ศพ – ตอนที่ 215 ถอยกลับ

ตอนที่ 215 ถอยกลับ

 

ฉากแปลกประหลาดนี้ ทําให้พวกเราทุกคนตกตะลึง 

 

จนกระทั่งหมอกดํากลับเข้าไป พวกเราก็ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

 

ทุกคนก้มมองกล่องบนพื้น พร้อมกับทําหน้าเหวอ

 

ส่วนจิ้งจอกทั้งสามตัว ยังคงกลัวเหมือนเดิม ตอนนี้พวกมันตัวสั่น ค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้น

 

เมื่อเห็นจิ้งจอกสามตัวลุกขึ้นอีกครั้ง พวกเราถึงได้สติกลับคืนมา ในเวลาเดียวกันก็แสดงท่าทางหวาดระแวงทันที

 

เมื่อกี้พวกเราฟังเสียงในหมอกสีดํา ชัดเต็มสองรูหู เขาสั่งให้พวกมันกลับไปที่เขาจิ้งจอกหรืออะไรสักอย่างแล้วคอยฟังคําสั่ง

 

ความหมายในคําพูดชัดเจน จิ้งจอกทั้งสามตัว ไม่ใช่จิ้งจอกชั่ว

 

แต่เป็นเพราะได้รับคําสั่งให้ลงเขา มาปกป้อง “ บ้านเซียน ”

 

ดูเหมือน บอสขาใหญ่ในภูเขาลูกนี้ จะไม่พอใจกับการกระทําของพวกมันเป็นอย่างมาก

 

มองจากสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือพวกเราอีกแล้ว เพราะมีคนมาจัดการพวกมัน ระบายความโกรธให้พวกเรากับลุงหลิวแล้ว

 

ตอนนี้ ขอแค่จิ้งจอกทั้งสามตัวไม่เล่นลูกไม้กับพวกเรา พวกเราก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับพวกมันอีกแล้ว

 

ขณะที่จิ้งจอกสามตัวลุกขึ้น สีหน้าและท่าทางของพวกมันก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติ

 

ตอนนี้พวกเราได้ยินสาวน้อยคนนั้นพูดกับจิ้งจอกเฒ่าว่า “ ปู่ ตอนนี้ ตอนนี้พวกเราจะทํายังไงดี ”

 

เมื่อตาแก่ได้ยินคําพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่กวาดสายตามาทางพวกเรา หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ ชั่งเถอะชั่งเถอะ ! พระแม่สั่งแล้ว พวกเรารีบกลับเขาจิ้งจอกก่อนเถอะ ! หวังว่ากลับไปครั้งนี้ พวกเราจะยังมีโอกาสได้ลงเขาชูหม่าอีก”

 

หลังจากพูดจบ ตาแก่คนนั้นยังหันมามองพวกเราตามจิตใต้สํานึก

 

ไม่ใช่แค่นี้ เขายังส่งสายตาจ้องที่ตัวผม “เจ้าเด็กน้อยคิดไม่ถึงว่าแกจะมีสมบัติล้ำค่าแบบนี้ ถึงกับสามารถติดต่อกับพระแม่ของเราได้ เป็นเพราะข้าดูถูกพวกแกเอง ! ถ้ายังอยู่ร่วมโลกกัน สักวันพวกเราอาจมีชะตาได้เจอกันอีก ” 

 

หลังจากพูดจบ ตาแก่ก็หันไปพูดกับจิ้งจอกสองตัวว่า “ พวกเรากลับ ! ”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง จิ้งจอกเฒ่าก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เขาหมุนตัว ทันใดนั้นหมอกสีดําก็ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้

 

เมื่อเขาออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง หมอกสีดําก็กระจายตัวหายไปจนหมด

 

รูปร่างมนุษย์ของตาแก่ก็หายไปเช่นกัน ตอนนี้เขากลายร่างเป็นจังจอกเฒ่าดังเดิม

 

จิ้งจอกเฒ่าไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ต่อ เขาใช้ปากคาบโกศเอาไว้ หลังจากนั้น ก็วิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนสองคนที่เหลือ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

 

วินาทีที่พวกเธอหมุนตัว หมอกสีดําก็เข้ามาห่อหุ้มกาย หลังจากนั้นก็กลายร่างเป็นจิ้งจอก

 

พวกมันวิ่งไปพร้อมกับจิ้งจอกเฒ่า เข้าไปในป่า และหายไปจากสายตาของพวกเราอย่างรวดเร็ว

 

ขณะมองจิ้งจอกเฒ่าจากไป พวกเราก็ไม่พูดอะไร หรือพูดได้ว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

นอกจากอารมณ์ของผมจะไม่ค่อยมั่นคงแล้ว ท่าทีของอาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ ต่างกลับมาสงบอย่างรวดเร็ว

 

เพราะมีชีวิตมาจนถึงอายุของพวกเขา และยังทํางานในสายงานนี้มานานขนาดนี้

 

สัตว์เดรัจฉานที่แข็งแกร่งแบบนี้ พวกเขาก็คงเคยเจอมาแล้วไม่น้อย

 

โดยเฉพาะท่านนักพรตตู๋ เคยใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรมาก่อน เขาคงคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้แล้ว

 

ตอนนี้จิ้งจอกทั้งสามตัวได้จากไปแล้ว ท่าทางของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปมากนัก เพียงพูดออกมาเป็นคนแรกเท่านั้น “ ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะไม่ใช่จิ้งจอกชั่ว ในเมื่อมีคนมาสั่งสอนมันแทนพวกเราแล้ว งั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ !”

 

จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็พูดแบบนั้นออกมา ทุกคนจึงพยักหน้าให้ แสดงความเห็นด้วย

 

ถึงจะอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

 

ผมกวาดสายตามองรอบๆ คิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ ทันใดนั้นผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกําลังฝันอยู่

 

จิ้งจอกหนึ่งตัว กลับกลายร่างเป็นคนในชั่วพริบตา แถมการวางตัวของเขา ยังเหมือนกับคนไม่มีผิด

 

ถึงตอนเด็กผมจะเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาไม่น้อย หรือแม้แต่เห็นละครประเภทนี้ในทีวีบ่อยๆ

 

แต่ครั้งนี้ผมได้เจอตัวเป็นๆ ในใจของผมจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวและตกใจ

 

“ เสี่ยวฝาน ยังยืนมื้อหาอะไรอยู่ กลับกันได้แล้ว !” อาจารย์พูดออกมาอย่างฉับพรัน

 

“ อือ ! อือ ! ไปเดี๋ยวนี้แหละ !” ผมรีบตอบกลับ ตอนนี้ ผมเพิ่งรู้ว่าอาจารย์และคนอื่นๆเริ่มเดินกลับกันแล้ว

 

ดังนั้นผมจึงรีบเก็บกล่องไม้บนพื้น ในเวลาเดียวกันก็วิ่งตามพวกเขาไปทันที

 

แม้จะไม่รู้ว่าเจ้ากล่องลึกลับนี้คืออะไร ทําไมมู่หลงเหยียนถึงมีของสิ่งนี้ แต่เรื่องนั้นไม่สําคัญอีกแล้ว สิ่งสําคัญคือมู่หลงเหยียนช่วยผมเอาไว้อีกครั้ง

 

หลังจากผมตามทันทุกคน ผมก็ได้ยินอาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และเหล่าฉันกําลังคุยกัน

 

ผมได้ยินเหล่าฉันพูดออกมาจากความรู้สึกลึกๆ “ ตอนเป็นวัยรุ่น ฉันตามอาจารย์ฝึกวิชา ได้ยินอาจารย์พูดว่าในภูเขามีหุบเขาแห่งหนึ่ง รูปร่างเหมือนจิ้งจอกมองจันทร์ เรียกว่าเขาจิ้งจอก ผู้ที่อาศัยบนเขาจิ้งจอก ล้วนเป็นจิ้งจอกที่แข็งแกร่ง เมื่อก่อนฉันคิดว่า นี่เป็นแค่เรื่องเล่า แต่คิดไม่ถึงคิด ไม่ถึงจริงๆว่านี่จะเป็นเรื่องจริง บนโลกนี้มีเขาจิ้งจอกอยู่จริงๆ ”

 

เมื่ออาจารย์และท่านนักพรตตู๋ได้ยิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขึ้น

 

ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “ คนมีบ้าน ผีมีสุสาน เป็นธรรมดา ที่ปีศาจเองก็ต้องมีบ้านเช่นกัน แต่เจ้าจิ้งจอกพวกนี้ร้ายกาจจริงๆ โชคดีที่พวกมันกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องสู้กันอย่างยากลําบากแน่ ! ”

 

เหล่าฉินและท่านนักพรตตู๋พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าจิ้งจอกเฒ่านั้นแข็งแกร่งจริงๆ

 

แม้พวกเขาสามคนจะร่วมมือกัน แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ จะเห็นได้ว่าพลังแตกต่างกันขนาดไหน

 

แต่ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋กลับเปลี่ยนเรื่อง เขาหันมาทางผมและอาจารย์ “ เหล่าติง เสี่ยวฝานเมื่อกี้กล่องที่ใช้คือสมบัติอะไรเหรอ ฉันขอดูหน่อยได้ไหม ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้อาจารย์ก็เป็นใบ้ เขาหันมามองผมทันที

 

เพราะกล่องไม้เป็นสิ่งที่มู่หลงเหยียนให้มา อาจารย์เองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือที่มาของกล่องมาจากไหน และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจตัดสินใจแทนผมได้

 

ดังนั้นตอนนี้อาจารย์ จึงหันมามองตาผม ไม่ได้ตอบกลับทันที

 

ท่านนักพรตตู๋ร่อนเร่พเนจรมาหลายปี เป็นธรรมดาที่เขาจะสามารถสังเกตคนจากสีหน้าและคําพูดได้

 

ตอนนี้จู่ๆอาจารย์ก็เป็นใบ้ เผยท่าทางอึดอัดใจ เขาจึงรู้ทันทีว่าอาจารย์ไม่อยากพูด

 

ทํางานในสายงานของพวกเรามีข้อห้ามเยอะมากมาย

 

นอกจากข้อห้ามบางอย่างแล้ว วิชา หรือวิชาลับของสํานักต่างๆ ก็ยังห้ามนําไปบอกกับคนนอก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถเล่าให้คนรอบข้างฟังได้ง่ายๆ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่านนักพรตตู๋ก็คิดว่าตัวเองล้ำเส้นเกินไป

 

เขารีบหยุดบทสนทนาทันที “ เหล่าติง ฉันพูดมากเอง ในเมื่อมันเป็นความลับ งั้นฉันก็จะไม่ถามแล้ว ”

 

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ยังหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ออกมา เพื่อสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้น

 

แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหยิบกล่องไม้ออกมา จากนั้นก็พูดว่า “ ท่านนักพรตตู๋เอาไปดูซิครับ แต่พวกเรา ไม่รู้ว่ากล่องนี้เรียกว่าอะไร และยังเคยใช้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนไม่เคยเปิดมันเลย ปกติ ก็ไม่สามารถเปิดได้ตามใจชอบ ! ดังนั้นเรื่องที่มันเป็นสมบัติอะไรนั้น พวกเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ส่วนเรื่องที่มา พวกเราบอกไม่ได้จริงๆ… ” 

 

ผมพูดออกมาตรงๆ สิ่งที่ผมพอจะบอกท่านนักพรตตู๋ได้ก็มีแค่นี้

 

เมื่อท่านนักพรตที่ได้ยินแบบนั้น เขาก็ตกใจทันที

 

แต่เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็คิดว่ากล่องไม้นี้อาจเป็นเรื่องต้องห้ามหรืออาวุธที่สืบทอดกันมาของบ้านเรา 

 

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่พบเจอกันบ่อยๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็มีความลับและวิชาลับของลัทธิเต๋ที่ไม่อาจเปิดเผยให้คนนอกรู้ได้เช่นกัน

 

ตอนนี้เมื่อเห็นผมเต็มใจให้เขาดูกล่อง เขาก็พอใจมากแล้ว

 

ส่วนเรื่องที่มา เขาไม่ได้สนใจมากนัก

 

ฉากเมื่อกี้ เขาเห็นมันกับตา สําหรับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างเขา

 

เงินทองหรืออํานาจ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ

 

แต่สําหรับพวกวิชาและสมบัติลึกลับแล้ว มันดึงดูดเขาไม่รู้จักจบ

 

ตอนที่เห็นกล่อง เขาก็แค่อยากตอบสนองความต้องการของตัวเอง

 

ถึงจะแค่ได้จับ แค่ได้ดู ไม่สามารถเปิดได้ ดูแต่ด้านนอก เขาก็พอใจแล้ว

 

ดังนั้นท่านนักพรตตู๋จึงดีใจ รีบขานรับผมทันที “ ดีดีดี ! ฉันขอดูแป็บเดียว แป็บเดียวเท่านั้น ! จะไม่ถามอะไรเลย ”

 

ขณะที่พูด ท่านนักพรตตู๋ก็รับกล่องไปถือเอาไว้แล้ว

 

เหล่าฉันเองก็เข้ามา เขาเองก็อยากดูบ้างเช่นกัน

 

พวกเขาเดินไป มองไป เหล่าฉันมองไม่เห็นอะไรผิดปกติ เขาแสดงสีหน้ามึนงงตลอดทาง

 

แต่ท่านนักพรตตู๋มีความรู้กว้างขวาง ตอนนี้เขามองออกว่ามีบางอย่างอยู่ข้างใน

 

เขาพยักหน้ารัวๆ ท้ายที่สุดหลังจากเห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่ด้านล่างกล่อง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ “ อือเป็นของดี เป็นของดีจริงๆ ฉันเดินทางมาหลายปี ได้เห็นของดีแบบนี้น้อยมาก ไม่แปลกใจเลยที่มันสามารถติดต่อกับนางพญาจิ้งจอกได้…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset