ศพ – ตอนที่ 221 หญ้าจ่อหยิน

ตอนที่ 221 หญ้าจ่อหยิน

 

หญ้าจื่อหยินคืออะไรผมไม่รู้จัก แต่มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆกลับแสดงสีหน้าตกใจ จนผมคิดว่าเจ้าสิ่งนี้คงเป็นของล้ําค่าแน่ๆ

 

ไม่อย่างนั้นมีหลงเหยียนก็คงไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นแบบนี้ เธอแทบจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยซ้ํา

 

ส่วนคุณชายโครงกระดูกเย่เฟิงที่นั่งอยู่ฝั่งนั้นกลับโบกพัด ไปมา “ ฟรึบ” เขาพับพัดทันที

 

เขาค่อยๆขยับด้ามพับเบาๆ หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเขาพูดว่า “ เปิดออก !”

 

ทาสผีที่ถือกล่องไม้สีดําไม่มีความรู้สึกและความลังเลใดๆ เขาเอื้อมมือเปิดกล่องไม้ทันที

 

ขณะที่กล่องไม้ถูกเปิดออกผมก็รู้สึกถึงไอเย็นที่ไหลออกมา

 

มันเหมือนกับเปิดกล่องน้ําแข็ง ความรู้สึกที่เข้ามากระทบตัวนั้นเย็นมาก

 

ผมเองก็อยากรู้มาก ว่าเจ้าหญ้าจ่อหยินที่ว่านี่มันคืออะไรทําไมถึงได้เย็นขนาดนี้

 

แต่ตอนผมเปิดตาให้กว้างกว่าเดิม เพื่อมองเข้าไปให้ละเอียดถึงได้รู้ว่า

 

นั่นคือไอเย็นจากอะไร มันก็คือไอเย็นที่ถูกส่งออกมาจากตัวหญ้า มันน่าอัศจรรย์มาก

 

เมื่อมองให้ดีอีกครั้ง ผมถึงรู้ว่าตัวหญ้ามีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือก้านและใบของมัน เป็นเหมือนกับไพลินสีม่วงบนผิวยังมีไอเย็นไหลออกมา

 

ผมโตขนาดนี้ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนโลกนี้มีเจ้าสิ่งนี้อยู่ด้วย ผมเป็นไปในใบ้ทันที

 

เมื่อม่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆเห็นสิ่งนี้ เธอก็ควบคุมตัวไม่ค่อยอยู่แล้ว “ ใช่-ใช่หญ้าจื่อหยินจริงๆ ! คุณชายเย่ หญ้านี้หายากมาก คุณชายหามาได้ยังไงเหรอคะ “

 

เมื่อเย่เฟิงได้ยิน เขาก็ส่งเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” “ แม่นางมู่หลงไม่ต้องสนใจหรอกครับว่าข้าหามาได้ยังไง ข้ารู้แค่ว่าถ้าแม่นางกินหญ้านี้แล้ว อย่างน้อยน่าจะอยู่ได้อีก 80 ปี

 

เสียงของเขาเพิ่งเงียบ ทันใดนั้นในสมองของผมก็มีเสียงระเบิดดัง “ ตูม”

 

เพิ่มอายุ 80 ปี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเล่นได้

 

ครั้งก่อนมู่หลงเหยียนพูดให้ผมฟังอย่างชัดเจน พวกเธอถูกองค์กรตาผีชั่วใช้เป็นเครื่องมือ และถูกดึงที่มาของวิญญาณออกไปจนกลายเป็นหุ่นเชิด

 

ก่อนที่จะหาที่มาวิญญาณกลับมาได้ พวกเธอจะต้องกินหญ้าพิเศษชนิดหนึ่งในการต่อชีวิตทุกๆ 50 ปี ต้อง ทําแบบนี้เท่านั้นพวกเธอจึงจะมีตัวตนอยู่ต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นก็ทําได้เพียงรอให้วิญญาณแตกสลาย

 

แต่ผู้ชายตรงหน้า กลับนําของขวัญชิ้นใหญ่มากให้ถึงที่

 

และยังบอกว่ามันสามารถต่อชีวิตได้ถึง 80 ปี มันล้ําค่ายิ่งกว่าหญ้าของมู่หลงเหยียนซะอีก มันยังสามารถเพิ่มอายุได้มากกว่า 30 ปี ผมจึงไม่แปลกใจที่มู่หลงเหยียนจะตกใจมาก

 

เนื่องจากมู่หลงเหยียนมีเวลาเหลือไม่ถึง 3 ปี

 

ไม่รอให้มู่หลงเหยียนได้หลุดจากอาการช็อก ผมกลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ คุณชายเย่เฟิงเป็นคนใจกว้างอย่างที่คิดไว้จริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าน้อยก็ขอรับหญ้าต้นนี้ไว้แทนภรรยาก็แล้วกันนะครับ!”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่พูดจาไร้สาระ ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหยิบหน้าด้านๆ

 

มู่หลงเหยียนเป็นยัยขี้โมโหผมรู้ดี ไม่อยากเจอผมผมก็ไม่ว่า แต่ผมไม่อยากให้เธอตายจริงๆ

 

เจ้าสิ่งนี้เป็นของดีที่ช่วยเพิ่มชีวิตให้มู่หลงเหยียนอยู่ได้อีก 80 ปีเลยนะ ถึงสามปีหลังจากนี้เธอจะยังหาที่มาวิญญาณกลับมาไม่ได้ แต่ขอแค่มีเจ้าสิ่งนี้อยู่ เธอก็ยังมีเวลาวางแผนเพิ่มอีก 80 ปี !

 

ขณะที่พูด ผมก็เอื้อมมือออกไปหยิบกล่องมาไว้ในมือ

 

แต่โครงกระดูกเย่เฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ” เขาใช้ดวงตาที่ลุกเป็นไฟจ้องผม “ น้องติงไม่ต้องรีบร้อน ! ต้นกําเนิดของยานี้น่าอัศจรรย์และเติบโตในดินแดน ที่มืดมิดของโลกสามารถเติบโตเป็นม่วงเข้มแบบนี้ได้ เป็นของที่หายากมาก ข้าก็ทุ่มแรงไปมากกว่าจะได้มันมา ”

 

น้ําเสียงของเย่เฟิงคนนี้อ่อนโยน แต่เมื่อได้ยินคําพูดประโยคหลัง ผมกลับคิดว่ามันไม่เป็นแบบนั้น

 

ในคําพูดของเจ้านี้ยังมีอะไรซ่อนอยู่! และดูเหมือนเขากําลังบ่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อยากให้

 

ผมขมวดคิ้ว “ คุณชายเย่หมายถึง… ”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! ข้ามีเงื่อนไข ! ” ขณะที่พูด ผู้ชายคนนี้ก็ลุกขี้นยืน

 

มู่หลงเหยียนเองก็ได้สติกลับคืนมา เมื่อได้ยินคําพูดนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ เงื่อนไขอะไรคะ ขอแค่สามารถทําให้คุณมอบหญ้าจื่อหยินให้ ฉันทําได้ทุกอย่าง ฉันตกลงทุกอย่างค่ะ”

 

มู่หลงเหยียนพูดด้วยน้ําเสียงที่จริงจังมาก จะเห็นได้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันสําคัญแค่ไหน

 

“ เมื่อแม่นางมู่หลงพูดแล้ว งั้นข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อม”

 

หลังจากพูดจบ ร่างกายของผู้ชายคนนั้นก็มีไอดำออกมา

 

ขณะที่ปริมาณไอดําเพิ่มขึ้น ฉากแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นเย่เฟิงคุณชายที่เคยมีแต่โครงกระดูก

 

ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนไป กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม

 

ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วคมตาใส ริมฝีปากบางฟันขาว ดูเป็นคุณชายที่ทั้งหล่อและฉลาดมาก เขายังดูไม่อ่อนโยนและน่ารักเลยสักนิด

 

จู่ๆก็เห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นคน ผมจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

แม่เจ้า หน้าตาที่เจ้าหมอนี้เปลี่ยนออกมาโคตรหล่อเลย

 

แม้แต่ผมที่เป็นผู้ชายก็ยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉา

 

หลังจากอีกฝ่ายเปลี่ยนร่างเสร็จ เขาก็ทํามือคารวะมาทางมู่หลงเหยียน แล้วพูดอย่างสุภาพ “ ข้ามาที่นี่ เพราะเรื่องแต่งงาน ! หญ้าจื่อหยินต้นนี้เป็นของหมั้น ขอแค่แม่นางมู่หลงรับปาก แม่นางก็จะสามารถเอาหญ้าจื่อหยินไปได้ทันที……..”

 

อีกฝ่ายพูดช้าๆ หลังจากมู่หลงเหยียนได้ยิน เธอก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

 

ส่วนผมที่อยู่ข้างๆ แทบระเบิดออกมา

 

สีหน้าผมเปลี่ยนไปทันที มันเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เปลวไฟนิรนามไหลทะลักเข้ามาในสมองทันที

 

ไม่ไว้หน้าผมเกินไปแล้ว กล้าพูดกําแหงต่อหน้าผม มันทําได้ยังไง มันดูถูกผมเกินไปแล้ว

 

“ เจ้าน่ะ ทางที่ดีคืนคําพูดเมื่อกี้จะดีกว่า !” ผมพูดอย่างเย็นชา ผมโกรธมากแล้ว

 

ไม่ว่าผมและมู่หลงเหยียนจะเป็นอะไรกัน แต่อย่างน้อย พวกเราก็ยังเป็น “สามีภรรยา” กันอยู่

 

และมู่หลงเหยียนก็บอกแล้ว ว่าไม่ชอบเจ้าหมอนี่เลยสักนิด เพียงแค่ไม่อยากทําให้เขาไม่พอใจเท่านั้น

 

และเจ้าหมอนี่ก็มั่นใจในตัวเองมาก ถึงกับกล้าขอมู่หลงเหยียนแต่งงานต่อหน้าผม มันทําเกินไปแล้วจริงๆ

 

แต่สีหน้าของเย่เฟิงกลับไม่เปลี่ยนแปลง เขาตอบกลับผมด้วยรอยยิ้ม “ คุณชายติง โปรดยกโทษให้ผมด้วย คุณมี ลือดเนื้อ จะอยู่ร่วมกันกับแม่นางมู่หลงได้ยังไง แล้วคุณคู่ควรเหรอ ข้าคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่แม่นางมู่หลงหามาหลอกข้ามากกว่า”

 

ในน้ําเสียงของเย่เฟิงไม่มีความรู้สึกอยู่มากนัก แต่คําพูดพวกนี้กลับเต็มไปด้วยคําดูถูกเหยียดหยาม ทําให้คนฟัง อารมณ์เสียสุดๆ

 

ผมกัดฟัน ดึงคอเสื้อเย่เฟิงเข้ามาทันที “ แกพูดอะไรนะ ! ระวังฉันจะทําให้แกวิญญาณแตกสลายนะ !”

 

การกระทําของผมหยาบคายมาก และยังหาเรื่องอีกฝ่ายตรงๆ

 

ผลลัพธ์ผมเพิ่งทําผีชุดดําที่ยืนอยู่ข้างๆก็แสดงสีหน้าเย็นชา “ ฉีก” เขาดึงดาบออกมาจากเอว“ ปล่อยคุณชายเดี๋ยวนี้ ! ”

 

เมื่อคําพูดดังขึ้น ผีชุดดําที่อยู่อยู่ข้างนอกหลายสิบตน ก็หันมามองทันที

 

เมื่อเห็นผมจับคอเสื้อเจ้านายเอาไว้ ทุกตนก็ดึงดาบออกมาจากเอว “ ฉีกฉีกฉีก” แล้วรีบพุ่งเข้ามา

 

“ บังอาจ ปล่อยคุณชายเดี๋ยวนี้ ! ”

 

แต่เย่เฟิงที่ถูกผมจับไว้ กลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ ใครให้พวกแกชักดาบต่อหน้าแม่นางมู่หลงถอยออกไปให้หมด..

 

หลังจากผีชุดดําพวกนั้นได้ยิน พวกเขาก็ต่างก้มหัวลง เก็บดาบ และตอบรับเบาๆ “ ขอรับ !”

 

ขณะที่พูด ผีชุดดําพวกนั้นก็ถอยออกไป

 

ในเวลาเดียวกัน มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างหลังก็ลุกขึ้น “ ติงฝาน ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ !”

 

ผมจ้องเย่เฟิง เขากลับยิ้มให้ผม ผมทําหน้าอารมณ์เสีย พูด ฮึ ออกมา จากนั้นถึงได้ปล่อยมือ

 

เย่เฟิงจัดเสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ แม่นางมู่หลง น่าจะรู้ หญ้าจื่อหยินสําคัญกับแม่นางมาก และเรื่องสามปีหลังจากนี้ แม่นางก็หนีไม่พ้น อีกอย่าง มันไม่มีประโยชน์อะไร ที่แม่นางจะหาชายโง่มาหลอกข้า ! ยังไงแม่นางก็ต้องเป็นคนของข้า และมีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับแม่นาง..”

 

เจ้าโครงกระดูกนี่มั่นหน้ามาก ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าท่าทางของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขายังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้

 

ผมเกลียดจนกัดฟันแน่น มือเข้าไปอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อย ผมละอยากหยิบยันต์ไปแปะให้เจ้านั้นตายๆไปซะ

 

แต่ตอนนี้มู่หลงเหยียนกลับจับมือผมเอาไว้ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินเธอพูดกับเย่เฟิงว่า “ คุณชายเย่ ของหมั้นของคุณแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้ เชิญนํากลับไปด้วย! แล้วก็ติงฝานไม่ใช่คนที่ฉันหามา เขาคือสามีของฉันจริงๆ ! พวกเราแต่งงานกันแล้วและจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset