ศพ – ตอนที่ 197 กลับมาที่คฤหาสน์หลังเดิม

ตอนที่ 197 กลับมาที่คฤหาสน์หลังเดิม

ผีผู้หญิงพาผมมาที่นี่อย่างไม่รู้เรื่องอะไร เพราะอยากให้ผมฆ่าตัวตาย

 

บอกว่าหลังจากผมตายไป เธอจะให้เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ให้เธอได้เล่นสนุกไปวันๆ

 

ยัยนี้ไม่ได้พูดเล่นหรอกเหรอ แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

 

ดูเหมือนประสบการณ์และการฝึกฝนในระยะนี้ของผมจะไม่ได้สูญเปล่า หลังจากผ่านการต่อสู้หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดผมก็ปราบผีผู้หญิงลงได้

 

ตอนนี้ผมเอื้อมมือออกไปโจมตี เตรียมทําให้ผีผู้หญิงตายคามือ จากนั้นจะรีบกลับไปที่คฤหาสน์ ดูว่าสถานการณ์ของหยางเฉ่วเป็นยังไงบ้าง

 

“ ไปตายซะ ! ”

 

ผมทําหน้าเข้ม ขณะที่เสียงตะโกนของผมดังขึ้น ฝ่ามือนั้นก็เอื้อมเข้าไปแปะอย่างรวดเร็ว

 

ถ้ายันต์ฝ่ามือแปะโดนที่ประตูชีวิตผี ยัยผีผู้หญิงตนนี้จะต้องตายแน่นอน

 

ผีผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจพอสมควร สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที ม่านตาขยายออกอย่างต่อเนื่อง

 

ผมคิดว่า การโจมตีครั้งนี้ จะทําให้ผู้หญิงหลบไม่พ้น เธอจะต้องตายแน่ ผมจึงไม่ลังเลเลยสักนิด

 

แต่ผมไม่รู้อะไร ขณะที่ฝ่ามือของผมเข้าไปแปะที่ประตูชีวิตของเธอ ทันใดนั้นเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

 

ผมมองฝ่ามือที่กําลังลงไปแปะ เมื่อฝ่ามือนี้เข้าไปใกล้ประตูชีวิตของผีผู้หญิง

 

ทันใดนั้นผีผู้หญิงก็ประสานมือและพูดว่า “ เปิด ” ออกมา

 

เสี้ยววินาทีนั้น “ ตูม” ร่างกายของผีผู้หญิงกระเบิดเป็นจุน กลายเป็นหมอกสีขาว และเลือนหายไปจากสายตาผมทันที

 

เพราะร่างกายของผีผู้หญิงกลายเป็นหมอกสีขาว ดังนั้นเมื่อฝ่ามือของผมแปะเข้าไป มันก็เหลือแต่อากาศที่ว่างเปล่าแล้ว

 

ผมขมวดคิ้ว พูดในใจว่าสมควรตาย

 

คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ผีผู้หญิงโดนเลือดลิ้นของผมเข้าไปแล้ว เธอยังสามารถใช้วิธีนี้หลบหนีได้

 

แม้ผมจะอารมณ์เสีย แต่ผมลังเลไม่นาน ทันใดนั้นผมก็หันไปมองรอบๆอย่างหวาดระแวง

 

แต่ตอนนี้ ผมกลับพบว่าพลังหยินที่อยู่รอบๆเริ่มหายไปแล้ว

 

ถ้าพูดอีกอย่างคือ ผีผู้หญิงไม่อยู่แล้ว เธอหนีไปแล้ว

 

หลังจากกวาดสายตามองอย่างละเอียดแล้ว ผมก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็น

 

ผีผู้หญิงคนนั้นคงรู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม เมื่อกี้เธอจึงใช้วิชาผีบางอย่างหลบหนีการโจมตีของผม

 

เมื่อเห็นผีผู้หญิงไม่อยู่แล้ว ผมก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ

 

ผมมาอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหยางเฉ่วที่ดูละครทีวีอยู่ข้างๆผม จะต้องเจอกับเรื่องไม่ดีอยู่แน่ๆ นานขนาดนี้แล้วเธอยังไม่มาช่วยผมเลย ไม่แน่ตอนนี้เธออาจกําลังเจอปัญหาอยู่

 

ดังนั้น ผมจึงไม่มีเวลามาสนใจผีผู้หญิงที่หนีไป ผมต้องกลับไปดูหยางเฉ่วที่คฤหาสน์ก่อน

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็ใช้ดาวเหนือในการวิเคราะทิศทาง จากนั้นก็วิ่งไปทางใต้ของป่า

 

แม้ผมจะไม่มั่นใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ผมคิดว่าถ้าตัวเองคิดจะออกห่างจากคฤหาสน์ ยังไงระยะทางก็ต้องไม่ไกลมากนัก

 

ดังนั้นตําแหน่งของตัวเอง ก็น่าจะอยู่ในป่าเมเปิลแดงใกล้ๆ

 

หลังจากวิ่งมาทางใต้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียง “ ฟู่ฟู่” จากแสงที่ลอดผ่านลงมา

 

นี่คือเสียงรถยนต์ ด้านหน้าของผมต้องเป็นถนนแน่ๆ

 

และป่าผืนนี้ ก็อยู่ข้างถนน ผมไม่ลังเลเลยสักนิด รีบวิ่งไปข้างถนนทันที

 

หลังจากผมมาถึงข้างถนนก็มองสํารวจรอบๆ พบว่าห่างออกไปไม่ไกลได้มีป้ายแผ่นหนึ่งแปะอยู่

 

ป้ายแผ่นนั้นไม่ใช่ป้ายแปลกตาอะไร มันก็คือป้าย “ สถานที่ถ่ายหนังพยาบาลตามหาผี”

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ดีใจมาก ผมไม่ลังเลรีบวิ่งข้ามถนนทันที

 

พร้อมกับหัวใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนนี้ผมได้ข้ามถนนเรียบร้อยแล้ว

 

ห่างออกไปไม่ไกล ก็คือคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์

 

ประตูคฤหาสน์เปิดอยู่ ภายในคฤหาสน์ไม่มีแสงอะไรลอดออกมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในเป็นยังไง

 

แต่ผมกลับไม่ลังเล วิ่งเข้าไปที่คฤหาสน์ทันที

เมื่อผมมาถึงสวนหย่อม กลับรู้สึกว่ามีพลังหยินเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย และดูเหมือนอากาศจะหนาวเย็นขึ้นไม่น้อย

 

ผมจ้องประตูคฤหาสน์ หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเดินเข้าไปพร้อมกับความรู้สึกหวาดกลัว

 

เพราะผมกังวลเรื่องความปลอดภัยของหยางเฉ่ว ผมจึงรีบตะโกนเข้าไปในคฤหาสน์ทันที “ หยางเฉ่ว

 

หยางเฉ่วเธออยู่ในนี้ไหม”

 

ไม่มีคนขานรับ มีเพียงเสียงของผมที่ดังสะท้อนไปรอบๆ

 

ผมกัดฟันแน่น รีบพุ่งเข้าไป ผมเห็นประตูปิดไม่สนิท จึงไม่ลังเลรีบใช้เท้าถีบมันทันที “ ปัง” ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก

 

วินาทีที่ประตูถูกผมถีบออก สายลมอันหนาวเหน็บที่เกิดจากพลังหยินก็พัดเข้ามาที่ร่างของผม

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าพลังหยินพวกนี้เพิ่มขึ้นมามากกว่าตอนกลางวันกี่เท่าตัว เมื่อสายลมพัดเข้ามาขนผมก็ลุกซู่ทันที

 

ผมแสดงสีหน้าเคร่งขรึม มองเข้าไปในคฤหาสที่มืดมิด และตะโกนออกมาอีกครั้ง “ หยางเฉ่ว เธออยู่ที่นี่ไหม”

 

ขณะที่พูด ผมก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์

 

เมื่อมองผ่านแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผมก็เห็นสภาพในคฤหาสน์ได้ลางๆ

 

มันไร้เงาผู้คน หยางเฉ่วไม่ได้อยู่ที่โซฟาแล้ว กระเป๋าและดาบของพวกเราสองคนในเวลานี้ถูกวางไว้บนโต๊ะรับแขก

 

ผมเห็นในบ้านเงียบกริบ ไม่มีคนอยู่ แถมกระเป๋า ดาบ และของอื่นของพวกเรายังวางอยู่ที่เดิม ใจผมจึงรู้สึกถึงลางร้าย

 

หยางเฉ่วอาจเป็นเหมือนผม อาจเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

 

ตัวเธอเองก็ไม่ได้เอากระเป๋าไป เพราะผมสองคนออกมาล่าผี

 

ถ้าไม่ได้เจออะไรที่ตัวเธอไม่สามารถต่อต้านได้ ดาบไม้ที่ควรพกติดตัว ก็คงไม่ถูกวางเอาไว้ที่เดิมแบบนี้

 

หลังจากเห็นสถานการณ์ของที่นี่ ทันใดนั้นในสมองของผมก็มีคําพูดของผีผู้หญิงโผล่ขึ้นมา “ เธอตายแล้ว”

 

นี่ทําให้ผมกังวลหนักกว่าเดิม จนกลัวว่าหยางเฉ่วจะเจอเรื่องไม่คาดคิดเข้าจริงๆ

 

สีหน้าของผมดูน่าเกลียดสุดๆ ผมรีบวิ่งไปที่โต๊ะรับแขก หยิบดาบไม้ขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็นกระเป๋ามหาสมบัติมาคาดเอว

 

แต่ขณะที่ผมกําลังใช้น้ำตาวัวเปิดตา ผมกลับพบว่า ขวดน้ำตาวัวของผมหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมค้นในกระเป๋ามหาสมบัตินานสองนาน แต่ก็ยังหาไม่เจอ

 

ในเวลาเดียวกัน ประตูคฤหาสน์ที่เคยเปิดอยู่ กลับ “ แอร๊ด ปัง” จู่ๆมันก็ปิดเอง

 

เสียงที่ดังลั่นทําให้ผมที่หวาดกลัวอยู่แล้วตกใจในทันที

 

ผมหันไปมองด้านหลังตามสัญชาตญาณ แต่มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหมือนเดิม

 

แต่ผมรู้ดี ว่าประตูบานนี้ไม่ได้ปิดด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นผีในบ้านนี้ที่ไม่อยากให้ผมออกไปได้อีก พวกเขาจงใจปิดประตู

 

ตอนนี้ผมหานตาวัวไม่เจอ ผมจึงรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ทําอะไรไม่ได้

 

ตอนนี้ผมเห็นประตูถูกปิด ในใจก็มีไฟลุกอยู่แล้ว

 

ผมไม่สนใจเรื่องเปิดตาแล้ว วินาทีนั้นผมรีบกําดาบ ตะโกนไปรอบๆบ้านทันที “ ไอ้ทุเรศ ทางที่ดีส่งตัวเพื่อนฉันออกมา จากนั้นก็ออกมาตายซะดีๆ ถ้าฉันจับได้ละก็ ฉันจะทําให้แกตายทั้งเป็น”

 

ผมโกรธมาก ตอนนี้จึงระเบิดออกมาเล็กน้อย

 

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลงไม่นาน ทันใดนั้นในคฤหาสน์ที่ลึกลับหลังนี้ก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น

 

สายลมพวกนั้นเย็นเข้ากระดูก ลอดผ่านโคมไฟระย้าจนทําให้เกิดเสียง “ ติงติง ” ทําให้บรรยากาศในห้องนี้ดูน่าขนลุกจนถึงขีดสุด

 

แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขณะที่โคมไฟระย้าดัง “ ติงติงติง” จู่ๆเสียงโมโหของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากชั้นสอง “ ไอ้สารเลว แกเป็นคนทําร้ายน้องสาวของฉันใช่ไหม”

 

จู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้ชายแปลกหน้า ผมจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

 

แต่เมื่อหันไป ผมกลับพบว่าด้านบนชั้นสอง มีผีผู้ชายชุดขาวหน้าตาบูดเบี้ยว มายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

สภาพของผีผู้ชายตนนั้นเหมือนกับผีผู้หญิง ใบหน้าขาวซีด ไม่มีนัยน์ตา หู ตา จมูก ปาก และคิ้วล้วนถูกไฟเผา ตอนนี้ใบหน้าของเขากําลังบูดบึง เนื้อหนังเข้ามาติดกัน ดูน่าขยะแขยงมาก…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset