ศพ – ตอนที่ 196 สู้กับผีผู้หญิงตัวต่อตัว

ตอนที่ 196 สู้กับผีผู้หญิงตัวต่อตัว

 

เมื่อได้ยินคําพูดของผีผู้หญิง ผมก็ยิ้มออกมาทันที

 

และผมก็ไม่ได้ประเมินตัวเองสูงเกินไป เมียของผมเป็นใครกันละ เธอคือมู่หลงเหยียนเชียวนะ ไม่เพียงแข็งแกร่ง เธอยังมีรูปร่างหน้าตาอย่างกับนางแบบ

 

ภายในโลกของภูติผี ถึงเธอจะไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ต้องติดหนึ่งในสิบ !

 

แค่เธอคนเดียว คิดจะให้ฉันฆ่าตัวตายกลายเป็นเพื่อนงั้นเหรอ

 

ช่วงเวลานั้นผมยิ้มอย่างเย็นชา “ ผมว่าพี่สาว คงอยากได้ผู้ชายจนตัวสัน คุณอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป สภาพแบบนี้ ใครเขาอยากจะไปเป็นพวกเดียวกับเธอละ เฮอะยังกล้าพูดว่าน้องสาว คิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดินีบูเช็กเทียนรีไงฮะ ”

 

ผมไม่ลังเลประชดเธอตรงๆ ผมไม่กลัวยัยผีนี้เลยสักนิด

 

แต่หลังจากที่ยัยผีได้ยิน เธอก็โมโหขึ้นมาทันที “ แกพูดอะไรนะ ถ้าไม่อยากตายแบบน่าสังเวชก็ทําตามที่ฉันสั่ง รีบฆ่าตัวตายซะ มาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะกินแกซะ !”

 

“ กินฉัน ฉันกลัวว่าเธอจะกินไม่ลง !” ผมพูดอย่างเยือกเย็น ในเวลาเดียวกันก็เตรียมพร้อมรับการต่อสู้

 

ผีผู้หญิงเห็นผมแสดงท่าที่แบบนั้น จึงพูด ฮึ ออกมาหนึ่งครั้ง “ หัวแข็งไม่เบานิ น่าสนใจดี… ”

 

หลังจากพูดจบ ร่างกายของผีผู้หญิงคนนั้นก็มีเสียงดัง “ตูม” เธอระเบิดตัวเอง กลายเป็นหมอกสีขาวและจางหายไปจากสายตาของผม

 

ทันใดนั้น รอบๆก็มีลมกระโชกแรงพัดเข้ามา สายลมนั้นหนาวเย็นมาก

 

ผมรู้ดีว่าผีผู้หญิงคนนั้นกําลังจะโจมตีผมแล้ว

 

ผมทําให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัว เพ่งสมาธิมองไปรอบๆ

 

แม้จะไม่ได้เปิดตา แต่ผมใช้คลื่นพลังหยินของผีผู้หญิงในการตัดสินใจ ผีผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผีที่ร้ายกาจมาก

 

ดังนั้น ผมจึงมีวิธีรับมือ และมั่นใจว่าจะปราบผีผู้หญิงคนนี้ได้

 

ถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ งั้นผมก็จะใช้ไฝดํา เรียกมู่หลงเหยียนออกมา

 

แต่ถ้ายัยมู่หลงเหยียนรู้ว่ามีผีผู้หญิงจะมาแย่งผู้ชายของเธอ ด้วยนิสัยขี้โมโหของมู่หลงเหยียน ผีผู้หญิงคนนี้อาจต้องวิญญาณแตกสลายถึง 90 %

 

ผมยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหม มองรอบตัวอย่างระมัดระวัง เพราะอาจถูกลอบโจมตีได้

 

รอบๆมืดมิด ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง และไม่แน่ใจว่าหยางเน่วเป็นหรือตาย

 

แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทําคือ จะต้องปราบยัยนี้ให้ได้ก่อน

 

เพราะมีแค่วิธีนี้วิธีเดียว ผมถึงจะออกไปดูสถานการณ์ที่บ้านผีสิงนั้นได้

 

ตอนนี้ ผมใช้การเคลื่นตัวของพลังหยิน ตัดสินสถานการณ์รอบๆ

 

ขณะเดียวกัน ผมก็กัดนิ้วหัวแม่มือของตัวเอง วาดยันต์ฝ่ามือ ที่ฝ่ามือด้านซ้ายของตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

ประสบการณ์หลายวันมานี้ และการฝึกในระยะสั้นๆ พวกมันไม่ได้เสียเปล่าไปซะทีเดียว

 

ถึงจะไม่มียันต์ แต่ผมสามารถใช้เลือดวาดยันต์ได้

 

อย่ามองว่าตอนนี้ผีผู้หญิงกําลังหายตัว แต่อย่าได้โดนฝ่ามือผม ละ เพราะถ้าโดนฝ่ามือของผมเข้าไป มันจะต้องทําให้เธอทรมานแน่นอน

 

หลังจากวาดยันต์เสร็จ ผมก็รออีกประมาณ 10 กว่าวินาที

 

ทันใดนั้นผมก็สัมผัสถึงความเย็นที่ด้านซ้าย พลังชั่วร้ายที่หนาวเย็นพัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ผมทําหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว

 

แต่วินาทีที่ผมหันไป จู่ๆพลังชั่วร้ายนั้นก็หายไป มันพัดเข้ามาจากอีกทางด้านหนึ่ง

 

ไม่รอให้ผมได้ตอบสนองอะไร ทันใดนั้นเสียงกรีดร้อง “ อร้าย” ก็ดังขึ้น จู่ๆผีผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นด้านขวามือ

 

หน้าของผีผู้หญิงบิดเบี้ยว ท่าทางดุร้าย ตอนนี้เธอกําลังยกกรงเล็บตรงเข้ามาหาผม

 

การเคลื่อนไหวของเธอไม่จัดว่าเร็วมาก แต่เพราะเป็นการโจมตีอย่างกระทันหัน

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามา ผมก็รีบหลบทันที แต่ผมช้าไปครึ่งก้าว “ฉึก ”

 

กรงเล็บของผีผู้หญิง ฉีกเสื้อผ้าผมทันที หน้าอกด้านซ้ายของผมปรากฎรอยข่วนของกรงเล็บ

 

แผลไม่ลึก เป็นเพียงรอยข่วนบางๆเท่านั้น

 

ผมขมวดคิ้ว รีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนั้นผีผู้หญิงกลับยิ้มให้ผมอย่างเย็นชา “ ปัง ” ร่างกายของเธอระเบิดกลายเป็นหมอกขาวอีกครั้ง จากนั้นก็หายไปจากสายตาของผม

 

ผมมองแผลที่หน้าอกของตัวเอง แอบด่าในใจว่าสมควรตาย หลังจากนั้นก็กลับมามองรอบๆอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากที่ผีผู้หญิงโจมตี เธอก็กลายเป็นสายลมหมุนวนรอบๆตัวผมอีกครั้ง

 

แม้ผมจะรู้ว่าเธอยู่รอบๆ แต่ผมไม่ได้เปิดตา จึงไม่สามารถมองเห็นได้ มันทําให้ผมอามรมณ์เสียนิดหน่อย

 

ถ้าผมมีอาวุธครบมือละก็ ผมคงอัดยัยผีนี้ให้แม่ของเธอจําหน้าไม่ได้ไปแล้ว และก็คงไม่ทําให้อีกฝ่ายได้เล่นสนุกแบบนี้

 

ทันใดนั้น ผีผู้หญิงก็เข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง

 

ร่างของเธอปรากฏตัว ออกมาตรงๆ เธอใช้กรงเล็บของตัวเองอีกครั้ง

 

แต่ครั้งนี้ผมกลับหลบได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถโต้กลับได้ แต่ยันต์ฝ่ามือของผมไม่โดนเธอ เธอหลบมันได้

 

ผีผู้หญิงตนนั้นถึงกับตกใจ หลังจากหลบเสร็จ เธอก็ทิ้งระยะห่างจากผมอย่างรวดเร็ว และหายตัวไปอีกครั้ง

 

หลังจากผีผู้หญิงหายตัวไป เธอก็ระวังมากขึ้น

 

เธอหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ ถึงกับลดระดับพลังหยินลงไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเธอคิดจะเอาจริงแล้ว เธอคิดจะลงมือฆ่าผมจริงๆ

 

แต่คิดจะฆ่าผม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

 

ผมยืนอยู่ที่เดิม สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่อยู่รอบๆกําลังลดลง พลังในร่างกายของตัวเองกําลังทํางานจนถึงขีดสุด

 

เพราะไม่ได้เปิดตา ถึงผมจะพยายามมองแต่ผมก็มองสถานการณ์รอบๆตัวได้ไม่ชัดเจน

 

ตอนนี้ผีผู้หญิงเริ่มซ่อนตัว ส่วนผมก็หลับตาลงอย่างสบายๆ

 

อยากเล่นใช่ไหม งั้นก็มาเล่นให้ใหญ่ไปเลย ถ้าไม่ถูกผีผู้หญิงโจมตีอย่างหนัก ผมก็อาจประทับฝ่ามือใส่เธอจนตาย

 

แต่ถ้าพูดอีกแบบ หลังจากหลับตา ในใจของผมกลับสงบมาก การรับรู้ถึงพลังหยินที่เคลื่อนตัวอยู่รอบๆก็ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

 

ในป่าเงียบสงัด สายลมเย็นพัดผ่าน

 

หลังจากเงียบได้ 30 วินาที ผมก็รู้สึกถึงไอเย็นที่ด้านหลัง

 

ไปเย็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้ามาที่ด้านหลังของผมตรงๆ

 

ผมรู้สึกถึงอันตราย ผมจึงไม่ได้ลังเลรีบพลิกฝ่ามือ และตะโกนเสียงดัง

 

 “ ไสหัวออกมา ! ”

 

ผมเคลื่อนมืออย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง “ ปัง ” ทันใดนั้นฝ่ามือซ้ายของผม ก็จับโดนของเย็นๆชิ้นหนึ่ง

 

“ อร้าย ” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที ทันใดนั้นตรงหน้าของผมก็มีภาพเบลอๆกระพริบไปมาสองครั้ง จากนั้นร่างของใครบางคนก็ปรากฏขึ้น

 

นั่นไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือผีผู้หญิงที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ

 

และใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเธอ ในเวลานี้มันกลับโดนยันต์ฝ่ามือของผมเต็มๆ

 

ยันต์ส่องแสงออกมาเล็กน้อย มันเหมือนหัวแร้งที่กําลังเจาะหน้า ไฟคลอกของผีผู้หญิง

 

เพราะผีผู้หญิงโดนฤทธิ์ของยันต์ฝ่ามือ จึงทําให้เธอกรีดร้องโหย หวนออกมาทันที “ อร้าย !…”

 

นอกจากนี้ ผีผู้หญิงยังเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เธอถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง

 

เธออาจคิดไม่ถึงว่าผลกรรมจะตามมาเร็วขนาดนี้

 

ขนาดเธอลงมืออย่างลับๆ เธอก็ยังถูกผมจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว โดนยันต์ฝ่ามือของผมเข้าไป

 

ตอนแรกเธอคิดจะเล่นเกมแมวจับหนู แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นหนูกินแมว

 

เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็จับผีผู้หญิงได้ ผมก็เผยสีหน้าดีใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมตื่นเต้นมาก

 

รีบตะโกนออกมาทันที “ ผีอย่างเธอคิดจะฆ่าฉันงั้นเหรอ น่าขํา”

 

ขณะพูด มือขวาของผมก็ประสานมือเป็นรูปดาบทันใดนั้น ผมก็พูดเสียงดัง “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย ! ”

 

หลังจากคําพูดหลุดออกมา ยันต์ฝ่ามือที่ประทับอยู่บนหน้าของผีผู้หญิง ก็เปล่งแสงสีขาว

 

“ ตูม” ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ผีผู้หญิงตนนั้นถูกแรงระเบิดกระแทกล้มลงไปกับพื้น

 

แต่ผมเพิ่งเรียนยันต์ฝ่ามือไม่นาน แม้จะใช้เลือดสดๆวาดเป็น “ ยันต์เลือด”

 

แต่พลังกลับไม่มากเท่ายันต์แปดทิศและยันต์ดาวไถที่ทําจากกระดาษ

 

ดังนั้น ยันต์ฝ่ามือนี้จึงไม่ทําอันตรายถึงชีวิตของผีผู้หญิง

 

ผีผู้หญิงตัวสั่น กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เธอยังมีแรงสู้อยู่

 

ตอนนี้ เธอได้เผยสีหน้าหวาดกลัวจนถึงขีดสุดออกมา

 

แต่ผมกลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เตรียมจะโจมตีเธออีกครั้ง

 

เมื่อเธอบาดเจ็บ ผมก็จะเอาชีวิตเธอ ไม่อย่างนั้นคนที่ตายอาจเป็นตัวผมเอง

 

ผีผู้หญิงตนนั้นเห็นผมพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เธอจึงตกใจตัวสั่น และ เริ่มหายตัวอย่างไปรวดเร็ว

 

เห็นได้ชัดว่า ยัยนี้คิดจะใช้ประโยชน์จากที่ผมไม่ได้เปิดตาอีกครั้ง เธอคิดจะซ่อนตัวในเงามืด

 

แต่ผมจะให้เธอประสบความสําเร็จได้ยังไง ก่อนที่เธอจะหายตัวไป ผมรีบกัดลิ้นตัวเอง

 

ผมเล็งที่ร่างของผีผู้หญิง “ ฟู” จากนั้นก็พ่นเลือดจากลิ้น เลือดที่เต็มไปด้วยพลังหยางออกมาทันที

 

เมื่อเลือดจากลิ้นพุ่งออกไป มันก็สัมผัสกับร่างของผีผู้หญิงเต็มๆ

 

เลือดจากลิ้นเหมือนกรดซัลฟิวริก มันกัดตัวเธอดัง “ ซาซ่าซ่า ” และยังมีควันสีดําออกมา

 

ผีผู้หญิงเจ็บปวดมาก “ อร้าย…” เธอกรีดร้องออกมาทันที ขณะเดียวกันเธอก็ดิ้นไปมากับพื้น

 

ผมจ้องผีผู้หญิงที่กําลังเจ็บปวด และพูดออกมาอย่างเย็นชา “ กล้ามายุ่งกับฉัน นี่ก็คือผลลัพธ์ของเธอ ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็เล็งที่ประตูชีวิตของผีผู้หญิง ขยับมือซ้ายอย่างรวดเร็ว ตรงไปฆ่าชีวิตของอีกฝ่ายทันที

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset