ตอนที่ 220 เย่เฟิง
เมื่อได้ยินคําพูดของมู่หลงเหยียน ผมก็งงทันที
เธอบอกว่าผมเป็นผู้ชายต่ำช้า มู่หลงเหยียนยกความผิดทุกอย่างมาให้ผมงั้นซิ
ผมละอยากจะเถียงกลับจริงๆ มันไม่ใช่ว่าเธอบังคับฉันเองเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอทรมานฉัน ทั้งตีทั้งบีบ ฉันจะทําแบบนี้เหรอฮะ
แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเมื่อกี้รีบร้อนไปหน่อย จนเกือบได้กินตับของยัยนี้แล้ว ผมจึงตกเป็นฝ่ายเอาเปรียบเธออยู่ดี
มู่หลงเหยียนเห็นผมไม่พูดอะไร เธอจึงบ่นขึ้นมาอีกครั้ง “ ต่อไปฉันจะไปคิดบัญชีกับนายอีกที แต่ตอนนี้นายต้องถือไก่เหลืองออกไปรับแขกกับฉันก่อน พอแขกมาถึง นายแค่แสดงละครกับฉันให้ดีๆก็พอแล้ว !”
“ แสดงละคร แสดงละครอะไร” ผมพูดด้วยความสงสัย
เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยิน เธอก็โมโหนิดหน่อย “ ยังจําเรื่องที่ฉันบอกนายครั้งที่แล้วได้ไหม วันนี้เขามาแล้วและเป็นคนที่มีอํานาจคนหนึ่งด้วย ”
เรื่องที่บอกเมื่อครั้งที่แล้วงั้นเหรอ ผมเงียบไปพักหนึ่ง ครั้งที่แล้วที่มาที่นี่ เป็นงานวันเกิดอายุครบ 300 ปีของมู่หลงเหยียน
ตอนนั้นมู่หลงเหยียนกับผมแสดงละครเป็น “ คู่รักกัน” นั่นก็เพื่อทําให้แขกในงาน และคนที่ตามตื้อเธอหลงเชื่อด้วย
และหนึ่งในคนที่มาตามตื้อเธอ ยังเป็นคนที่มีหน้ามีตามาก น่าจะเป็นคนค่อนข้างมีอํานาจ มู่หลงเหยียนไม่สามารถแหย่เขาได้ และทําให้ไม่พอใจไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นตอน นั้นเธอจึงให้ผมออกไปแสดงเป็นคนรัก
ส่วนเรื่องที่เหลือ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ
แต่สิ่งที่มู่หลงเหยียนพูด ก็น่าจะหมายถึงเรื่องนี้มั้ง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็พยักหน้าให้มู่หลงเหยียนเล็กน้อย “ จําได้ ครั้งนี้แขกของเธอก็คือคนที่มีอํานาจมหาศาลนั้นเหรอ”
“ อือ ! เป็นเพราะยัยโจวหยุนปากปลาร้านั้นแหละ พูดจามั่วชั่ว บอกว่านายกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกัน พอข่าวแพร่ออกไป ตอนนี้เขาเลยมาบุกถึงบ้าน แต่พวกเราจะทําให้เขาไม่พอใจไม่ได้ และในระยะเวลา 3 ปีนี้ ฉันก็ยังต้องพึ่งพาอํานาจนี้ เรียกได้ว่าขาดไม่ได้เลยละ ” มู่หลงเหยียนอธิบาย เธอระบายเรื่องทุกข์ใจออกมา
แม้โจวหยุนจะพูดถูก พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เป็นเพียงแค่คู่สามีภรรยาจอมปลอม และยังไม่ใช่สามีภรรยาที่รักกันด้วยซ้ำ
แต่งานแบบนี้ ผมกลับเต็มใจช่วยมู่หลงเหยียน
มู่หลงเหยียนเห็นผมไม่พูดจา เธอจึงพูดออกมาอีกครั้ง 4 เจ้ากาก นายห้ามแสดงพิรุธเด็ดขาดนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทําให้นายกินไม่อิ่มนอนไม่หลับแน่ !”
เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนขู่ ผมก็หน้าทิ้งทันที ผมแตะต้องยัยผีเมียนี้ไม่ได้จริงๆ
แต่เมื่อลองคิดอีกแบบหนึ่ง ผมก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหนกันแน่
ถึงทําให้มู่หลงเหยียนกลัวได้ขนาดนี้ เธอถึงกับคิดวิธีแบบนี้ออกมา บอกให้ผมไปเป็นโล่ให้เธอ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยไร้สาระ ผมตอบกลับพร้อมกับสีหน้าเรียบนิ่ง “ วางใจได้ ! ฉันจะร่วมมือกับเธออย่างดี !”
“ งั้นก็ดี ! ตอนนี้พวกเราออกไปกันเถอะ !” หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็เก็บกล่องไม้ หลังจากนั้นก็เดินตรงไปที่ประตู
ผมไม่ได้อยู่นิ่ง เดินตามมู่หลงเหยียนออกไปเช่นกัน
พวกเราเพิ่งออกจากห้อง ทันใดนั้นก็เห็นยายโม่ กําลังมองพวกเราด้วยรอยยิ้ม เธอตะโกนมาทางพวกเราเบาๆ “ คุณหนู คุณผู้ชาย ! แขกมาถึงแล้วเจ้าค่ะ !…”
มู่หลงเหยียนพยักหน้ารับ “ คนของตระกูลเย่มาถึงแล้ว พวกเราเองก็เข้าไปกันเถอะ !”
ขณะที่พูด ทุกคนก็เริ่มเดินออกไปข้างนอกสวนหย่อม
ผมเดินอยู่ข้างๆมู่หลงเหยียน ในมือถือไก่เหลืองและไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเรากําลังเดินไปที่ห้องโถ่งกลาง
บ้านผีหลังนี้ใหญ่มาก พวกเราเดินผ่านระเบียงทางเดินถึงสองเส้น สุดท้ายก็มาถึงบริเวณห้องโถ่งที่แขกรออยู่
พวกเราเพิ่งเข้ามาในลานบ้าน ทันใดนั้นผมก็เห็นด้านในมีใครหลายคนยืนอยู่
คนพวกนี้ล้วนแต่มีสีหน้าเรียบนิ่ง สวมใส่ชุดสีดํา ที่เอวมีดาบคาดไว้ ทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่ขนาบข้างของสวนหย่อม จนเรียกได้ว่านิ่งอย่างกับท่อนไม้
แต่ตอนนี้ผมใช้ตาสวรรค์มอง ผมเห็นชัดมาก คนชุดดําพวกนี้ไม่ใช่คน และไม่ใช่หุ่นกระดาษ พวกเขาคือวิญญาณ
และในห้องโถ่ง กลับมีชายชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่
ผู้ชายคนนั้นหันหลังให้กับพวกเรา ในมือถือพัดสีขาว ตอนนี้กําลังพัดไปมา ท่าทางเหมือนกับคุณชายในสมัยก่อนไม่มีผิด
เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นสิ่งนี้ เธอก็พูดกับผมว่า “ เขานั่นแหละ ที่เป็นนักรบวิญญาณหนึ่งในห้าของโลก เย่เฟิง !”
วงการของมู่หลงเหยียนก็มีแต่ผี ไม่ว่าจะเป็นแขกที่หุบเขาสามแห่งภูเขาห้าลูกก็ล้วนเป็นวิญญาณทั้งนั้น
ในฐานะที่ผมเป็นคน จะเข้าใจนักรบวิญญาณอันดับที่ห้าได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่รู้จักเย่เฟิงอะไรนี้ด้วย
แต่เมื่อพูดถึงเจ้าเด็กนี้ หัวใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมา
เมื่อคิดว่าของของตัวเองกําลังโดนคนอื่นจ้องอยู่ใจของ ผมก็รู้สึกแปลกๆ
ไม่ว่าจะพูดยังไง ผมและมู่หลงเหยียนก็แต่งงานกันแล้ว ตอนนี้มู่หลงเหยียนเป็นภรรยาของผม
แต่เจ้าเด็กนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพวกเราแต่งงานแล้ว มันยังหน้าด้านมาหาเรื่องถึงที่ จึงเป็นธรรมดาที่จะทําให้ผมรู้สึกรังเกียจ
หัวใจผมเต้นแรง และไม่สนใจชายชุดดําที่อยู่รอบข้าง ผมใช้มือคว้าเอวมู่หลงเหยียนมาโอบไว้ทันที
เอวของเธอบางมาก จึงทําให้ผมเพลิดเพลินกับสัมผัสที่มือ
แต่มู่หลงเหยียนกลับตกใจ ก่อนหน้านี้เธอถูกจู่โจมมาก่อน ตอนนี้ยังถูกโอบเอวเอาไว้อีก มันจึงทําให้เธอทําตัวไม่ค่อย
“ นายทําอะไร ” มู่หลงเหยียนแสดงสีหน้าตกตะลึง และยังพลั้งปากพูดออกมา
แต่เย่เฟิงอยู่ข้างใน ข้างๆยังมีพวกผีชุดดํายืนอยู่ ดังนั้นเธอจึงแสดงท่าที่ออกมาไม่ได้มากนัก และตอนนี้เธอยังไม่สามารถหลุดพ้นจากมือหนาๆของผมได้
ผมแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ อย่าขยับ ไม่อยากแสดงละครแล้วเหรอ มันต้องแสดงให้เป็นธรรมชาติและถึงพริกถึงขิงหน่อยไง !”
หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเอาความกล้ามาจากไหน ทันใดนั้นผมก็เปลี่ยนเป็นคนใจกล้าหน้าด้าน ออกแรงที่มือ ดึงมู่หลงเหยียนและตัวผมให้เข้ามาใกล้กันอีกหน่อย
มู่หลงเหยียนทั้งตกใจและโมโห แต่เธอทําอะไรไม่ได้ต้องทําตามน้ำเท่านั้น
แต่ในจิตใต้สํานึกของผมกลับไม่มีความคิดอื่นอีก นอกจากอยากทําให้เจ้าผีเย่เฟิงตนนี้ออกไป
ผมจับมู่หลงเหยียนเอาไว้ แล้วเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เมื่อเข้ามาใกล้ห้องโถ่ง จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดว่า “ คุณชายเย่รอนานแล้วใช่ไหมคะ !”
ตอนนี้น้ำเสียงของมู่หลงเหยียนนุ่มนวลมาก เห็นได้ชัดว่า เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและใจดี ไม่เหมือนผู้หญิงขี้โมโหที่อยู่กับผมเมื่อกี้เลยสักนิด ราวกับเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่เสียงของเธอเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นผู้ชายที่ถือพัดขาว ก็หมุนตัว เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
แต่ ตอนที่ผมมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ร่างกายของผมก็แข็งที่อ จนอีกนิดเดียวก็แทบจะร้องตะโกน อกมาแล้ว
ตอนเห็นข้างหลัง เขาเป็นคนตัวสูง ในมือถือพัดขาว ที่เอวมีจี้หยกห้อยอยู่
แต่สิ่งที่ทําให้คนต้องประทับใจก็คือ นี่จะต้องเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา หรืออาจไม่ต่างอะไรกับคุณชายผู้สง่างามเลยก็ได้
แต่สิ่งที่ผมคิดไม่ถึงคือ วินาทีที่ผู้ชายคนนั้นหันมา ผมกลับเห็นกระโหลก
ไม่ผิดแน่ มันคือกระโหลกจริงๆ
ผู้ชายคนนี้ชื่อว่าเย่เฟิง เขาไม่มีใบหน้าของมนุษย์ แต่เป็นกระโหลกสีขาว
ในกระโหลกอันนั้น ยังมีลูกตาสีเขียวเคลื่อนไหวไปมา แต่ส่วนอื่นๆกลับเป็นโครงกระดูกสีขาวทั่วๆไป
ดวงตาของผมเบิกกว้าง แสดงสีหน้าตกตะลึง การหายใจของผมเริ่มเร็วขึ้นทันที
เหมือนลูกตาสีเขียวที่อยู่ในกระโหลกกําลังมองต่ำ มองมือของผมที่โอบเอวของมู่หลงเหยียนเอาไว้
แต่เขากลับไม่ทําอะไร เพียงอ้าปาก พูดออกมา เหมือนคนปกติ “ คารวะแม่นางมู่หลง คนที่โอบเอวอยู่คงเป็นสามีของแม่นางมู่หลงซินะ”
เสียงของเขาค่อนข้างน่าหลงไหล แต่ด้วยสภาพแบบนี้ ผมจึงไม่กล้าชมเขาจริงๆ
มู่หลงเหยียนพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม ถือว่าเขาตาถึง
ผมกลืนน้ำลาย สงบจิตใจของตัวเอง หลังจากนั้นก็ปล่อยมือจากเอวของมู่หลงเหยียน “ ข้าน้อยติงฝาน เคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน เลื่อมใสในตัวท่านมานาน เชิญนั่งก่อน ครับ !”
การต้องพูดกับโครงกระดูกแบบนี้ ไม่รนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ผมกลับพยายามเลียนแบบคําพูดในทีวี ใช้วิธีพูดเหมือนคนโบราณ
ผมพยายามทําตัวให้สงบ ไม่เผยให้เห็นพิรุธได้ง่ายๆ
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้แกล้งทําเป็นคนดี เขาไม่ได้มีเจตนาดีเลยสักนิด
โครงกระดูกหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ออกมา จากนั้นก็นั่งลงทันที
ตอนนี้ผมและมู่หลงเหยียน ก็นั่งตัวตรง
ในเวลาเดียวกัน โครงกระดูกก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ข้าน้อยมาที่นี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจะไม่ขอพูดจาอ้อมค้อม ข้าน้อยมาเยี่ยมอย่างกระทันหัน เลยไม่ได้นําของขวัญอะไรมาให้ ตอนนี้ข้ามีหญ้าจื่อหยินอยู่หนึ่งต้น หวังว่าแม่นางมู่หลงกับพี่ติงจะรับไว้ ! และผมยังหวังว่าทั้งสองท่านจะตอบตกลงผมเรื่องหนึ่งด้วย”
ขณะที่พูด เขาก็โบกมือ เรียกชายชุดดําให้นํากล่องหนึ่งใบเข้ามา
หญ้าจื่อหยินอะไรกัน ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆ กลับแสดงสีหน้าตกใจ “ หญ้า หญ้าจื่อหยิน…”