคงที่แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของคนอื่นๆ จึงทำให้เขาสามารถลุกออกจากเตียงได้แล้ว

ถ้าผ่านไปอีกสองสามวัน เขาก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นี่จึงทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

แต่ไม่รู้ว่าในอนาคต พวกเราจะต้องเจอกับเรื่องอันตรายอีกรึเปล่า

แต่ ก่อนหน้านั้น พวกเราจะต้องมีลมหายใจต่อไป เพราะแค้นนี้จะต้องชำระ

ช่วงสองสามวันมานี้ ทุกคนต่างถกเถียงเรื่องกุ่ยซานหยวน

 

จนในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุป ขอแค่ไอ้ชั่วนั้นยังอยู่ สักวันพวกเราก็ต้องเจอกัน

และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็อาจจะไม่มีจุดจบแบบนั้นอีก

ดังนั้นอาจารย์และเหล่าฉินจึงร่วมกันวางแผน พวกเขาคิดจะหาเบาะแสของกุ่ยซานหยวนให้เจอก่อน จากนั้นก็ค่อยคิดวิธีจัดการเจ้าหมอนี้

ไม่อย่างนั้นนี่ก็เป็นแค่…เม็ดหนึ่ง ที่จะมาพรากชีวิตจากพวกเราได้ทุกเมื่อ

ในจุดๆนี้ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

แม้ผมจะไม่สามารถพูดถึงมู่หลงเหยียนได้ แต่อย่าให้ผมได้เจอเจ้ากุ่ยซานหยวนอีก

 

ครั้งหน้าที่ได้เจอกัน ผมจะไม่ลังเล เรียกมู่หลงเหยียนออกมาช่วยทันที

ดูซิว่าเจ้าหมอนี้จะยังกล้าอวดดีอีกไหม หลังจากกำจัดเจ้าหมอผีชั่วเสร็จ พวกเราก็น่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขดังเดิม

แต่คืนนี้ที่ผมต้องไปป่ากุ่ยหลิน ก็เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้มู่หลงเหยียนฟังอย่างละเอียด……

หลังจากคิดมาครู่หนึ่ง ผมก็นอนหลับที่โซฟาสักพัก

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆแล้ว

ในเวลานี้ผมควรออกเดินทางได้แล้ว ผมจึงลุกไปล้างหน้า เปลี่ยนชุดใหม่

 

จัดทรงผมที่ตัวเองคิดว่าดูดีที่สุด จากนั้นก็ถือเค้กวันเกิดไปที่ป่ากุ่ยหลิน

ผมเดินตามถนนเส้นเล็กๆ ระหว่างทางไม่เจอปัญหาอะไร

เมื่อผมมาถึงป่ากุ่ยหลิน ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

เวลากำลังพอดี เพราะเป็นเวลาที่มนุษย์อย่างพวกเราฉลองวันเกิด ก็มักทำกันตอนเที่ยงคืน

การฉลองวันเกิดของผี ก็ตรงกับเวลาเที่ยวคืนเช่นกัน

ผมมาในเวลานี้ ยังถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้คิดมาก เดินเข้าไปในป่ากุ่ยหลินด้วยท่าทางสบายๆ

 

สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนปกติ รอบๆมืดมิน เงียบสงัด และยังมีสายลมอันเยือกเย็นพัดผ่านเอื่อยๆ

แต่ขณะที่ผมกำลังเข้าสู่ส่วนลึกของป่ากุ่ยหลิน ผมกลับพบว่าภายในป่ากุ่ยหลิน โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ภูเขา บริเวรรอบๆกลับมีตุงสีขาวและโคมไฟสีขาวแขวนอยู่จำนวนมาก

และจำนวนยังไม่ใช่น้อยๆ พวกมันล้วนแขวนอยู่ที่หน้าหลุมศพจนถึงบนต้นไม้ แถมจำนวนยังมีมากกว่าร้อยอันขึ้นไป

โคมไฟสีขาวเยอะขนาดนี้ ในเวลานี้ต่างส่ายไปมาตามสายลม มองแล้วน่าขนลุกสุดๆ

ผมมองดูเค้กที่อยู่ในมือหนึ่งครั้ง จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และปิดไฟฉายลงทันที

 

หลังจากนั้น ผมต้องเปิดตาเพื่อเดินไปข้างหน้า

ส่วนลึกของป่า ก็คือบ้านผีของมู่หลงเหยียน

เพราะบ้านผีมักอยู่ในที่มืด ลับหูลับตาผู้คน ถ้าผมส่องไฟฉายเข้าไป ก็คงถูกมู่หลงเหยียนด่าแน่นอน

หลังจากปิดไฟฉาย ผมก็หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาแล้วป้ายไปที่เปลือกตาของตัวเอง

ขณะที่ความเย็นปรากฎขึ้น ผมก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย

แต่ทันใดนั้น ดวงตาสวรรค์ก็เปิดออก

 

ระหว่างที่ตาสวรรค์เปิดออก วิวทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆก็เริ่มสว่างขึ้น

แต่ขณะที่ผมกำลังมองสำรวจรอบๆ ทันใดนั้นร่างกายของผมก็ต้องแข็งทื่อ และเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา

เพราะผมเห็นว่า ตุงและโคมไฟสีขาวที่อยู่รอบๆไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้

ในเวลานี้ พวกมันกลับกลายเป็นสีแดง

บรรยากาศดูคึกคักมาก ภายใต้ดวงตาสวรรค์ โคมไฟพวกนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ยังมีแสงสีแดงสะท้อนออกมา ทำให้รอบๆดูสดใสขึ้นมาทันที

 

จู่ๆภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป จึงทำให้ผมแปลกใจมาก ผมอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น คิดว่านี่จะต้องเป็นผีมือของพวกมู่หลงเหยียนแน่

หลังจากมองพวกมันสักพัก ผมก็คิดว่าพวกมันไม่ได้มีอันตรายอะไร ผมจึงเดินต่อไปข้างหน้า

ยิ่งเดินไปข้างหน้า รอบๆก็มีโคมไฟสีแดงเยอะกว่าเดิม แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงเพลงที่คึกคักดังมาจากส่วนหนึ่งของป่า

สถานที่ที่ส่งเสียงเพลงพวกนี้ออกมา จะต้องเป็นบ้านผีของมู่หลงเหยียนอย่างแน่นอน

ดูเหมือนคืนนี้จวนมู่หลงจะคึกคักมาก แต่ผมไม่รู้ว่าแขกที่มางานมีจำนวนเท่าไหร่

แน่นอนว่า ผมได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว

 

มู่หลงเหยียนเป็นผี แขกที่เธอเชิญมา ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นผีอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมอาจเป็นคนเพียงคนเดียว ที่ไปงานเลี้ยงของผี มันจึงทำให้ผมไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

แต่เมื่อลองคิดดู แม้จะเป็นผีทั้งหมด แต่ผมก็จะไม่เจออันตรายอะไรเลย

ไม่ว่าจะพูดยังไง ฐานะของผม ก็คือสามีของมู่หลงเหยียน และผมยังเป็นคุณผู้ชายของจวนมู่หลง

ผมพูดในใจ และหอบหัวใจที่เต้นตุ๊มๆต่อมๆเดินตรงไปข้างหน้า

ผ่านไปไม่นาน ผมก็มองเห็นโคมไฟสีแดงหน้าจวน

ไม่ผิดแน่ นั้นก็คือจวนมู่หลง

 

แม้จะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตอนที่เห็นบ้านผี ผมก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

ผมกลืนน้ำลาย สงบสติอารมณ์สักพัก จากนั้นก็เดินตรงไปที่จวนมู่หลง

จวนมู่หลงยังคงเหมือนเดิม ประตูบานมหึมา ด้านหน้าประตูมีสิงโตตัวใหญ่สองตัวตั้งอยู่ พร้อมกับถนนหินทอดยาว และข้างๆก็มีดอกไม้สีขาว สีม่วง และสีแดงประดับเรียงรายเป็นแถว

รอบๆมีเงาของใครบางคนปรากขึ้นเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ถือของชิ้นใหญ่ชิ้นน้อย เดินเข้าไปในจวนมู่หลง

คนพวกนี้ปรากฎตัวออกมาจากทิศต่างๆ เท้าของทุกคนไม่แตะพื้น บางคนก็เขย่งเท้า สวมใส่ชุดคนตาย แต่งหน้าและสวมหมวกใบเล็ก

 

เมื่อมองดู “ คน ” พวกนี้ ในใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว แต่พอมาเห็นจริงๆ

ผมก็ใจเต้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนพวกนี้ ไม่มีใครมีชีวิต ทุกคนล้วนเป็นผีกันทั้งนั้น

หัวใจของผมเต้น “ ตึกตึกตึก ” อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย

ยิ่งเข้าไปใกล้จวน เสียงเพลงก็ยิ่งดังมากขึ้น แต่มันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข กลับกันยังรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม

แต่ผมยังกัดฟัน เดินไปข้างหน้าต่อเรื่อยๆ

เมื่อผมเข้ามาใกล้จวนมู่หลง ก็พบว่ายายโม่ยืนอยู่หน้าประตู ตอนนี้เธอกำลังคำนับผีที่มาตนแล้วตนเล่า

 

ทันใดนั้น ยายโม่ก็เห็นผม

เมื่อเห็นผมถือของยืนอยู่ใกล้ๆประตู ดวงตาของเธอก็เปล่งประกาย เผยสีหน้าดีใจออกมาทันที

เธอเข้ามาต้อนรับผม และพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ คุณผู้ชาย ในที่สุดคุณก็มาถึง ข้าน้อยรอท่านมานานแล้วเจ้าค่ะ ! ”

เมื่อเห็นยายโม่เข้ามาตอนรับ ผมก็ฝืนยิ้มให้เธอ “ คืน คืนนี้ คึก คึกคักจังเลยนะครับ…… ”

“ ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนเจ้าค่ะ ! ในระยะร้อยกิโลเมตร เนินเขาสามลูกภูเขาสี่แห่ง มีสายลมผู้ทรงเกียรติที่มาร่วมอวยพรวันเกิดของคุณหนูเจ้าค่ะ  ” ยายโม่พูดอย่างมีความสุข

 

แต่เมื่อผมได้ยินกลับตัวสั่น สีหน้าตื่นตกใจ แววตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยคำว่าไม่อยากเชื่อ

คำว่า “ สายลม ” ที่ยายโม่พูด ก็คือคำว่าผี เพียงแค่เปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น

ผมคิดไม่ถึง ว่ายัยมู่หลงเหยียนจะมีเกียรติและชื่อเสียงขนาดนี้

ในระยะร้อยกิโลเมตร เนินเขาสามลูกภูเขาสี่แห่ง มีผีรู้จักเธอเยอะขนาดนี้เลยเหรอ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset