ศพ – ตอนที่ 186 เรื่องการแต่งงาน

ตอนที่ 186 เรื่องการแต่งงาน

งานเลี้ยงของมู่หลงเหยียน มีแขกจากทุกสารทิศ ทุกตนต่างเป็นสายลมที่ทรงเกียรติ !

และผีพวกนี้และมู่หลงเหยียนยังเหมือนกัน ทุกตนต่างถูกองค์กรตาผีทำร้าย หรือแม้แต่แค้นจนฝังลึก

แต่นอกจากพวกเขาแล้ว ผมกลับเป็นคนนอกคนหนึ่ง

ภายในบ้านผี ผมเป็นคนเพียงคนเดียว และตอนนี้ยังไม่รู้ว่าองค์กรตาผีมีหน้าตาเป็นยังไง หรือพูดได้ว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น

เมื่อจู่ๆผีทุกตนเห็นมู่หลงเหยียนเรียกผมขึ้นไป “ พรึบ ” ทุกคนก็หันมามองผมทันที

“ ติงฝาน ชายคนนี้เป็นใคร ”

“ เฮ้ย เขาเป็นคนงั้นเหรอ ”

 

“ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ในเมื่อเป็นคนที่แม่นางมู่หลงเชิญมา เขาจะต้องไม่ใช่ศัตรูของพวกเราอย่างแน่นอน ! ”

“ …… ”

ตอนนั้นผมค่อนข้างตกใจ เธอเรียกผมทำไม และยังบอกให้ขึ้นไปบนเวทีขณะที่มีผีมากมายอยู่ตรงหน้าอีก

มู่หลงเหยียนเห็นผมไม่ขยับตัว เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ผม จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ติงฝาน รีบขึ้นมาเร็ว ! ”

จนกระทั่งตอนนี้ ผมเพิ่งได้สติกลับคืนมา

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนมองด้วยสายตาที่ดุร้าย ไหนเลยผมจะกล้าชักช้าอยู่ได้

ผมวางเค้กเอาไว้บนโต๊ะ พูดกับโจวหยุนและหวางเป่าเฉิงว่า “ ทั้งสองคน ผมไปหาเธอก่อนนะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ลุกจากไป ขณะนั้นทุกสายตา ต่างจับจ้องผมที่เดินตรงไปบนเวที

ตอนนี้เมื่อหันกลับไปมอง ก็พบว่าโต๊ะในงานมีผีนั่งเต็มหมดแล้ว

มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก แต่สีหน้าของผีทุกตนกลับขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด

พวกเขาต่างกระซิบกระซาบกันไปมา ขณะเดียวกันก็หันมามองผมด้วยความสงสัย

ผมเคยเห็นภาพแบบนี้ที่ไหนละ และด้านล่างยังเต็มไปด้วยผี

ต้องรู้ว่าถึงผมจะเคยขึ้นเวทีตอนเรียน แต่ผมยังไม่เคยพูดบนเวที

โดยเฉพาะตอนนี้ที่ถูกสายตาของผีจำนวนมากจ้องอยู่ ในใจของผมก็รู้สึกหวิวๆ และอึดอัดมาก

 

แต่มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆ กลับส่งสายตามาให้ผม บอกให้ผมสงบลง

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนทำแบบนั้น ผมก็เข้าใจทันที ห้ามโวยวาย และห้ามทำให้เธอเสียหน้า

ผมบังคับให้ตัวเองดูสง่างาม มองไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ผมกดความกลัวเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวทักทายมู่หลงเหยียนก่อน “ น้อยศพ สุขสันต์วันเกิดนะ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมยังหันไปคารวะผีทุกตนที่อยู่ด้านล่างอย่างมีมารยาท “ ข้าน้อยติงฝาน การได้มาเจอทุกท่านถือเป็นเกียรติอย่างสูง ! ”

ผมดูนอบน้อมมาก พูดกับผีทุกตนด้วยความเคารพสุดๆ

 

ดูเหมือนท่าทางของผมจะใช้กับพวกเขาได้ผลมาก แม้จะไม่มีใครรู้จักผม แต่ท่าทีเคารพนับถือของผม กลับทำให้แขกผีๆที่อยู่ด้านล่างประทับใจในตัวผมไม่น้อย

ถ้าดูจากภายนอก ท่าทีของผมดูสงบมาก และสบายๆราวกับอยู่บ้านตัวเอง

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีใครรู้ว่า ในใจของผมกำลังกระวนกระวายอย่างมาก ในมือมีเหงื่อออกเต็มไปหมด

เพราะการร่วม “ ฉลอง ” กับผีจำนวนมากขนาดนี้ และยังต้องพูดคุยกับพวกเขา ถ้าพูดว่าไม่กลัว นั้นก็คงเป็นเรื่องโกหก

แต่ถ้าพูดแบบนั้นออกไป ก็กลัวว่าจะไม่มีใครยอมเชื่อ

หลังจากมู่หลงเหยียนเห็นผมทักทาย เธอก็หันมามองผม ในเวลาเดียวกันก็พูดเบามากๆว่า “ เจ้าห่วย ทำได้ไม่เลวนิ ”

 

“ ฉัน…… ” ผมพูดแทบไม่ออก

แต่มู่หลงเหยียนกลับไม่สนใจผม เธอเข้ามายืนใกล้ผม จากนั้นก็พูดกับผีทุกตนว่า “ เรื่องที่สอง ก็คือเรื่องการแต่งงานของข้าน้อย ”

“ แต่งงาน ”

“ แม่นางมู่หลง แต่งงานอะไรกัน ”

“ หรือ หรือจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้ ”

“ …… ”

แขกที่อยู่ด้านล่างระเบิดเสียงออกมาทันที โดยเฉพาะผีชายหนุ่มสองสามตน สีหน้าของพวกเขาแสดงความหวาดกลัวออกมาทันที……

 

มู่หลงเหยียนไม่ได้สนใจแขกด้านล่าง เธอยังพูดต่อไป “ ใช่ค่ะ ! เรื่องการแต่งงาน ฉันกับติงฝาน แต่งงานกันได้ครึ่งปีแล้ว พวกเราสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่มีวันแยกจากกันค่ะ ”

ขณะที่มู่หลงเหยียนพูด แขกด้านล่างเวทีก็โวยวายขึ้นมาทันที

“ อะไรนะ แต่งงานแล้ว ”

“ ไม่มีทาง ! ติงฝานนี่น่าจะเป็นคน จะมาแต่งงานกับผีได้ยังไง ”

“ สวรรค์ ! แม่นางมู่หลงแต่งงานแล้ว…… ”

“ แม่นางมู่หลงแต่งงานกับผู้ชายคนนี้แล้ว ”

 

“ เป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กนี้มีดีอะไร ข้าชอบแม่นางมู่หลงเหยียนมาตั้งนาน หรือว่าข้าจะสู้เขาไม่ได้งั้นเหรอ ”

“ …… ”

วินาทีนั้น แม้แต่คำว่าชอบมู่หลงเหยียน ก็ยังทำให้ผมโกรธได้

ผมที่ยืนอยู่บนเวที อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

แต่ผมไม่ได้สนใจเขาอีก ในเวลานี้ผมกลับหันไปมองหน้ามู่หลงเหยียนแทน

ในใจค่อนข้างแปลกใจ แต่ผมเข้าใจดี ว่านี่คือการแสดง

ระหว่างผมและมู่หลงเหยียน ไม่มีความรู้สึกใดๆต่อกัน จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ล้วนมีเพียง “ ผลประโยชน์ ” ร่วมกันเท่านั้น !

 

แต่ ตอนที่เธอพูดคำว่า “ ไม่มีวันแยกจากกัน ” หกคำนี้ ตัวผมกลับสั่นไปแป๊บหนึ่ง พร้อมกับหัวใจที่พองโต

ผมไม่รู้ว่านี่เป็นความในใจของมู่หลงเหยียนรึเปล่า แต่คำพูดประโยคนั้น อยู่กันจนแก่เฒ่า ไม่มีวันแยกจากกัน

กลับทำให้ผมประทับใจมาก แม้แต่ความรู้สึกหวั่นไหวก็ยังมี

ช่วงเวลานั้น ผมเชื่อจริงๆว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ความคิดนี้กลับหายไปอย่างรวดเร็ว

คิดซิตัวเรา ! พวกเราไม่มีความรู้สึกต่อกัน ทำไมมู่หลงเหยียนถึงต้องประกาศเรื่องนี้ให้ผีทุกตนรับรู้ในที่สาธารณะด้วย

 

และยังพูดจาแบบนั้น ทั้งหมดนี้จะต้องมีสาเหตุแน่

แต่สาเหตุที่ว่านี้จะต้องไม่เหมือนกับที่เธอพูดแน่ มู่หลงเหยียนน่าจะพูดเพราะเหตุผลบางอย่าง เธอเลยดึงผมมาเป็นเกาะกำบัง หรือวางแผนบางอย่างเอาไว้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็ไม่ได้เปิดเผย

กลับกันผมยังมองไปทางมู่หลงเหยียนอย่างร่วมมือ และแววตาที่มองยังเปี่ยมไปด้วยความรัก

ผมเองก็ไม่รู้ว่าแสดงแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่หลังจากที่มู่หลงเหยียนเห็นแววตาของผม เธอกลับอึ้งไปในทันที

 

หลังจากนั้นผมก็เห็นเธอหันไปอย่างรวดเร็ว หลบสายตาของผม มองแขกที่อยู่ด้านล่างแล้วพูดต่อ “ แม้ว่าฉันกับติงฝานจะมีชีวิตผูกติดกัน และคนกับผีก็ต่างกัน แต่เมื่อก่อนหนิงช่ายเฉินและเนี่ยเสี่ยวเซี่ยนก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วทำไมฉันกับติงฝานจะทำไม่ได้ ! ดังนั้นเรื่องที่สอง คือฉันจะขอประกาศให้ทุกคนรู้จักสามีของฉัน คนปราบสิ่งชั่วร้ายติงฝาน ”

“ หวังว่าเมื่อทุกท่านเจอเขาอีกครั้ง จะให้ความช่วยเหลือ ไม่ทำร้ายและโกรธเคืองเขาด้วยนะค่ะ ! ”

เมื่อมู่หลงเหยียนพูดถึงตรงนี้ การสนทนาของแขกด้านล่างก็ดังยิ่งกว่าเดิม

คนเป็น แต่งงานกับคนตาย ไม่ว่าจะเป็นบนโลกของพวกเรา หรือในโลกของผี มันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น หรือสามารถพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องต้องห้าม

 

เส้นทางของคนกับผีต่างกัน เมื่อคนและผีมาอยู่ด้วยกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆจะไม่ยอมรับ

บวกกับเสน่ห์ที่มีที่ไม่สิ้นสุดของมู่หลงเหยียน ทำให้มีผีชื่นชอบเธอมากมาย

ตอนนี้มู่หลงเหยียนประกาศความสัมพันธ์ของเราสองคนอย่างยิ่งใหญ่ และยังเป็นการแต่งงานต้องห้าม แล้วนี้จะไม่ทำให้แขกเหรื่อแตกตื่นกันได้อย่างไร

แต่มู่หลงเหยียนก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก หลังจากพูดจบ เธอก็ยืนคู่กับผมบนเวทีอย่างเงียบๆ

ในเวลาเดียวกันผมก็เห็นมู่หลงเหยียนหันมามองผม “ เจ้าห่วย ร่วมมือได้ดีมาก ! ขอบใจนายมากนะ ! หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ฉันจะขอบใจนายดีๆเลย ”

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนพูดกับผมเบาๆ ผมก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ดูเหมือนจุดประสงค์การประกาศความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองคนของมู่หลงเหยียน จะเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ เธอต้องไปเจออะไรมาแน่ ถึงได้เกิดเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้น

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงจากแขกด้านล่างก็ดังขึ้น “ มีคนรักคอยดูแล แม้แต่ชีวิตและความตาย ก็ไม่สามารถต้านทานได้ เรื่องนี้ข้า ขอให้แม่นางมู่หลงและคุณชายติงอยู่ร่วมกันนับร้อยปี ! ”

เมื่อหันไปมองคนพูด ก็พบว่าเขาเป็นผีแก่ที่ค่อนข้างอายุมากแล้ว

เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าสุด น่าจะมีฐานะสูงส่ง

และเสียงของผีแก่ตนนั้นเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นผีที่อยู่ข้างๆก็เริ่มดื่มอวยพร

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็ยิ้มให้ คารวะขอบคุณแขกด้านล่าง

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หลงเหยียนก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ทุกท่าน ในเมื่อทุกคนต่างมาพร้อมหน้ากันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มฉลองกันเถอะ ! ทุกท่านเชิญรับประทานอาหาร และดื่มกันเถอะค่ะ ”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เสียงกลองก็ดังขึ้น บรรยากาศก็เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง

มู่หลงเหยียนหันมามองผม จากนั้นก็เข้ามาจับมือผม “ เสร็จแล้ว การแสดงจบแล้ว พวกเราก็ควรเลิกเล่นได้แล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็จูงมือผมลงจากเวที

แม้มือของเธอจะเย็นมาก แต่สิ่งที่แปลกคือ ขณะที่มู่หลงเหยียนจูงมือผม หัวใจของผมกลับเต้นแรง……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset