ศพ – ตอนที่ 22 เรียกว่าน้องศพ

ผมตกตะลึงในความสวยของผีเมีย ในเวลานั้นผมมองจนลืมตัว

เพราะตั้งแต่ผมโตมา ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน

และเธอคนนี้ยังไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเมียผม

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมตื่นเต้น แปลกใจ และลุ่มหลงได้ยังไงละครับ

แต่ใครจะไปรู้จู่ๆผีเมียก็หันมาด่า จนสุดท้ายก็ทำให้ผมได้สติ

ผมแสดงท่าทางที่เขินอายออกมา “เอ่อ เอ่อฉันชื่อติงฝาน เธออย่าเรียกฉันว่าผู้ชายกากได้ไหม อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้กาก”

 

ในใจของผมร้องตะโกนว่ามันไม่ยุติธรรม! ดังนั้นผมจึงต้องพูดแก้ตัวให้ตัวเอง

แต่ผีเมียกลับทำสีหน้าไม่ชอบใจ เธอพูดฮึออกมาอย่างเย็นชา และทำท่าจะเดินจากไป

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมจึงรีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรเรียกเธอว่าอะไร จึงพูดออกไปตรงๆ “เอ่อ เอ่อพี่สาว คุณยังไม่ได้บอกชื่อกับฉันเลยนะ!”

ผมไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่รู้ว่าผีเมียตายไปแล้วกี่ปี

เรียกเธอว่าพี่สาว น่าจะเหมาะสมแล้วมั้ง

แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เสียงของผมพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผีเมียก็พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห “ไอ้กาก แกเรียกใครว่าพี่สาวฮะ ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยซินะ”

 

ใบหน้าของผมอดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย  นี่ผมเรียกแบบบริสุทธิ์ใจนะ!

ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับทหาร นี่มันทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นพิเศษแบบนี้

“เอ่อ งั้นเธอต้องบอกฉันว่า ควรเรียกเธอว่ายังไง” ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ตอนนี้ผมมองออกแล้ว แม้ผีเมียจะสวย แต่เธอเหมือนกับจะมีนิสัยที่ผมทายไว้ก่อนหน้านี้เป๊ะ โมโหโคตรง่าย เป็นผู้หญิงที่อารมณ์รุนแรงสุดๆ

ผีเมียเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาๆ “ฉันชื่อมู่หลงเหยียน……”

เมื่อผมได้ยินชื่อ “มู่หลงเหยียน” สามคำ ก็รู้สึกว่ามันเพราะดี

 

ขณะที่กำลังจะเรียกชื่อของเธอ  แต่ทันใดนั้นเธอก็ชิงพูดออกมาก่อน “แต่ ฉันไม่อนุญาตให้นายเรียกชื่อฉัน และยังห้ามเอาชื่อฉันไปบอกกับคนอื่น! ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะดูดพลังนายให้เกลี้ยง!”

ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนยังทำท่าทางข่มขู่ผมอีกด้วย

ในใจผมรู้สึกว่ามันแปลก คุณคิดว่าชื่อเขาไม่ได้เอาไว้ใช้เรียกกันอย่างงั้นเหรอ ไม่ให้เรียกชื่อ แถมยังไม่ให้ผมพูดด้วย

ผมคิดว่าผีเมียของตัวเอง ก่อนตายเธอคงได้รับบาดเจ็บทางสมองรึเปล่า ถึงได้มีความผิดปกติทางจิตใจแบบนี้

 

“ถ้าไม่ให้เรียกเมีย ไม่ให้เรียกพี่สาว  แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ให้พูด แล้วจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร” ผมทำหน้ามึนงง

มู่หลงเหยียนเงียบไปครู่นึง เธอกำลังครุ่นคิด จากนั้นก็พูดกับผมอีกครั้ง “ตอนฉันมีชีวิตเคยเรียนเกี่ยวกับศพ นายเรียกฉันว่าน้องศพก็แล้วกัน!”

ขณะนั้นผมยังไม่ค่อยได้สติ จึงได้ยินคำว่า “ศพ” กลายเป็น “ศิษย์”

ดังนั้นผมจึงยิ้มกว้างออกมา และเรียกว่า “ศิษย์น้อง”

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดเพิ่ม “อย่ามาเรียกมั่วซั่ว! ศพโว้ยศพ ต่อไปป้ายวิญญาณนิรนามที่อยู่ในบ้าน ก็เขียนชื่อนี้ลงไป”

ศพงั้นเหรอ ทำไมมันแปลกประหลาดแบบนี้กันนะ

 

ผมรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อมู่หลงเหยียนพูดมาขนาดนี้ ผมก็คงได้แต่ทำตาม

อีกอย่างผีเมียก็อารมณ์ร้าย และยังร้ายกาจอีกต่างหาก

ถ้าผมขัดใจเธอขึ้นมา ไม่แน่เธออาจจะเล่นลูกไม้อะไรใส่ผมอีกก็ได้

ผมจึงพูด “อือ” ออกมา เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นผมตกลง เธอก็พูดกับผมอีกครั้ง “โอเค ส่วนผีชั่วตนนั้นถูกฉันทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว คงไม่มาก่อกวนนายไปอีกสักพัก จากนี้พวกนายก็คิดหาวิธีล่อมันออกมาแล้วก็จัดการละกัน”

ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็เดินเข้าไปในป่า

เมื่อเห็นเธอกำลังจะจากไป ผมก็รีบตะโกนขึ้นมาทันที “มู่หลง……ไม่ๆ น้องศพเธอจะไปไหน”

 

มู่หลงเหยียนไม่หันหลังกลับมา เธอแค่พูดว่า “กลับสุสานไร้ญาติ!”

เมื่อได้ยินสามคำนี้ ผมก็เผยสีหน้าอึดอัดใจ และไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

แต่วินาทีนั้นร่างของมู่หลงเหยียน ก็หายไปในเงามืดของป่าอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนหายไป ผมก็เคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหน้าของอาจารย์และเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นก็เขย่าทั้งสองคนสองถึงสามครั้ง

อาจารย์ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เฟิงเฉ่วหานได้รับบาดเจ็บทางสมอง เขาจึงสลบไม่ฟื้นเลย

แต่สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก หายใจก็เป็นปกติ บางทีอาการของเขาอาจจะไม่หนักมาก

อาจารย์ส่ายหัวสองสามครั้ง และหันมามองผมอย่างอ่อนล้า “ฉัน ฉันเป็นอะไรไป แล้วฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง”

 

เมื่อผมเห็นอาจารย์ได้สติ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที จึงรีบพูดกับอาจารย์ “อาจารย์ ถูกผีชั่วเข้าสิงครับ!”

“อะไรนะ ฉันถูกเข้าสิง” อาจารย์ทำหน้าตกตะลึง มองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง

“อาจารย์ไม่เป็นอะไรแล้ว มันถูกตีจนหนีไปแล้วครับ……” ผมพูดออกมาตรงๆ ในเวลาเดียวกันยังเล่าเรื่องการปรากฎตัวของผีเมีย นำเรื่องที่ผีชั่วถูกตีเล่าให้อาจารย์ฟัง

หลังจากอาจารย์ได้ยิน เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “ยังดี ยังดี คิดไม่ถึงว่าพลังของผีชั่วตนนี้จะสูงได้ถึงขนาดนี้ มันสามารถเข้าสิงร่างของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย !”

ขณะที่อาจารย์ถอนหายใจออกมา ในป่าใกล้ๆ กลับมีร่างของคนสองคนปรากฎขึ้น

 

เมื่อทั้งสองคนปรากฎตัว ก็ได้ยินเสียงของเหล่าฉินทันที “เหล่าติง นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เมื่อมองตามเสียง ก็พบชายสองคนที่พลัดหลงกับอาจารย์เมื่อก่อนหน้านี้ นักพรตตู๋และเหล่าฉินนั้นเอง

“เหล่าฉิน ฉันไม่เป็นอะไร” อาจารย์ตอบกลับ

นักพรตตู๋และเหล่าฉินมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของอาจารย์ และเฟิงเฉ่วหานที่นอนสลบอยู่บนพื้น ก็ถามขึ้นทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ผมกำลังจะเล่า อาจารย์ก็กลัวว่าผมจะพูดอะไรไม่ดีออกไป จึงชิงพูดก่อน

บอกว่าเขาโดนผีชั่วสิง จากนั้นก็หันหลังกลับ และเข้ามาทำร้ายผม

 

แต่สุดท้ายผมกลับไม่รู้อะไร จึงใช้กระจกแปดทิศทำให้ผีชั่วนั้นตกใจจนออกมา

ในที่สุดผมและอาจารย์ก็ร่วมมือกัน ต่อสู้กับผีชั่วตนนั้น แต่ผีชั่วนั้นดันหนีหายไปก่อน

อาจารย์เล่าเรื่องทั้งหมดโดยไม่ได้เอ่ยถึงผีเมียเลยสักนิด แต่นักพรตตู๋ก็ไม่ได้สงสัย เขาลูบเคราของตัวเองไปมา บอกว่าผีชั่วตนนั้นเป็นผีน้ำ จะหนีจากน้ำนานไม่ได้

บอกว่าหลังจากที่ผมใช้กระจกแปดทิศทำให้ออกมาแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะหมดเวลา ดังนั้นจึงต้องกลับไป

ที่นักพรตตู๋พูดก็ถูก ผีชั่วตนนั้นออกจากน้ำนานเกินไป และยังทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น แต่สิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงก็คือระยะเวลาที่มันจะอยู่นานได้ถึงขนาดนี้

 

และแล้วเรื่องในคืนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องผีเมียมู่หลงเหยียนนั้น กลับถูกโยนทิ้งไปทั้งแบบนั้น

นักพรตตู๋และเหล่าฉิน ก็เล่าเรื่องที่พวกเขาเจอหลังจากนั้นให้ฟัง

หลังจากที่พวกเขาออกจากบ้าน ก็ไล่ตามผีชั่วมาตลอด

ไม่คิดเลยว่าจะถูกล่อให้ไปอีกทาง ร่างคนแก่ที่ผีชั่วนั้นใช้ ทำให้พวกเขาเดินเป็นวงกลม

สุดท้ายก็สัมผัสถึงพลังหยินของอาจารย์ จึงหันหลังกลับมาทันที แต่ระหว่างทางกลับเจอผมและเฟิงเฉ่วหานโดยบังเอิญ

โชคดีที่ผมยังมีสติ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ศพของผมทั้งสองคนคงแช่อยู่ในแอ่งน้ำไปแล้ว

 

หลังจากทุกคนเล่าประสบการณ์ในคืนนี้จบ พวกเราก็นำตัวเฟิงเฉ่วหานกลับไปที่หอพักของสุสาน

เจ้าเด็กนี้ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อกลับไปถึงหอเพียงดื่มซุปขิงเข้าไปนิดหน่อย เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว และคืนนี้ผีชั่วตนนั้นคงไม่กลับมาอีก

ดังนั้นหลังจากนักพรตตู๋และคนอื่นๆพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว  ผมและอาจารย์ก็กลับมายังร้าน

เรื่องนี้คงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า ถึงจะหาลือกันใหม่ได้

แต่ว่าผีเมียก็พูดแล้ว เธอทำให้ผีชั่วนั้นบาดเจ็บสาหัส

แค่คิดหาวิธี ล่อผีชั่วออกมาจากน้ำ จากนั้นก็จัดการมันได้ง่ายๆแล้ว……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset