ศพ – ตอนที่ 210 พูดคุย

ตอนที่ 210 พูดคุย

 

มันเห็นได้ชัดมาก จิ้งจอกเฒ่าที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ และเรื่องศพที่เหล่าฉันเคยเล่าตอนไปดื่มเหล้าจะต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

 

แต่สิ่งที่ผมคิดไม่ถึงคือ ภูเขาเก่าแก่ในละแวกนี้ มีจิ้งจอกเฒ่าที่ปีกกล้าขาแข็งแล้วอาศัยอยู่จริงๆ

 

เมื่อก่อนเคยได้ยินคนพูดถึง แต่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และได้ยินเรื่องการตอบแทนบุญคุณของจิ้งจอกมาบ้าง ส่วนตํานานและเรื่องราวจิ้งจอกแก้แค้นนั้น ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไหร่

 

แต่ตอนนี้ผมได้เจอกับตัวแล้ว จึงทําให้ผมได้เปิดมุมมองอีกครั้ง

 

แต่ผมไม่ได้เจอกับวิญญาณจิ้งจอก แต่เป็นจิ้งจอกชั่วตัวเป็นๆ

 

ลุงหลิวบาดเจ็บ ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น เขาทําอะไร ก็แค่ได้รับแจ้งให้ไปเก็บศพ หลังจากนั้นก็ทําตามขั้นตอนนําศพไปเผา เขาไม่ได้ทําเรื่องเลวร้ายเลยสักนิด 

 

แต่ผลลัพธ์ละ กลับถูกจิ้งจอกเฒ่าบุกมากัดคอเขาถึงที่ 

 

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆเหล่าฉินก็บ่นออกมา “ จู่ๆเจ้าจิ้งจอก เฒ่าก็มาและยังหาสุสานของพวกเราเจอ ถ้าเราจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ในอนาคตสุสานของพวกเรา ต้องร้อนเป็นไฟแน่ ! ”

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างรุนแรง “ แม่มันซิ เหล่าฉินสบายใจได้ พวกเราไม่ได้ทําอะไรผิด ก่อนเผาศพของจิ้งจอกตัวนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเป็นจิ้งจอก และอีกอย่าง ยังไงเราก็เผาไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นไม่ได้บอกว่าอยู่สันเขาหยางกวางเหรอ พรุ่งนี้พวกเราก็ไปหามัน ถ้ามันไม่เลิก พวกเราก็จะให้มันได้ไปไม่กลับ !”

 

เมื่อท่านนักพรตตูได้ยิน เขาก็พูดออกมาบ้าง “ ศิษย์พี่ ถึงเจ้าจิ้งจอกชั่วนี้จะต่อกรด้วยยาก แต่พวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย เราก็ไม่ใช่สิ่งที่มันจะแหย่เล่นได้ง่ายๆ ! ถ้าพรุ่งนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง พวกเราก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว !”

อาจารย์และท่านนักพรตตู้แสดงความคิดเห็นติดกัน เหล่าฉินเองก็กําลังโมโหสุดๆ

 

ลุงหลิวทํางานที่สุสานมา 10 กว่าปี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าฉิน

 

นอกจากเรื่องความสัมพันธ์แล้ว เขายังเป็นเพื่อนสนิท เขาเคยได้ดื่มสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานกับอาจารย์ของผมหลายต่อหลายครั้ง

 

ตอนนี้ลุงหลิวเกิดเรื่อง เหล่าฉินจึงโมโหเป็นฝืนเป็นไฟ

 

“ ึ ! ถ้าพรุ่งนี้เจ้าจิ้งจอกเท่านั้นไม่พูดกับฉันให้ชัดเจน ฉันก็จะเผาเจ้าเดรัจฉานนั้น ”

 

ตอนที่เหล่าฉินกําลังพูด หมอที่กําลังพันแผลให้ลุงหลิวกลับเดินออกมา “ ญาติผู้ป่วย !”

 

เมื่อได้ยินเสียงหมอเรียก พวกเราก็รีบเดินเข้าไปหา

 

“ คุณหมอ เพื่อนของผมเป็นยังไงบ้าง” เหล่าฉินพูด

 

“ ญาติทั้งหลาย แผลที่คอของผู้ป่วยค่อนข้างใหญ่ โรงพยาบาลของเราค่อนข้างมีข้อจํากัด างเรากําลังเตรียมตัวส่ง เขาไปโรงพยาบาลในเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่จําเป็น ! ” หมอพูดตรงมาก

 

เหล่าฉินพยักหน้า และพูดขอบคุณ

 

อาการบาดเจ็บของลุงหลิวเป็นยังไงบ้าง พวกเรารู้ดีที่สุด

 

ถูกจิ้งจอกเฒ่าฉีกเนื้อออกไปบางส่วน ถึงจะไม่ได้ทําลายเส้นเลือดใหญ่ แต่ตําแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก็เป็นคอที่เป็นอวัยวะสําคัญ

 

ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น มันจะอันตรายถึงชีวิต

 

ในเวลาเดียวกัน ท่านนักพรตตูก็เข้าไปดูอาการเขาคงที่แล้ว แต่ก็ยังมีอันตรายอยู่

 

ท่านนักพรตต์ให้ลุงหลิวกินยาพิเศษเม็ดหนึ่ง บอกว่ามันจะทําให้หัวใจของลุงหลิวเต้นสม่ำเสมอ

 

หลังจากนั้น เหล่าฉินก็ติดต่อคนในครอบครัวของลุงหลิว ต่อมาตัวเองก็ตามขึ้นรถพยาบาลไปโรงพยาบาลในเมือง เขาบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะกลับมา

 

ส่วนพวกเรา ก็แยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ แล้วค่อยไปสันเขาหยางกวางพร้อมกัน

 

ระหว่างทาง ผมถามอาจารย์ว่า อาจารย์รู้เรื่องจิ้งจอกไหม พวกมันต่อกรด้วยยากรึเปล่า จิ้งจอกแบบนี้มีพลังเยอะมากใช่ไหม

 

แต่อาจารย์กลับหัวเราะเล็กน้อย “ เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้สามารถพูดได้ แกว่าพลังของมันเยอะไหมละ ถ้าไม่มีพลังที่สะสมมาร้อยสองร้อยปี จะต้องพูดภาษาคนไม่ได้แน่นอน ! พรุ่งนี้ตอนไปสันเขาหยางกวางต้องเอาอาวุธไปให้พอ แม้แต่เสื้อเกาะป้องกันหัวใจก็ต้องเอาไป เพราะพวกจิ้งจอกชอบกินหัวใจคน ไม่อย่างนั้นอาจถูกกรงเล็บของมันควักหน้าอก…..”

 

อาจารย์อธิบายอย่างละเอียด เขาเครียดกับมันมากๆ

 

ผมฟังแล้วก็ยังตกใจและหวาดกลัว เพราะรู้ว่าจิ้งจอกเฒ่าจะต้องต่อกรด้วยยาก

 

หลังกลับมาถึงบ้าน อาจารย์กลับไม่พูดอะไรกับผมมาก เพียงบอกให้ผมพักผ่อนให้เพียงพอ เรื่องของวันพรุ่งนี้ ก็ค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง

 

ผมคิดถึงฉากที่จิ้งจอกเฒ่าปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพนั้นไม่จางหายไปซะที มันช่างน่ากลัวจริงๆ

 

เมื่อก่อนเคยได้ยินว่า จิ้งจอกที่ปีกกล้าขาแข็งแล้วไม่ใช่แค่พูดได้ มันยังสามารถแปลงเป็นคนได้

 

ตอนฟังผมไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ได้เห็นกับตาแล้ว ถึงผมจะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่ก็ค่อนข้างตกใจ

 

ผมนอนไม่หลับจริงๆ จึงนั่งสูบบุหรี่บนเตียง

 

แต่ผมเพิ่งจุดบุหรี่ ทันใดนั้นในห้องก็เย็นขึ้นมาทันตา เหมือนอุณหภูมิจะลดลงมาหลายองศา

 

จู่ๆก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทําให้ผมอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น สัญชาตญาณบอกผมว่าท่าไม่ดีแล้ว ในเวลาเดียวกันผมก็เริ่มระแวง

 

แต่ไม่รอให้ผมได้ทําอะไร ทันใดนั้นเสียงหวานๆ ก็ดังขึ้นในหัวของผม “ เจ้ากาก มาที่หลังเขา ! ”

 

เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นในหัวของผม วินาทีนั้นผมจึงตกใจทันที

 

แต่ต่อมาผมก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เพราะน้ำเสียงนี้ เป็นเสียงมู่หลงเหยียนผีเมียของผม

 

แต่ดึกดื่นขนาดนี้ ทําไมจู่ๆมู่หลงเหยียนถึงเรียกผมละ

ยัยขี้โมโหนี้ วันๆก็อยู่แต่ในบ้านผีที่ป่ากุ้ยหลินไม่ใช่เหรอ แล้วทําไมดึกขนาดนี้ เธอยังเรียกผมไปหาอีกละ

 

ผมพูดตามจิตใต้สํานึก “ ดึกขนาดนี้ มีอะไรเหรอ ” 

 

“ พูดมาก นายยังไม่หลับไม่ใช่เหรอ บอกให้มาก็มาเถอะ ! เร็วๆด้วยละ ถ้านายไม่มาละก็ฉันจะไปหาเอง ! ” มู่หลงเหยียนระเบิดพลังโมโห เธอขู่ผมทันที

 

ผมกลอกตา คงต้องทําตามที่มู่หลงเหยียนสั่งเท่านั้น

 

“ ได้ เดี๋ยวฉันไป !” ผมพูดด้วยความไม่พอใจ

 

ผลลัพธ์เสียงผมเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นมู่หลงเหยียนก็พูดออกมาอีกครั้ง “ เจ้ากาก นายไม่พอใจใช่ไหม ถ้านายกล้าลีลา นายตายแน่ ! ”

 

เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าผมก็เปลี่ยนไปทันที

 

ยัยผีเมียของผมดุร้ายจริงๆ ผมก็มีความรู้สึกนะ

 

ผมจะกล้าลีลาอยู่ได้ยังไง ผมรีบตอบกลับทันที “ อย่าอย่าอย่า ฉันจะรีบไป รีบไปเดี๋ยวนี้แหละ !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็รีบใส่รองเท้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบวิ่งติดจรวดออกจากบ้านไปทันที

 

ผมก็ไม่รู้ว่ามู่หลงเหยียนต้องการอะไร แต่ผมทําอะไรได้ล่ะ ! ใครใช้ให้ผีเมียของผมเป็นยัยขี้โมโหและยังเป็นผีผู้หญิงที่แตะต้องไม่ได้อีก

 

ผมวิ่งหน้าตั้ง เมื่อมาถึงหลังเขา ผมก็หายใจหอบเหนื่อย 

 

ผมไม่รู้ว่ามู่หลงเหยียนอยู่ที่ไหน ดังนั้นผมจึงตะโกนไปรอบๆป่า “ น้องศพ น้องศพ น้องศพเธออยู่ไหน… ” 

 

เสียงดังก้องไปทั่วป่า แต่ผมยังไม่เห็นมีอะไรออกมา ผมจึงตะโกนต่อ

 

“ น้องศพ น้อง”

 

ผลลัพธ์ผมยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นด้านหลังของผมก็มีเสียงมู่หลงเหยียนดังขึ้น “ เลิกตะโกนได้แล้ว ฉันอยู่นี่ !”

 

เมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างหลัง ผมก็รีบหันไปมองทันที 

 

เมื่อหันไป ผมก็เห็นสาวงามยืนอยู่ไม่ไกล

 

ภายใต้แสงจันทร์ ผู้หญิงในชุดกระโปรงลายดอกไม้สีขาว ปล่อยผมยาวสลวยเป็นสาวงามที่ทําให้ผู้คนต้องหวั่นไหวจริงๆ

 

นี่ไม่ใช่มู่หลงเหยียน แล้วจะเป็นใครได้ละ

 

“ น้องศพ เธออยู่นี่เอง!” ผมหัวเราะฮ่าๆ หลังจากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

มู่หลงเหยียนกลอกตาใส่ผม เมื่อเห็นผมวิ่งเข้ามา ทันใดนั้นเธอก็หยิบกล่องเล็กๆออกมาและยื่นให้ผมทันที “ นาย เอานี้ไป ! ”

 

ผมเห็นมู่หลงเหยียนยื่นกล่องให้ผม ผมจึงแปลกใจมาก

 

ผมสํารวจมันสักพัก เห็นเป็นกล่องแปลกตาดูไม่ธรรมดา มีลวดลายดอกไม้หลากสี และไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่ 

 

“ น้องศพ นี่คืออะไร ” ผมพูดด้วยความสงสัย

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับไม่พอใจ เธอพูดออกมาทันที “ บอก ให้เอาไปก็เอาไปซิ พรุ่งนี้ถ้าจิ้งจอกเท่านั้นกล้าทําอะไรรุนแรง นายก็หยิบเจ้านี้ออกมา”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset