ตอนที่ 208 ศพจิ้งจอก
พูดตามความจริง คําพูดของเหล่าฉันก็ฟังดูมีเหลุผลอยู่บ้าง
แม้จะขัดแย้งกับความคิดของพวกอาจารย์ แต่มันเป็นเพียงมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้น
เหล่าฉินพูดความคิดและสมมุติให้ผมฟัง แต่ผมไม่ได้ยอมรับ หรือปฏิเสธทั้งหมด
ผมคิดว่าคําพูดของเขา เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง แต่ตัวเองก็คิดไม่ออกว่าขาดอะไรไป
ดังนั้นในช่วงเวลานั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา อาจารย์เห็นผมไม่พูด เขาจึงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” “ ติงฝาน คําพูดของเหล่าฉันก็เป็นแค่ความคิดส่วนตัว อยากให้ในอนาค ตนายได้ลองทําดู ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ทางสายนี้ นายยังต้องเดินด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและยกจอกเหล้าขึ้นคารวะเหล่าฉิน
หลังจากนั้น เหล่าฉินและคนอื่นๆก็เปลี่ยนหัวข้อ เรื่องเมื่อกี้จึงกลายเป็นแค่บทสนทนาสั้นๆเท่านั้น
ถึงจะเป็นแค่บทสนทนาสั้นๆ แต่คําพูดของเหล่าฉินกลับทําให้ความคิดผมเปลี่ยนไปไม่น้อย ในสมองต่างมีความคิดผุดขึ้นมาหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ “ เวรกรรม”
แต่เจ้าสิ่งนี้ลึกลับเกินไป มองไม่เห็นจับต้องก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างชัดเจน
อย่าว่าผมที่เป็นไก่อ่อนเพิ่งเริ่มทํางานเลย แม้แต่นักพรตรุ่นเก่าที่ฝึกฝนวิชามาหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถมองข้ามเวรกรรมได้ ไม่สามารถเข้าใจชีวิตมนุษย์ได้อย่างท่องแท้
ผมและเหล่าเฟิงร่วมสังสรรค์กับอาจารย์เหล่าฉิน และท่านนักพรตต์จนดึกดื่น
ตาแก่สามคนมีความสุขมาก ถึงกับต้องทําอาหารถึงสองรอบ
ตอนที่เลิกงานเลี้ยง จู่ๆเหล่าฉินก็เงียบไป ดูเหมือนกําลังคิดอะไรบางอย่าง
เขาเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็พูดว่า “ เออใช่ วันนี้มาดื่มเหล้า จนเกือบลืมเรื่องสําคัญไปเลย ! ”
“ ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรเหรอ ” ท่านนักพรตตู๋พูด
อาจารย์และผมก็มองเหล่าฉินด้วยความสงสัย เหล่าฉินสูดหายใจเข้า จากนั้นก็พูดกับพวกเราว่า “ เรื่องนี้แปลกมาก พูดไปแล้วพวกนายอาจจะไม่เชื่อ ! ”
“ ศิษย์พี่ พวกเราสองสามคนยังมีเรื่องอะไรที่ไม่เคยเจออีกเหรอ พี่พูดมาเถอะว่าไปเจออะไรมา ! ” ท่านนักพรตต์พูดออกมาตรงๆ
ครั้งนี้เหล่าฉันไม่ได้ทะเลาะกับท่านนักพรตต์ เขาพยักหน้าให้ “ วันนี้ตอนเที่ยง ที่สุสานของพวกเราได้รับโทรศัพท์ให้ไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวาง… ”
หลังจากนั้น เหล่าฉินก็เล่าเรื่องไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวางให้พวกเราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนแรกพวกเรายังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินเรื่องหลังจากนั้น ผมกลับคิดว่ามันแปลกมาก เหมือนกับที่เหล่าฉันพูดไว้ มันฟังดูไม่น่าเชื่ออย่างมาก
เหล่าฉินที่เป็นคนเล่าและลุงหลิวคนงานในสุสานไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวาง เมื่อเห็นคนตาย
พวกเขาก็พบว่าคนตายสภาพหน้าตามอมแมมผมเผ้ารุงรัง เขาเพิ่งตายได้ไม่นานและไม่มีใครอ้างสิทธิ
เมื่อตํารวจท้องที่มาดูและยืนยัน เขาก็บอกแค่เป็นคนจรจัด ไม่สามารถระบุตัวตนได้
สําหรับศพที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เหล่าฉินก็เข้าใจทันทีว่าต้องทํายังไง
โดยพื้นฐานแล้วก็นํากลับมาเผาที่สุสาน ส่วนค่าเก็บศพก็นําไปแจ้งต่อรัฐ
ถ้าต่อไปมีคนมาขออ้างสิทธิ์ สมาชิกในครอบครัวต้องจ่ายค่าจัดเก็บก่อน หลังจากนั้นก็จะสามารถนําเถ้ากระดูกไปได้แล้ว
แต่ถ้าไม่มี เถ้ากระดูกของเขาก็จะถูกตั้งบูชาไว้แบบนั้น
เหล่าฉินเองก็ไม่ได้สนใจ ตอนนั้นเขาและลุงหลิวนําศพขึ้นรถทันที
แต่ตอนที่เหล่าฉินกําลังปิดประตู จู่ๆก็มีลูกจิ้งจอกสองตัวกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ
เมื่อลูกจิ้งจอกสองตัวปรากฏตัว มันก็หันไปร้องที่รถขนศพ “ อีกอีกอีก ” ดูท่าทางเศร้ามาก
ภูเขาละแวกนี้ ล้วนเป็นภูเขาที่เก่าแก่ในภูเขาจึงมีสุนัขจิ้งจอกและสัตว์ป่าอีกมากมาย นี่จึงๆไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ตอนนั้นเหล่าฉินและลุงหลิวไม่ได้สนใจ คิดว่าลูกจิ้งจอก เดินหลงมาเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ได้สนใจ หมุนตัวเดินจากไปทันที
เพราะตอนนี้มีนโยบาย สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์สงวน แตะต้องไม่ได้
หลังจากนั้น เหล่าฉันก็ขับรถออกมาจากหมู่บ้านหยางกวาง
เรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด หลังจากพวกเขากลับมาถึงสุสาน ก็ทําตามกระบวนการนําศพออกมาจากรถ จากนั้นก็นําไปเผาในเมรุ
หลังจากเผาเสร็จ ตอนที่เหล่าฉันกําลังจะเก็บเถ้ากระดูก เหล่าฉินกลับต้องตกใจ หรือแม้แต่หน้าถอดสีจนขาวซีด
เพราะเหล่าฉันพบว่า หลังจากตรวจสอบเถ้ากระดูก กลับพบว่ามันไม่ใช่ของมนุษย์
เหล่าฉันบอกว่า ซากกะโหลกศีรษะที่เหลือยาวและแคบ ไม่ใช่รูปร่างของกะโหลกคน
และฟันที่ยังไหม้ไม่หมด ก็ไม่เหมือนฟันของคน ทุกซี่ล้วนยาวหลายเซนติเมตร
เหล่าฉินเผาศพมาหลายสิบปี และก็ไม่รู้ว่าเผามาแล้วกี่ศพ
สะสมประสบการณ์มาหลายปี จากการแยกแยะเศษกระดูกด้วยตาเปล่า ก็สามารถบอกเพศและอายุคราวๆของผู้ตายได้แล้ว
ถ้าเรื่องนี้ตกอยู่ในสายตาของคนธรรมกดา นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะจินตนาการได้ เพราะเห็นเพียงแค่เศษกระดูกของมนุษย์ คนธรรมดาจะสามารถแยกชายหญิงได้เหรอ
แต่ในฐานะคนเผาศพมืออาชีพ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แปลกหรือหายากอะไรเลย
ตอนที่เหล่าฉินเห็นเถ้ากระดูกร่างกายของเขาก็นิ่ง อึ้งไปในทันที
ไม่ว่าเขาจะมองยังไง กระดูกพวกนี้ก็ไม่เหมือนของคน แต่มันเหมือน เหมือนกระดูกของจิ้งจอก
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ก๊ก ”
ผมคิดถึงคําพูดของเหล่าฉิน ตอนพวกเขาไปเก็บศพข้างๆ มีลูกจิ้งจอกกระโดดออกมา
หรือ หรือว่าคนจรจัดที่ตายไปจะเป็นจิ้งจอกแปลงกายที่อาศัยอยู่ในภูเขา
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เรื่องนี้ก็แปลกมาก
“ เหล่าฉิน นั้น นั้นเป็นเถ้ากระดูกของจิ้งจอกจริงๆเหรอ ” ผมถามเพราะไม่อยากเชื่อ
หลังจากเหล่าฉันพูดถึงตรงนี้ เขาก็ดื่มไวน์เข้าไปไม่น้อย แสดงสีหน้าเคร่งครึม “ ฉันมั่นใจต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นจิ้งจอก ใช่สิ ฉันยังเอาเศษฟัน มาให้พวกนายดูด้วย ! ”
หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็หยิบห่อผ้าสีเหลืองออกมาจากกระเป๋า หลังจากนั้นก็ค่อยๆเปิดอย่างระมัดระวัง
สุดท้าย ตรงกลางของผ้าผืนนั้น ก็มีเศษฟันยาวๆอยู่จริงๆ
พวกเราทุกคนล้วนเข้าไปมุง มองมันอย่างละเอียด
แม้ผมจะแยกแยะไม่เป็นว่ามันเป็นเขี้ยวของจิ้งจอกรึเปล่า แต่ฟันซี่นั้นทั้งเรียวและยาว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของคน น่าจะเป็นของสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง
อาจารย์และท่านนักพรตต์หยิบไปมอง หลังจากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
อาจารย์พูดอย่างมั่นใจ “ ไม่ผิดแน่ นี่คือเขี้ยวจิ้งจอก คนจรจัดคนนั้น น่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่แปลงกายมา !”
เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา ผมและเฟิงเฉ่วหานก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว แม้แต่การเผาศพ ก็ยังเผ่าร่างของจิ้งจอกเฒ่าได้
ตอนนี้ท่านนักพรตตูเองก็พูดออกมา “ ศิษย์พี่ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ พวกเซียนจิ้งจอก ไม่ใช่คนที่เราจะทําให้ไม่พอใจได้ง่ายๆ และไปยุ่งด้วยไม่ได้เด็ดขาด เมื่ อก่อนตอนผมไปหากินที่ตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไปเจอแรงอาฆาตของจิ้งจอกชั่ว ครอบครัวหนึ่งห้าชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เด็กทารกถูกห่อผ้าเอาไว้ ตอนนั้นไม่มีใครรอดสักราย! ทุกคนตายโหงหมด แถมยังตายยกครัว ”
“ เรื่องนี้จะจบแค่นี้ไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปจุดที่เก็บศพ จุดธูปเผากระดาษ เอาเถ้ากระดูกไปคืน ไม่อย่างนั้นอาจเจอปัญหาได้ !”
ดูเหมือนท่านนักพรตต์จะเห็นเรื่องเซียนจิ้งจอกเป็น เรื่องต้องห้าม ท่าทางของเขาดูเครียดมาก
เหล่าฉินได้ยินท่านนักพรตพูดแบบนั้น เขาจึงพยักหน้าให้รัวๆ หลังจากนั้นก็เก็บเขี้ยวอย่างระมัดระวัง
“ ได้ งั้นพรุ่งนี้พวกนายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ! ตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันกลับสุสานก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าค่อยโทรหาพวกนาย” หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็กําลังจะเดินออกไป
อาจารย์เห็นเหล่าฉินจะออกไปแล้ว เขาจึงพูดกับผมว่า “ ติงฝาน ไปส่งเหล่าฉินของนายซิ ! ”
เหล่าฉินเคยช่วยชีวิตผม วันนี้เขาดื่มไปไม่น้อย ผมไปส่งเขา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่ปฏิเสธ
เหล่าฉินก็ไม่ได้บอกปัด สมองของเขาเริ่มขึ้นแล้ว
ดังนั้น ผมจึงออกจากร้าน พร้อมกับเหล่าฉิน พวกเราเดินตรงกลับสุสานทันที
สุสานอยู่ไม่ไกล ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึง
แต่ตอนที่พวกเราเดินเข้ามาในสวนหย่อมของสุสาน ผมกําลังจะบอกลาเหล่าฉิน ทันใดนั้นเองในสุสานก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “ อ๊าก… ”