ศพ – ตอนที่ 202 ชีวิตที่น่าสังเวช

ตอนที่ 202 ชีวิตที่น่าสังเวช

 

แม้ก่อนหน้านี้ผีผู้ชายต้องการฆ่าพวกเรา แต่ตอนนี้จู่ๆเขาก็พูดแบบนั้นออกมา ทําให้ผมสงสัยว่าตอนมีชีวิตเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือจะบอกว่าผมแม่งโคตรอยากรู้เลยละ

 

อาจารย์เคยบอกว่า คนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรามีหน้าที่ “ ขับไล่ ” เป็นหลัก “ ฆ่า ” เป็นรอง

 

ถ้าช่วยได้ก็ช่วยถ้าไม่ได้ก็ฆ่า

 

เพราะมีความคิดแบบนี้ ผมจึงไม่ได้รีบลงมือและพูดกับผีผู้ชายอีกครั้ง “ หมายความว่าอะไร”

 

ผีผู้ชายจ้องผม “ ไม่เกี่ยวกับแก จะฆ่าก็ฆ่า อย่าพูดมาก !

 

ผมกลับเงียบโดนขัดคอติดๆกัน ทําให้ผมเริ่มรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี

 

แต่ทันใดนั้นผีผู้หญิงที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ พี่! ทําไมไม่บอกพวกมันละ พวกมันจะได้รู้ว่า ความจริงบนโลกใบนี้ มันก็เป็นแค่เกมของพวกมีอํานาจเท่านั้น !”

 

ผมและหยางเฉ่วมองหน้ากัน คิดว่าบางทีผีสองตนนี้อาจมีเรื่องคับแค้นใจบางอย่างซ่อนเอาไว้

 

หรือมันอาจเป็นสาเหตุหลักที่หลังจากพวกเขาตายแล้ว ความแค้นฝังลึก ทําให้วิญญาณค่อยๆกลายเป็นผีร้าย และหัวใจทุกข์ระทม

 

ผีผู้ชายได้ยินผีผู้หญิงพูดแบบนั้น เขาก็พูด ฮึ ออกมาหนึ่งครั้งจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก และยังหันหน้าไปอีกทาง

 

ผีผู้หญิงเห็นผีผู้ชายไม่ห้าม เธอจึงพูดกับผมสองคนว่า “ เมื่อ 8 ปีก่อนไอ้คุณชายฮงเฟิงฉ่างรังแกแฟนพี่ฉันในโรงงานพี่ฉันทนไม่ได้ เขาจึงเข้าไปห้าม ผลลัพธ์จบเรื่องแล้วไอ้คุณชายฮงเฟิงฉ่างแค้นพี่ของฉันมาก วันนั้นขณะที่พี่กําลังกลับบ้าน เขาก็ขับรถมาชนพี่ของฉันจนขาหัก….”

 

หลังจากนั้น ผีผู้หญิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนพวกเขายังมีชีวิต ให้พวกเราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ผมและหยางเฉ่วยืนฟังเงียบๆ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาเจอแต่เรื่องไม่ยุติธรรม

 

ผีผู้หญิงบอกว่า ตอนนั้นหลังจากที่ผีผู้ชายขาหัก คนที่ทําผิดกลับไม่ได้รับโทษ เขาไปให้การกับตํารวจ แต่สุดท้ายก็มีทนายมาพาตัวเขาออกไป

 

ตอนแรกฝั่งนั้นต้องการขอประณีประนอม โดยการชดใช้เงินให้พี่เธอ 100,000 หยวน

 

เป็นธรรมดาที่แม่ของผีผู้ชายไม่เห็นด้วย เธอหวังว่าคนผิ ดจะได้รับการลงโทษ เธอยากให้คุณชายฮงเฟิงฉ่างเข้าคุก

 

ผลลัพธ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี คุณชายฮงเฟิงฉ่างถูกฟ้องข้อหาฆ่าตายคนโดยเจตนา

 

แต่ครอบครัวที่แสนธรรมดาครอบครัวหนึ่ง จะสามารถ ฟ้องชนะคุณชายจากครอบครัวร่ํารวยได้ยังไง

 

พวกเขาใช้ผลประโยชน์จากฐานะที่มี ทําให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแพ้คดี

 

คนทําผิดไม่เพียงไม่เป็นอะไร เขายังไม่จ่ายค่าเสียหายให้อีกฝ่ายแม้แต่แดงเดียว ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดจึงตกเป็นหน้าที่ฝ่ายประกันของบริษัท

 

ขณะเดียวกัน ตอนที่ผีผู้ชายกําลังรักษาตัว แฟนของเขากลับบอกเลิกเขา และไปคบหากับคุณชายฮงเฟิงฉ่างแทน

 

เรื่องมาถึงขนาดนี้คุณชายฮงเฟิงฉ่าง ยังไม่วายพาแฟนเก่าของเขา เข้ามาเยาะเย้ยถึงบ้าน

 

สิ่งนี้ทําให้พ่อแม่ของผีผู้ชายโกรธจัด ช่วงเวลานั้นพ่อของผีผู้ชายตบหน้าคุณชายฮงเฟิงฉ่างหนึ่งครั้ง

 

ผลลัพธ์ก็ออกมาดีจริงๆ คุณชายฮงเฟิงลุกขึ้นและเอาเก้าอี้ฟาดที่หัวของพ่อผีผู้ชายทันที เมื่อร่างของเขาล้มลง กระดูกสันหลังก็ไปกระแทกกับมุมโต๊ะอย่างแรง

 

เดิมที่เขาก็เศร้าอยู่แล้วเพราะต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้าย แต่นี่มันไม่ใช่สิ่งสําคัญสิ่งสําคัญก็คือการบาดเจ็บของเส้นประสาทไขสันหลัง ทําให้พ่อของผีผู้ชายเป็นอัมพาตตลอดชีวิต

 

หลังจากนั้นครอบครัวของผีผู้ชายก็เริ่มฟ้องคนผิดอีกครั้งพวกเขาอยากให้คุณชายฮงเฟิงฉ่างเข้าคุก ได้รับโทษที่เขาควรโดน

 

ผลลัพธ์ฝ่ายคนผิดมีทั้งเงินและอํานาจ เขาอาจใช้ทางลัดถึงได้ไม่เป็นอะไรอีกครั้ง

 

สุดท้าย เขาก็ชดใช้เงินให้นิดหน่อย เป็นจํานวนน้อยมากและยังไม่ได้รับโทษใดๆ

 

ครอบครัวของผีผู้ชายไม่มีอํานาจอะไร เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เขาจึงทําอะไรไม่ได้ ทําได้เพียงอดทน กลืนความโกรธลงท้องจดจํามันไว้ และพูดว่าเราซวยเอง

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ผ่านไปไม่นาน คุณชายฮงเฟิงฉ่างเป็นเหมือนกับฝันร้าย เขาบุกเข้ามาในบ้านของพวกเขา

 

แม้จะไม่มีเรื่องอะไรเขาก็จะมาสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของพวกเขา และยังลงมือลงไม้กับน้องสาวของเขา

 

จนมีอยู่วันหนึ่ง คุณชายฮงเฟิงฉ่างได้ดื่มเหล้ามานิดหน่อยเขาพาเพื่อนคนรวยสองสามคนมาบ้านของพวกเขา

 

เป็นธรรมดาที่แม่และน้องสาวของผีผู้ชายจะไม่ต้อนรับ พวกเธอไล่พวกเขาออกไปทันที

 

ผลลัพธ์เพื่อนคนรวยหนึ่งในสามคนเกิดชอบในตัวน้องสาวของผีผู้ชายขึ้นมา เธอก็คือผีผู้หญิงในตอนนี้

 

เพื่อนคนรวยสองคนตกอยู่ใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตอนนั้นพวกเขาจึงคิดสนุก จึงลงมือลงไม้กับผีผู้หญิงทันที

 

แม่ของผีผู้หญิงปกป้องเธอด้วยชีวิต แต่ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จะไปสู้แรงของชายหนุ่มได้ยังไง

 

ผลลัพธ์พวกเราก็น่าจะรู้ เธอทําได้แค่มองดูเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะร้องไห้ออกมาแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร

 

ชายสองสามคนนี้ยังไม่หยุดแค่นั้น กลับกันพวกเขายังช่วยกันทําเรื่องเลวๆ รีบเข้าไปช่วยกัน ฉีกเสื้อผ้าของเธอออก

 

ขาของผีผู้ชายยังไม่หายดี แต่ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายเขาจึงถือไม้เท้าออกไปดู

 

ผลลัพธ์ไม่เพียงช่วยไม่ได้ ขาที่กําลังจะหาย ก็ถูกพวกเพื่อนคนรวยทําร้ายซ้ำ ทําให้เขาสลบไปเพราะความเจ็บปวด

 

ร่างกายของพ่อผีผู้ชายเป็นอัมพาต เขาจึงทําได้เพียงฟังเสียงร้องไห้ดังลั่น แต่กลับทําอะไรไม่ได้

 

ระหว่างที่คนพวกนี้กําลังใช้ความรุนแรง จู่ๆแม่ของผีผู้หญิงก็หนีออกมาได้ เธอหยิบมีดจากห้องครัววิ่งเข้า ไปแทงหนึ่งในลูกคนรวยทันที

 

ผลลัพธ์เธอกลับถูกลูกคนรวยอีกคนเข้าไปแย่ง ทําให้มีดแทงเข้าที่หน้าอกของแม่ผีผู้หญิง

 

เลือดสดๆไหลย้อมเสื้อทันที วินาทีนั้นแม่ของผีผู้หญิงล้มลงนอนคากองเลือด และหมดลมหายใจไปในทันที

 

เมื่อคนพวกนี้เห็นคนตาย พวกเขาก็กระวนกระวาย 

 

ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวัง พวกเขายังทําเรื่องทารุณอีกอย่างหนึ่ง

 

ชายเหล่านั้นเอาทุกคนในบ้านขังเอาไว้ด้วยกัน จากนั้นก็จุดไฟเผาบ้าน และก็รีบขับรถออกจากที่นั้นไปทันที

 

ภายใต้เปลวไฟ ผีผู้ชายฟื้นขึ้นมา พวกเขาสองพี่น้องกอดแม่ของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็กระแทกประตูอย่างแรง เพื่อจะหนีจากทะเลเพลิงนี้

 

แต่ประตูบ้านถูกปิดตาย ไฟเริ่มโหมกระหน่ำ พวกเขาไม่สามารถหนีออกไปได้แล้ว จึงทําได้เพียงรอให้ไฟครอกตายเท่านั้น

 

แต่โชคก็มาถึง ระหว่างนั้นมีคนผ่านมาพอดี เขาโทรแจ้งสถานีดับเพลิง ในเวลาเดียวกันก็หาคนมาช่วย

 

สุดท้ายประตูบ้านก็เปิดออก พวกเขาช่วยชีวิตคนสองคนเอาไว้ได้

 

แต่ แม่ของสองพี่น้องได้หมดลมไปแล้ว

 

ผีสองตนถูกไฟครอกจนไม่เหลือชิ้นดี แต่พวกเรายังมีชีวิตและอยู่รอดต่อไปได้

 

แต่เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าผ่าตัดราคาแพง ทําให้หลังจากที่แผลหายดี อวัยวะบนหน้าของพวกเขาก็เข้ามาติดกัน ทําให้เกิดสภาพหน้าตาอัปลักษณ์ขึ้น

 

สองพี่น้องไม่พอใจ พวกเขายังพาร่างกายที่มีผ้าพันแผลเอาไว้ไปร้องเรียนอีกครั้ง

 

แต่ผลลัพธ์เหมือนกับครั้งแรกและครั้งที่สอง มันกลับไม่รับความเป็นธรรมอีกครั้ง

 

อัยการสองสามท่านตัดสินว่าพวกลูกผู้ดีพวกนี้ทําให้ คนบาดเจ็บเพราะความประมาท จึงให้ชดใช้เป็นเงินจํานวน 300,000 หยวน

 

คดีจึงถูกปิดลงเท่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะยังไปร้องเรียนต่อ แต่ก็ถูกเบื้องบนไล่ออกมา

 

ต้องรู้ว่าคดีนี้มีคนตายสองคนสองชีวิต และบ้านของพวกเขายังถูกเผาเป็นจุล สองพี่น้องไม่เพียงถูกไฟครอกจนเสีย โฉมสุดท้ายพวกเขายังได้รับจุดจบแบบนี้ สองพี่น้องจึงได้ แต่ร้องไห้แอบพูดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม คนชั่วทําชั่วแต่คนดีกลับถูกรังแก

 

แต่พวกเขายากจน รู้ว่ายังไงก็ไม่สามารถสู้กับลูกคนรวยได้

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา จิตใจของพวกเขาก็เริ่มผิดปกติ

 

จุดเริ่มต้นเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกความคิดและวิธีการชั่วๆเข้าครอบงํา

 

พวกเขาคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีความจริง ไม่มีความยุติธรรม มีเพียงปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนดีถูกรังแก ดังนั้นต้องเป็นคนชั่วเท่านั้น

 

ความคิดนี้เหมือนกับเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่ง มันหยั่งราก ลึกในจิตใจของพวกเขา และขยายตัวอย่างรวดเร็ว

 

และจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา ผีผู้ชายและผีผู้หญิงก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

 

เพราะพวกเขาคิดว่า สภาพแบบนี้ จะมีหน้าเจอผู้คนได้ยัง

 

ดังนั้นพวกเขาจึงอยากตาย อยากกลายเป็นผี อยากแก้แค้น อยากกลายเป็นคนชั่วทวงทุกอย่างที่หายไปกลับคืนมา

 

ตอนมีชีวิตผีผู้ชายเคยเรียนเรื่องฮวงจุ้ยมาก่อน เขาจึงเชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ยสุสานและบ้านคน

 

ดังนั้นเขาจึงใช้เงิน 300,000 หยวนที่ได้มา เลือกป่าเมเปิลสีแดงที่เงียบสงบผืนนี้ แล้วสร้างบ้านผีให้หันหน้าไปทางเหนือ ประตูบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกและสร้างกําแพงเหล็กเอาไว้ทางทิศใต้

 

หลังจากบ้านหลังนี้สร้างเสร็จ สองพี่น้องก็กินยานอนหลับที่ห้องใต้ดิน ฆ่าตัวตายกลายเป็นผี หลายปีมานี้ดวงวิญญาณของพวกเขาจึงสิงอยู่ในบ้านนี้ตลอดมา…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset