ศพ – ตอนที่ 233 คายเชี่ยว

 

ตอนที่ 233 คายเชี่ยว

 

เมื่อเซียนลงจากเขา เพื่อมารับศิษย์ หนึ่งในขั้นตอนที่ค่อนข้างสําคัญ คือ “ คายเชี่ยว”

 

คายเชี่ยวที่ว่า หมายถึง เปิดการเชื่อมโยงระหว่างศิษย์กับเซียน โดยการสร้างช่องทางการติดระหว่างคนสองคน

 

เมื่อทําแบบนี้แล้ว เวลาลูกศิษย์หรือชูหม่าเจอปัญหา หรือต้องการความช่วยเหลือจากเซียนจิ้งจอก

 

เขาก็จะสามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน “ กุ่นเชี่ยว ” ก็หมายถึงการเชิญเซียนมาสถิตร่าง

 

แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียกวิธีนี้ว่า “ เข้าทรง”

 

แต่ก็เป็นรูปแบบเดียวกัน ถึงจะแตกต่างแต่ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน ที่จริงพวกมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

 

ตอนนี้ผมพูดว่าจะคายเชียวกับนางพญาจิ้งจอก และผมยังมองนางพญาอย่างเด็ดเดี่ยว

 

นางพญาพยักหน้าเล็กน้อย “ ข้ามาทําพิธีรับศิษย์ด้วยตัวเอง ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็น การคายเชี่ยวกับตา !”

 

ขณะที่พูด จู่ๆร่างของนางพญา ก็ระเบิดกลิ่นที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

 

ผมรู้สึกว่ากลิ่นมันแรงสุดๆ ทําให้คนรู้สึกกลัวทันที และระหว่างที่เธอกําลังยกมือขึ้น ยังมีคลื่นพลังปีศาจออกมาด้วย

 

คนภายนอกดูที่ความสนุก แต่คนในดูจากแก่นเรื่อง เมื่ออาจารย์ ท่านนักพรตต์ และคนอื่นๆเห็นนางพญาจิ้งจอกส่งกลิ่นแรงแบบนี้ออกมา ดวงตาของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะทําตาเบิกกว้าง พร้อมเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

เพราะกลิ่นที่นางพญาปล่อยออกมา คือพลังปีศาจอันมหาศาล

 

พวกปีศาจเองก็ไม่รู้ว่าพลังที่ทรงพลังนี้มีมากกว่าพวกเขากี่เท่าตัว ราวกับแค่การยกมือก็สามารถปราบพวกเขาได้แล้ว จะเห็นได้ว่าเธอทรงพลังขนาดไหน

 

หลังจากที่นางพญาจิ้งจอกปล่อยพลังปีศาจที่ทรงพลังออกมา เธอก็อ้าปากขึ้น ทันใดนั้นในปากของนางพญาจิ้งจอก ก็มีไข่มุขสีแวววาวลอยออกมา

 

เมื่อไข่มุขลูกนั้นลอยอยู่ในอากาศ มันก็เปล่งแสงแวววาวออกมา เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ ก็ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

นี่คือ นี่คือแก่นพลังของนางพญาจิ้งจอก ช่วงเวลาที่นางพญาจิ้งจอกบําเพ็ญตบะมาร่วมหลายร้อยปี

 

พลังที่เธอสะสมไว้ ล้วนอยู่ในแก่นพลังลูกนี้

 

เมื่อเธอคายออกมา ทุกคนที่อยู่ในงานก็ต่างตกอยู่ภายใต้พลังปีศาจ คลื่นพลังปีศาจแพร่กระจายไปรอบๆ 

 

ทําให้คนที่สัมผัสได้ถึงกับหวาดกลัว

 

ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่แก่นพลังจิ้งจอกออกมา นางพญาจิ้งจอกก็จ้องมาที่หน้าผากของผม หลังจากนั้นเธอก็ชี้มาทางผมทันที

 

ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองกําลังโดนไฟช็อต ผมตัวสั่นไปทั้งตัว

 

หลังจากนั้น แก่นพลังจิ้งจอกที่ส่องแสงอยู่ในอากาศ กลับทําให้ผมรู้สึกว่ามีพลังแปลกๆกําลังเข้ามาอยู่ในร่างกายของผม

 

มันเริ่มจากที่หน้าผากของผม หลังจากนั้นก็แขนขาทั้งสองข้าง ผมเริ่มรู้สึกชา ราวกับมีกระแสไฟฟ้ากําลังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

 

ผมสัมผัสได้ว่าร่างกายผิดปกติไป แต่ผมกลับพยายามควบคุม ให้ตัวเองมีสติได้มากที่สุด

 

ผ่านไปประมาณ 5-6 นาที ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกสุดๆ และความเจ็บปวดนี้ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

ผมขมวดคิ้ว และใช้มือกดเอาไว้

 

นางพญาเห็นการกระทําของผม เธอจึงพูดออกมาอีกครั้ง “ อดทนหน่อยนะ พลังของข้าแข็งแกร่งมาก จําเป็นต้องขยายใจของเจ้า ไม่งั้นในอนาคตเจ้าจะติดต่อกับจิตข้าได้ยาก !

 

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนยิ่งมีพลังแข็งแกร่งเท่าไหร่ การทําคายเชี่ยวนี้ก็ต้องยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น

 

แต่เพื่อให้คายเชี่ยวสําเร็จ การรับศิษย์เป็นไปด้วยดี ผมจึงตอบว่า “ คือ ” พยักหน้าเล็กน้อย และพยายามอดทนต่อไป

 

อาจารย์และคนอื่นๆมองดูอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นผมทําท่าทางทรมาน พวกเขาก็อดเครียดไม่ได้ แต่พวกเขารู้ดีว่า

 

ชูหม่าก็เป็นแบบนี้ จะต้องอดทน

 

ถ้าเรื่องแค่นี้ยังอดทนไม่ได้ งั้นก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นชูหม่าเลย

 

ผมกัดฟัน อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกําลังถูกแหวกออก มันกําลังขยายใหญ่ที่ละนิดๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนการหายใจของตัวเองก็เริ่มลํา บากขึ้นเช่นกัน

 

ทุกวินาทีที่ผ่านไป ผมเจ็บจนเหงื่อไหล เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ถึง 20 นาทีเลยด้วยซ้ำ แต่เสื้อผ้าของผมกลับเปียกชุ่มไปทั้งตัวแล้ว

 

ตัวสั่น ในปากมีเสียงดัง “ ก๊ก ” ของการกัดฟัน แต่ปากของผม กลับไม่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเลย

 

แม้แต่จิ้งจอกอาวุโสมากมายที่อยู่ข้างๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้ผม

 

แต่การคายเชี่ยวของชูหม่านี้ ก็ไม่ใช่จะเสร็จในเวลาสั้นๆ ถ้าใจไม่หนักแน่นพอ พวกเขาก็ต้องทําต่อไป

 

บางรายถึงกับใช้เวลาสามหรือห้าวันก็มี

 

ถ้าอยากสร้างช่องทางการติดต่อระหว่างนางพญาจิ้งจอกกับศิษย์ นอกจากความพยายามแล้ว ยังต้องอดทนกับความเจ็บปวด เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง 

 

ดังนั้นผมจึงตกอยู่ในสภาพนี้ พยายามอดทนกับความเจ็บปวด ความเจ็บที่ยาวนานไม่เหมือนการเจ็บแป๊บๆ มันต้องพยายามอดทนเรื่อยๆ เพื่อให้การเชื่อมโยงสําเร็จให้เร็วที่สุด

 

ในศาลเจ้าหลักเมืองเงียบสงัด มีเพียงเสียงกัดฟัน “ กึกกก” ของผม

 

นางพญาจิ้งจอกส่งพลังเข้ามาในร่างกายผมเรื่อยๆ ทําการเชื่อมโยงกับผมอย่างต่อเนื่อง

 

เริ่มตั้งแต่หน้าอก จนถึงแขนขาทั้งสองข้าง ความรู้สึกเจ็บค่อยขยายตัวเรื่อยๆ

 

นี้เป็นเพราะอวัยวะมีธาตุต่างกัน ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ใจคือไฟ

 

มันจะเริ่มจากธาตุไฟ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลังจากเปลี่ยนเป็นธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินสมบูรณ์แล้ว

 

การคายเชี่ยวก็จะจบลง

 

ผมเองก็ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องอดทนต่อไป ตอนนี้ผมแทบคุกเข่าไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าร่างกายกําลังแหลกเป็นเสี่ยงๆ หอบหายใจไม่หยุด

 

ในเวลานี้ จู่ๆนางพญาจิ้งจอกก็พูดกับผมว่า “ เสี่ยวติง อดทนเอาไว้นะ อวัยวะทั้งห้าเชื่อมโยงกันแล้ว

 

ตอนนี้ถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เมื่ออวัยวะทั้งห้ารวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ! จะเจ็บหน่อยนะ ต้องอดทนเอาไว้ด้วยละ !”

 

ผมได้ยินเสียงนางพญาจิ้งจอกเบาๆ ร่างกายผมเปียกโชก ตาครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมพูดออกมาด้วยเสียงหอบเหนื่อย “ เจ้า เจ้าแม่ ศิษย์ ศิษย์ยังไหว !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ตัวสั่น ทําตัวตั้งตรงอีกครั้ง

 

อาจารย์และคนอื่นที่อยู่ข้างๆ ต่างกําหมัดแน่น

 

นางพญาจิ้งจอกพยักหน้าเล็กน้อย “ ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้ !”

 

หลังจากพูดจบ นางพญาจิ้งจอกก็เริ่มประสานมือ แล้วสุดท้ายก็ชี้ไปที่แก่นพลัง

ระหว่างนั้น แก่นพลังก็เปล่งแสงออกมา ลําแสงนั้น ดูเหมือนกับโคมไฟลูกหนึ่ง

 

ไม่ใช่แค่นั้น พลังปีศาจอันมหาศาลยังท่วมท้นไปทั่วศาลเจ้าหลักเมือง

 

ขณะที่แก่นพลังระเบิดออกมา นางพญาจิ้งจอกก็อ้าปากดูดที่แก่นพลังนั้นหนึ่งครั้ง

 

พลังปีศาจสีขาวถูกดูดออกมา ท้ายที่สุดนางพญาจิ้งจอกก็หันมาทางผม และพ่นไอสีขาวออกมา

 

พลังที่ถูกดูดไปเมื่อกี้ ตรงเข้ามาหาผมทันที

 

และพลังปีศาจสีขาวพวกนี้ เหมือนกับมีตาเป็นของตัวเอง มันพุ่งเข้ามาในจมูกของผม และเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว

 

แต่วินาทีนั้นผมรู้สึกได้ว่า มีมีดคมๆกําลังแทงเข้าไปในร่างกาย ผมรู้สึกเจ็บสุดๆ

 

ผมทนไม่ไหวแล้ว วินาทีนั้นมันร้องออกมาทันที “ โอ๊ย !

 

ร่างกายเกือบล้มลง แต่สุดท้ายผมก็ใช้มือยันตัวเองเอาไว้

 

แต่มันยังไม่จบเท่านั้น ขณะที่พลังปีศาจสีขาวพวกนั้น เข้าไปในร่างกาย ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกเจ็บ เหมือนกับอวัยวะกําลังถูกตัดเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นก็เข้ามารวมเป็นหนึ่ง ผมทรมานมาก ในสมองรับรู้ได้เพียงความเจ็บปวด

 

“ อ้า ! ” ผมร้องออกมาอีกครั้ง

 

หยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆเห็นผมเป็นแบบนั้น เธอกลัวผมจะกัดลิ้นตัวเอง จึงรีบหยิบกิ่งไม้วิ่งเข้ามา

 

“ ติงฝาน กัดนี้เอาไว้มันจะช่วยให้ทรมานน้อยลง !” 

 

ขณะที่พูด เธอก็เอากิ่งไม้ยัดเข้าไปในปากผม

 

ผมกัดมันแรงๆ ดูเหมือนกับผมหาที่ระบายได้ แม้จะยังเจ็บอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะลดลงมาไม่น้อย

 

ผมกัดกิ่งไม้เอาไว้ คุกเข่าบนพื้น ช่วงเวลานั้นผมแทบคุกเข่าไม่ไหว ผมต้องอดทนกับความเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว

 

จิ้งจอกอาวุโสที่อยู่ข้างล่างให้กําลังใจ “ จินถง อดทนเอาไว้!”

 

“ อีกแค่นิดเดียว การเชื่อมโยงก็จะสําเร็จแล้ว !”

 

“ ชูหม่า อดทนเอาไว้ อดทน…”

 

“ เสี่ยวฝานอดทนเอาไว้นะ !”

 

“……”

 

เมื่อได้ยินเสียงเชียร์และคําพูดปลอบใจ ร่างกายที่สั่นไหวของผม ก็บอกตัวเองไม่หยุด ว่าเราต้องอดทนเข้าไว้

 

ผมทําแบบนี้ จนเวลาผ่านล้วงเลยไปเรื่อยๆ

 

แม้ผมจะรู้สึกเจ็บมาก แต่สุดท้ายก็ยังกัดฟันเอาไว้ พยายามอดทนกับความเจ็บปวดเพราะไม่อยากทําให้ทุกคนผิดหวัง…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset