ตอนที่ 184 ร่วมงานฉลองกับกลุ่มผี
ยายโม่หมายความว่า ผีที่มาในจวนมู่หลงคืนนี้ เกรงว่าจะมีจำนวนค่อนข้างเยอะ
ดังนั้นหลังจากที่ผมตะลึงมาพักหนึ่ง ผมก็ถามเธอว่า “ ยายโม่ คืนนี้ คืนนี้มีสายลมมาเยอะขนาดไหนเหรอครับ ”
ยายโม่ยิ้มและหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” “ ไม่เยอะไม่เยอะเจ้าค่ะ เพียง 200 กว่าตนเท่านั้น ! ”
เสียงเพิ่งจางหาย ทันใดนั้นหัวใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” พร้อมพูดออกมาด้วยความตกใจ “ อะไรนะ 200 กว่าตน ”
ตายห่า ! ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ เพราะตัวเองได้มาอยู่ในสถานที่ที่มีผีกว่า 200 ตน ผีเร่ร่อนที่อยู่แถวนี้ต่างมากันหมดแล้วมั้ง
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หัวใจเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม
แต่ยายโม่กลับไม่สนใจ “ คุณผู้ชายไม่ต้องตกใจเจ้าค่ะ ในละแวกนี้คุณหนูของพวกเรา เป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมีศัตรูอยู่ภายนอก งานวันเกิดครบรอบอายุ 300 ปีของคุณหนูเรา ก็จะไม่ธรรมดาแบบนี้หรอกเจ้าค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
แม่เจ้าแค่อยู่เฉยๆก็มีผีมาร่วมงานกว่า 200 ตน ตอนจัดโต๊ะก็คงมีโต๊ะกว่า 20 ตัวได้มั้ง นี่ยังเรียกธรรมดาอีกเหรอ
ช่วงเวลานั้นผมพูดไม่ออก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามู่หลงเหยียนจะเล่นใหญ่ขนาดนี้
ตอนแรกผมยังคิดว่า แขกที่มู่หลงเหยียนพูดถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกัน มากที่สุดก็น่าจะมีผีมาสัก 10 ตน
ผลลัพธ์เป็นยังไงละ ตอนนี้ที่นี่มีผีถึง 200 กว่าตน ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนี้จะมีผีมาร่วมงานเยอะกว่าเดิมไหม
ยายโม่เห็นแววตาผมสั่นไหว ตกใจไม่หยุด
เธอจึงยิ้มให้ผมอีกครั้ง “ คุณผู้ชาย ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไม่ต้องกลัว พวกนี้ล้วนเป็นคนของเรา ไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ได้สติกลับมา
จากนั้นผมก็พูดกับยายโม่ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “ เอ่อ เอ่อ ผมไม่กลัว ไม่กลัว ! เรา เราเข้าไปกันเถอะ ”
ยายโม่พยักหน้า “ เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพาคุณผู้ชายเข้าไป ! ”
หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ผายมือ เดินนำผมเข้าไป
ก่อนหน้านี้ผมเคยมาบ้านผีหลังนี้ครั้งหนึ่ง และได้ความประทับใจกลับไปด้วย
แต่หลังจากกลับมาอีกครั้ง ผมกลับพบว่าในบ้านผีต่างปะดับประดาไปด้วยโคมไฟ อัดแน่นไปด้วยภูติผี ที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน
ในเวลานี้เมื่อเห็นยายโม่พาผมเข้าไป ผีที่จับกลุ่มคุยกันอยู่รอบๆ ก็ต่างหยุดคุย ทุกตนต่างหันมามองผม
ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย หรือเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เพราะสถานที่แห่งนี้ มีเพียงผมที่เป็นคน ที่เหลือล้วนเป็นผีทั้งหมด
ร่างกายของผมแผ่พลังหยางออกมา จึงโดดเด่นมาก เมื่อผมปรากฎตัว ก็ดึงดูดสายตาผีที่อยู่รอบๆทันที
แต่ทุกตนล้วนเป็นแขก เจ้าภาพคือมู่หลงเหยียน พวกเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงหันมามองผมด้วยความสงสัย
เมื่อผมเห็นใบหน้าซีดขาวที่ไร้ชีวิตชีวา ผมก็รู้สึกแย่ทันที หัวใจเต้นรัว
ผมรู้สึกตื่นตระหนก และเย็นหลังวาบๆ
แต่ทำได้เพียงเดินตามยายโม่ไปข้างหน้า ไม่หันกลับมามอง
พวกเราเดินผ่านสวนหย่อมเล็กๆ จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง
ที่นี่มีโต๊ะอยู่หลายสิบตัว ด้านหน้ามีเวทีเล็กๆอันหนึ่ง และด้านบนยังมีผีกำลังร้องเพลงอยู่
เสียงเพลงที่ได้ยินตั้งแต่เดินเข้ามาใกล้ที่นี่ ก็ดังออกมาจากที่นี่
และด้านล่างเวทีก็มีแขกเข้ามานั่งกัน 10 โต๊ะได้แล้ว ในเวลานี้พวกเขากำลังนั่งมองบนเวทีอย่างสนอกสนใจ และปรบมือเป็นครั้งคราว
ถ้ามองจากสีหน้าท่าทางของผม ทุกอย่างจะดูปกติดี
แต่ในใจของผมกลับรู้ดี นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก ทุกตนต่างเป็นผี
เมื่อมาถึงที่นี่ ยายโม่ก็หยุดเดิน จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ คุณผู้ชาย ข้าน้อยส่งคุณถึงที่แล้วเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวคุณหนูจะออกมา คุณดูการแสดงไปก่อนนะเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัวออกไปรับแขกข้างนอกก่อนนะเจ้าค่ะ ! ”
“ ฮะ ให้ผมอยู่ที่นี่เหรอ ” ผมพูดด้วยความตกใจ
มองดูรอบๆที่เต็มไปด้วยผี มันน่าอึดอัดมาก
ผลลัพธ์ยายโม่กลับหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” “ คุณผู้ชาย คุณเปิดใจสนุกกับงานเถอะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวคุณหนูก็จะออกมาแล้วเจ้าค่ะ ! ”
หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ไม่สนใจผมอีก เธอหมุนตัวเดินกลับไปที่หน้าประตู
เมื่อเห็นยายโม่จากไป ในใจของผมก็รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาไม่น้อย
แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ยายโม่เดินออกไปแล้ว ผมจึงทำได้เพียงนั่งรออยู่ที่นี่
ผมกวาดสายตามองรอบๆ เห็นมุมหนึ่งที่ห่างไกลไม่มีใครอยู่ ผมจึงเดินเข้าไป
ถ้าพูดคุยกับคนก็ว่าไปอย่าง แต่คุยกับผีนี่มัน ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
ผมนั่งลงได้ไม่นาน แขกที่มาก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆชายวันกลางคนที่ใส่ชุดคนตายก็เดินเข้ามาหาผม
ผมเห็นผีเดินเข้ามาตนหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องเขา
ผีตนนี้เห็นผมมองเขา เขาจึงยิ้มให้ผมเล็กน้อย และยังทำมือคารวะ ดูท่าทางเป็นมิตรมาก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มและคารวะให้ มันก็เป็นธรรมดาที่ผมจะคลี่ยิ้มออกมา และคารวะกลับ
แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เรื่องมารยาทก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินผีชายวัยกลางคนพูดกับผมว่า “ น้องชายท่านนี้ ฉันขอนั่งที่นี่ได้ไหม ”
“ ได้ครับ เชิญเลยที่นี่ไม่มีใครนั่ง ! ” ผมพูดออกมาตรงๆ
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยิน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงทันที
เขาเพิ่งนั่งลง ทันใดนั้นก็หันมาสำรวจตัวผม แต่แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมา
สายตาคู่นั้นทำให้ผมขนลุก รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
ดังนั้นผมจึงหาเรื่องคุย “ พี่ชาย พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีนามว่าอะไร ”
ผีวัยกลางคนได้ยินผมถาม เขาจึงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “ หวางเป่าเฉิง ผู้นำคนปัจจุบันแห่งสุสานจินชาน ! ”
เมื่อได้ยินคำว่าสุสานจินชาน ผมก็อึ้งในทันที
เท่าที่ผมรู้ เมืองของพวกเรามีสุสานแห่งหนึ่งที่เรียกว่าสุสานจินชาน มันก็คือสุสานของคนที่มีเงินและอำนาจมากๆ ตั้งอยู่บริเวณสันเขาอันห่างไกลของชานเมือง
ตอนนั้นคุณหนูเหวินก็ถูกฝังเอาไว้ที่นั้น แต่ผีวัยกลางคนที่ชื่อหวางเป่าเฉิง กลับบอกว่าตัวเองเป็นผู้นำของสุสานจินชาน
หรือว่าชายที่อยู่ตรงหน้า ก็คือผีผู้นำของสุสานจินชาน บอสใหญ่
ผมเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยความระมัดระวัง “ พี่หวาง ไม่ทราบว่าสุสานจินชานที่พี่พูดถึง ใช่สุสานจินชานที่อยู่บนสันเขาในเขตชานเมืองรึเปล่าครับ ”
ผีวัยกลางคนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ ใช่ ที่นั้นแหละ ! สุสานของพวกเราเพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีที่ว่างเยอะเลย น้องชายสนใจไปตายที่นั้นไหม ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมทั้งตกใจ และพูดไม่ออก
โดยเฉพาะครึ่งประโยคสุดท้าย มันเกือบทำให้ผมกระอักเลือดออกมา มีใครที่ไหนเขาถามเรื่องความตายกับอีกฝ่ายละ
แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน และยังเป็นบอสของสุสานจินชาน ผมก็ต้องระงับความไม่พอใจที่อยู่ในใจเอาไว้
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า คนมีหมู่บ้าน ผีก็มีเช่นกัน
ถ้าพูดแบบนั้น ผีชายวัยกลางคนตรงหน้า ก็มีตำแหน่งใหญ่ไม่เบา เป็นถึงผู้นำของสุสานจินชาน
หรือพูดอีกอย่างคือ ผีทั้งสุสานจินชาน ต้องฟังคำพูดของเขา เขาก็คือผู้นำหมู่บ้านของสุสานจินชาน
หลังจากระงับอารมณ์ได้ ผมก็พูดกับหวางเป่าเฉิงว่า “ น้องชายอายุยังน้อย ยัง ยังไม่อยากคิดเรื่องสุสานครับ ! ”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! ไม่ต้องกังวลไม่ต้องกังวล ในเมื่อพวกเรามีวาสนาต่อกัน พี่ชายจะเก็บที่ที่มีฮวงจุ้ยดีๆเอาไว้ให้นาย หลังจากนายอายุสักร้อยปี ก็ค่อยมาหาพี่ที่สุสานจินชาน…… ”
ผีชายวัยกลางคนกล้ามาก พูดจาไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มให้อย่างขมขื่น และคารวะให้เขา แสดงความขอบคุณ
แต่ตอนนี้ผีชายวัยกลางคนกลับหันไปมองรอบๆ จากนั้นก็ลดเสียงลง พูดกับผมว่า “ น้องชาย นายดูซิรอบๆพวกเรามีแต่วิญญาณ แต่นายเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิต นาย นายเป็นอะไรกับแม่นางมู่หลงเหรอ ”