ศพ – ตอนที่ 198 พี่น้องโรคจิต

ตอนที่ 198 พี่น้องโรคจิต

 

ตอนนี้จู่ๆก็เห็นผีผู้ชายน่าขยะแขยงปรากฏตัวในบ้านหลังนี้ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

คิดไม่ถึงว่าในบ้านหลังนี้นอกจากผีผู้หญิงแล้วจะยังมีผีผู้ชายอีกหนึ่งตน

 

แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผีผู้ชายหรือผีผู้หญิง ถ้าไม่ส่งตัวหยางเฉ่วออกมา ผมก็จะฆ่าพวกมันให้หมด

 

ผมหันไปมองผีผู้ชาย พูดกับเขาอย่างสุภาพ “ ถ้าฉลาดก็ส่งเพื่อนของฉันออกมา ฉันจะให้ทางเลือกกับพวกแก ไม่อย่างนั้นจะเหลือแต่ทางไปสู่ความตาย..”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า แกจะฆ่าฉัน น่าขํา ! ” เมื่อพูดถึงสองคําสุดท้าย น้ำเสียงของผีผู้ชายตนนั้นก็ดูเย็นชามาก

 

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆข้างตัวของผีผู้ชายก็มีร่างใส่ชุดขาวเบลอๆของใครบางคนปรากฏตัวขึ้น

 

ทันใดนั้น ผมก็พบว่าร่างคนชุดขาวนี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือผีผู้หญิงที่หนีไป

 

ผีผู้หญิงโดนยันต์ของผมเข้าไป ร่างวิญญาณจึงอ่อนแอมาก แม้แต่การปรากฏตัวร่างกายของเธอก็ยังไม่ชัดเจนเหมือนผีผู้ชาย

 

หลังจากเธอปรากฏตัว ก็ไม่ได้พูดจาหยาบคาย แต่กลับหันมาจ้องผมหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หันไปพูดกับผีผู้ชายว่า “ พี่ อีกเดี๋ยวพี่ต้องเหลือลมหายใจสุดท้ายของมันไว้นะ ฉันจะทําให้มันรู้ว่า เมื่อไม่มาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน ก็อย่าได้คิดจะเป็นผู้ชายอีกต่อไป ฉันจะทําให้มันรู้ว่า เมื่อกี้มันเลือกผิดขนาดไหน ! ”

 

คําพูดพวกนี้ทําให้ผมที่ฟังอยู่ถึงกับอึ้ง ผมรู้สึกเย็นวาบที่หลัง ยัยนี้หมายความว่ายังไง หรือว่าเธออยากตัดเจ้านั้นของผม

 

และคําพูดนั้น ดูเหมือนสิ่งที่ผมควรทําคือยอมไปเป็นสัตว์เลี้ยงให้เธอ

 

ตอนมีชีวิตอยู่ยัยนี้คงอยากได้ผู้ชายจนตัวสั่น หลังจากตายไปเลยอาฆาตอยากจับผู้ชายไปเป็นทาสให้ได้

 

หน้าของผมน่าเกลียดขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ทันใดนั้นผีผู้ชายที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ น้องวางใจได้ ที่นี่ยกให้พี่เถอะ เธอไปในห้องแล้วจับตาดูยัยนั้นให้ดีๆละ รอให้พี่ชายจัดการเจ้าหมอนี่เสร็จก่อน แล้วจะรีบไปแต่งพี่สะใภ้ใหม่ให้เธอนะ !”

 

หลังจากพูดจบ ผีพี่น้องสองคนก็ยิ้มให้กัน จากนั้นก็หัวเราะ “ ฮิฮิฮิ ” ออกมาอย่างน่าขนลุก

ในเวลาเดียวกัน ร่างของผีผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มถอยไปข้างหลัง จากนั้นเธอก็หายตัวไปทันที

 

เมื่อผมได้ยินคําพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” 

 

คิดว่าคําพูดของผีผู้ชาย น่าจะหมายถึงหยางเฉ่วที่หายตัวไป 80%

 

ตอนนี้ ผมแค้นจนกัดฟันกรอด คิดว่าพวกผีพี่น้องคู่นี้โรคจิตมาก

 

ผีร้ายที่คิดจะเอาชีวิตผมเคยเจอมาก่อน ผีชั่วที่ฆ่าคนผมก็เคยเจอ แม้แต่ปีศาจที่ออกมาอาระวาดใส่ผู้คนผมก็ยังเคยได้ยิน

 

แต่ฆ่าคนให้กลายเป็นทาสนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น และได้ยินสําหรับผม

 

ผมโมโหขึ้นมาทันที “ แกทําอะไรกับหยางเฉ่ว ”

 

ขณะที่พูด ผมก็ชี้ดาบไม้ไปที่ผีผู้ชายด้วยความโกรธ

 

แต่ผีผู้ชายกลับพูด ฮึ ออกมา “ ทําอะไรงั้นเหรอ ฉันจะทําอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับแก ! ”

 

หลังจากพูดจบ ร่างของผีผู้ชายตนนั้นก็พุ่งลงมาจากชั้นสอง อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ไม่กล้ารอช้า รีบตั้งสติยกดาบไม้ขึ้นและเตรียมเข้าปะทะกับอีกฝ่ายทันที

 

แต่ไม่รอให้ผีผู้ชายได้เข้าใกล้ผม จู่ๆร่างของเขาก็หายไปจากสายตา

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกใจ รีบหันไปมองรอบๆทันที

 

แต่ไม่รอให้ผมพร้อมรับการโจมตี ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเย็นที่หลัง

 

น้ำเสียงเย็นชาดังตามมาติดๆ “ กล้ามาที่บ้านของฉัน ก็ต้องรู้ตัวว่าต้องตาย ! ”

 

หลังจากพูดจบ “ ปัง” พลังมหาศาลก็ซัดเข้ามา ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเจ็บที่หลัง

 

เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างกายของผมก็เหมือนกับใบไม้ร่วงที่ถูกลมพัด ผมปลิวออกไปทันที

 

และสุดท้าย “ ปัก ” ตัวผมก็กระแทกลงบนโต๊ะรับแขกอย่างแรง

 

แจกกันขนาดใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ และตัวผมก็กลิ้งลงไปนอนกองกับพื้น

 

“ โอ๊ย ! ” ผมอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ในเวลาเดียวกันผมก็เอื้อมมือไปลูบหลัง เพราะผมรู้สึกเจ็บโครตๆ

 

“ พลังแค่น้อยนิดแบบนั้น ยังคิดจะมาจับพวกเรารนหาที่ตาย ! ” ผีผู้ชายพูดอย่างเย็นชา ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายแวบ และพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นผีผู้ชายพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ผมก็รีบลุกขึ้นกําดาบไม้ พร้อมโต้กลับ

 

แต่พอผีผู้ชายคนนี้เข้ามาใกล้ เขาก็ใช้ประโยชน์จากการที่ผมไม่ได้เปิดตา หายตัวอีกครั้ง

 

ผลลัพธ์ดาบของผมฟันเข้ากับอากาศ เมื่อผีผู้ชายปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านขวาของผม

 

“ ไอ้ขยะ คิดจะฟันฉันงั้นเหรอ”

 

หลังจากพูดจบ ผีผู้ชายคนนั้นก็กระโดดพุ่งเข้ามาที่เอวของผม

 

ร่างกายผมเสียสมดุลอีกครั้ง วินาทีนั้นผมล้มลงกับพื้นทันที

 

ในใจของผมกําลังเดือดเป็นไฟ ไม่ได้เป็นเพราะผมสู้ผีผู้ชายตนนี้ไม่ได้ เขามีพลังมหาศาลหรือเขาดุร้ายมาก

พูดตามความเป็นจริง พลังของผีผู้ชายตนนี้ก็เยอะกว่าผีผู้หญิงไม่เท่าไหร่

 

บวกกับเวลาและสถานที่ที่จัดขึ้นมาอย่างเหมาะสมทําให้ผมถูกโจมตีจนรับมือไม่ทัน

 

แต่สาเหตุหลักยังเป็นเพราะผมไม่ได้เปิดตา ผมมองไม่เห็นเขา ทําให้ผมไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้

 

ผมกัดฟัน และตะคอกออกมาอย่างรุนแรง “ อย่าให้ฉันจับแกได้นะ!”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

แต่ผีผู้ชายยืนอยู่ตรงข้ามผม เขาพูดพร้อมกับใบหน้าที่น่าขยะแขยง “ ฮึ! น้ำตาวัวพวกนั้นฉันทําลายหมดแล้ว แกจะเอาอะไรมาจับฉันฮะ แค่ยันต์เน่าๆสองสามแผ่นที่แกมีอยู่งั้นเหรอ แกคิดว่าจะมีโอกาสแตะฉันได้เหรอฮะ ”

 

ผีผู้ชายพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเยาะเย้ย

 

เมื่อผมได้ยินคําพูดนี้กลับขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

 

ถึงว่าทําไมผมหาขวดน้ำตาวัวไม่เจอ ที่แท้เจ้าหมอนี้ก็เป็นคนเอาไป มันเห็นเราเป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก และรู้ว่าพวกเราต้องใช้น้ำตาวัวเปิดตา

 

และตั้งแต่เริ่มต้นก็แอบเล่นงานพวกเรา ตอนนี้เมื่อลองคิดดูแล้ว มันจะต้องใช้ลูกเล่นพิเศษบางอย่าง ทําให้ผมและหยางเฉ่วสลบ จากนั้นก็ทําลายน้ำตาวัวของผม ทําให้ความสามารถของพวกเราลดลงจนถึงขีดสุด แล้วถึงได้ลงมือกับพวกเรา

 

เมื่อคิดเรื่องพวกนี้ออก ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

 

คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมอยากนอน ผมจําได้ว่าได้กลิ่นธูปอ่อนๆ หรือว่าจะเป็นตอนนั้น

 

“ ก่อนหน้านี้แกรมยาสลบพวกเราใช่ไหม แล้วหลังจากนั้นก็ทําลายน้ำตาวัวของฉัน ” ผมพูดอย่างเยือกเย็น

 

“ แกก็ไม่โง่เท่าไหร่นิ! ฉันจะบอกให้นะ ตอนมีชีวิตฉันถือว่าเป็นนักพรตคนหนึ่ง สําหรับวิธีลงมือขับไล่สิ่งชั่วร้ายของพวกแก ฉันรู้เยอะเลยละ คืนนี้แกตกอยู่ในเงื้อมมือของฉัน ก็ถือว่ายุติธรรมอยู่นะ !” น้ำเสียงของผีผู้ชายกดต่ำ ดูเหมือนเขากําลังได้ใจ จึงพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

 

เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งยโสของอีกฝ่าย ผมละอยากตบมันสักทีจริงๆ

 

แต่เจ้าหมอนี้บอกอย่างชัดเจน ว่าน้ำตาวัวถูกทําลายไปแล้ว เมื่อไม่มีน้ำตาวัว ผมก็ไม่สามารถเปิดตาได้

 

เมื่อเปิดตาไม่ได้ ผมก็จะมองไม่เห็นอีกฝ่าย และตกเป็นฝ่ายโดนทําร้ายแทน

 

ผมไม่พอใจ แต่ก็ทําอะไรไม่ได้ ตอนนี้ผมกําลังคิดว่าจะเรียกมู่หลงเหยียนออกมาช่วยดีไหม

 

แต่ผมเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นสายตาของผมก็หันไปมองกระเป๋าหยางเฉ่วโดยอัตโนมัติมันอยู่ไม่ไกลจากตัวผม

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทันใดนั้นผมก็ตัวสั่น มีความคิดใหม่ผุดเข้ามาในหัวของผมแล้ว

 

เปิดตาไม่ได้ใช้แค่น้ำตาวัวได้อย่างเดียว หยางเฉ่วมีวิธีพิเศษไม่ใช่เหรอ

 

ยัยนั้นเปิดตา ด้วยยันต์ไม่ใช่เหรอ

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

 

ขอแค่สามารถเปิดตาได้ ก็ไม่ต้องถึงมือมู่หลงเหยียนแล้ว และเมื่อเวลานั้นมาถึง แค่ผมคนเดียวก็สามารถจัดการผีพี่น้องคู่นี้ได้แล้ว

 

แต่ผีผู้ชายตนนั้น ยังไม่เห็นผมอยู่ในสายตา เขาหยิ่งยโสอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าโลก “ เจ้าเด็กน้อย พร้อมรึยังฮะ ต่อไปฉันจะเอาจริงแล้วนะ !”

 

เพื่อจะหลอกอีกฝ่าย ผมกลับหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” เสียงดัง แกล้งทําท่าทางสบายๆ จากนั้นก็แสร้งขยับไปข้างๆสองก้าว “ ฉันละคิดว่าแกเป็นคนฉลาดมากนะ แต่ที่ไหนได้แกมันก็มีแค่นี้

 

อีกฝ่ายเห็นผมหัวเราะเสียงดัง และยังพูดจาแบบนั้นออกมา เขาจึงอึ้งในทันที หลังจากนั้นก็พูดด้วยความสงสัย “ หมายความว่าอะไร”

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลงกล ในใจของผมก็ด่าว่าไอ้โง่ ในเวลาเดียวกันก็แกล้งเดินไปข้างๆอีกนิดหน่อยและพูดว่า “ แกคิดว่าที่นี่มีแค่คนปราบผีอย่างพวกเราแค่สองคนเหรอ จะบอกแกให้นะ นอกจากฉันสองคนแล้วเรายังมีพวกอยู่อีก !

 

“ งั้นเหรอ ถ้ามีจริงละก็ ทําไมมันไม่ออกมาละ ” ผีผู้ชายอึ้งไปพักหนึ่ง แต่ทันใดนั้นเองเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา คิดว่าผมหาเรื่องคุยเพื่อถ่วงเวลา เขาจึงเดินเข้ามาข้างหน้าคิดจะโจมตีผมอีกครั้ง

 

แต่ตอนนี้ผมกลับทําท่าทางเคร่งขรึมมาก จ้องไปที่ด้านหลังของผีผู้ชาย จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความตกใจ “ ใช่ ตอนนี้แหละ ! ”

 

จู่ๆผีผู้ชายก็เห็นผมจ้องด้านหลังของเขา แล้วพูดคําพูดแบบนั้นออกมา ในใจของเขาก็หวาดระแวง จิตใต้สํานึกบอกให้ระวังตัว ทันใดนั้นเขาก็รีบหันไปมอง เผื่อมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น

 

แต่หลังจากที่เขาหันไป เขากลับเห็นด้านหลังที่ว่างเปล่าดังเดิม มันไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองโดนหลอก “ พรึบ ” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปคิดว่าตัวเองโดนแกล้ง

 

สีหน้าของเขาน่าเกลียดกว่าเดิม เขาตะคอกออกมาทันที “ ไอ้ชั่วสมควรตาย กล้าหลอกฉัน !”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็หันมาอย่างรวดเร็ว

 

แต่ตอนที่เขาหันมามองผมอีกครั้ง เขากลับพบว่าผมได้ยืนตัวตรง แถมยังทํามือประสานเป็นรูปดาบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

บนมือที่ประสานของผมมียันต์ที่เขียนคําว่า “ เปิด ” อยู่หนึ่งแผ่น

 

ตอนนี้ผม กลับจ้องผีผู้ชายอย่างเย็นชา ผมไม่รอให้เขาได้ลงมือทําอะไรทั้งสิ้น ทันใดนั้นผมก็ตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญ เทพลุ่ยลิ้ง เปิด !”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset