ศพ – ตอนที่ 235 ทําตามกฏ

 

ตอนที่ 235 ทําตามกฏ

ตอนที่เห็นจิ้งจอกสาวตนนี้ปรากฏตัวผมก็ตกใจทันที

 

เพราะผู้หญิงคนนี้ ก็คือหนึ่งในจิ้งจอกที่สู้กับพวกเราเมื่อครั้งก่อน

ก่อนหน้าเธอยังไม่ได้กลายร่างเป็นคน ปะปนอยู่ในฝูงจิ้งจอกผมจึงจําเธอไม่ได้

จนกระทั่งตอนนี้เมื่อเธอกลายร่างเป็นคนแล้วผมถึงจําเธอได้

ครั้งก่อนตอนจิ้งจอกตัวนี้ปรากฏตัวเธอยังแยกเขี้ยว พร้อมที่จะขยําผมตลอด

แต่ตอนนี้จิ้งจอกสาวตนนี้กลับดูสงบเรียบร้อย

เมื่อจิ้งจอกสาวเห็นผม เธอก็ไม่ลังเลเลยสักนิด ทําท่าคารวะเหมือนกับผมเป็นคนโบราณ ดูเหมือนเธอจะให้เกียรติมากๆ “ ข้าน้อยหูเหมยก่อนหน้านี้ข้าน้อยโมโหจนเลือดขึ้นหน้า คุณชายโปรดอภัยให้ด้วย ! ”

เมื่อได้ยินจิ้งจอกสาวพูดแบบนั้นผมก็ได้สติกลับมา

 

ในเวลานี้เมื่อเห็นหน้าเธอ ผมก็แสดงท่าทางอ่อนน้อมค่อยๆคํานับเธออย่างสุภาพ

ผมคิดว่า เหมือนดวงตาทั้งสองข้างของเธอ บอกในทางตรงกันข้ามหรือจะพูดได้ว่าเธอยังโกรธอยู่

 

แน่นอนว่า ผมอาจคิดไปเอง

 

ตอนนี้ผมเป็นชูหมาแล้ว เป็นธรรมดาที่เรื่องก่อนหน้านี้ก็ควรลอยหายไปด้วยเพราะคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา

ผมเองก็เผยท่าที่อ่อนโยนออกมา ยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้นเล็กน้อย “ ไม่เป็นไรตอนนั้นทุกคนกําลังเข้าใจผิดกัน คือใช่ เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณชายนะเรียกว่าติงฝานก็พอ !”

 

จิ้งจอกสาวกลับยิ้มหวาน เธอพูดด้วยความดื้อดึง “ ตระกูลหูของข้าต้องทําตามกฏ เมื่อคุณชายเป็นศิษย์ของเจ้าแม่แล้วฐานะก็ย่อมแตกต่างข้าน้อยไม่กล้าทําเช่นนั้น !”

“ คุณชาย ” สําหรับคนในยุคปัจจุบันแบบผม คําพูดนี้มันฟังดูทะแม่งๆ

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดต่อ ปู่หลิ่วกลับพูดก่อน “ ชูหม่าคุณได้รับการคายเชี่ยวจากเจ้าแม่แล้ว ฐานะสูงสง

 

และตระกูลหูของพวกเราก็ต้องทําตามกฏอย่างเคร่งครัดเสี่ยวเหมยเรียกคุณว่าคุณชาย ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คุณอย่าทําให้เธอลําบากใจเลย ”

 

เมื่อได้ยินปู่หลิ่วพูดถึงขนาดนั้น ผมก็กลืนคําพูดที่คิดจะพูดออกมากลับเข้าไปทันที

 

สุดท้ายผมก็พยักหน้าให้หูเหมย “ เสี่ยวเหมย งั้นพวกเราไปกันเถอะ !”

 

“ คะคุณชาย ! ” หูเหมยดูอ่อนน้อมมาก เธอทําเหมือนตัวเองเป็นสาวใช้

 

แต่ตอนนี้เป็นเพราะผมง่วงจะตายแล้ว ไม่อยากอยู่นานและไม่อยากสนใจอะไรมากนัก

ผมจึงทํามือคํานับปูหลิ่ว บอกลา และเดินออกจากศาลเจ้าหลักเมืองทันที

ด้านในศาลเจ้าหลักเมือง อาจารย์ ท่านนักพรตตูและจิ้งจอกแปลงกลายกลุ่มหนึ่งกําลังดื่มเหล้ากันอยู่

ดูจากท่าทางเหมือนพวกเขากําลังเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

 

ผมเดินเข้าไปหาพวกเขา บอกว่าจะกลับแล้ว

อาจารย์และท่านนักพรตตู้ดื่มกันอย่างเมามัน ไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้านเลยสักนิด

 

ส่วนเหล่าเพิ่งและหยางเนิ่วไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ พวกเขาจึงลุกขึ้นและบอกว่าจะกลับพร้อมผม

 

ในเวลาเดียวกัน เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วก็สังเกตเห็นหูเหมยที่อยู่ข้างหลังผม

 

ไม่รอให้พวกเขาได้พูด ผมก็แนะนําให้พวกเขารู้จักถือเป็นการรู้จักคร่าวๆ

เมื่อทั้งสองคนได้ยินว่าปู่หลิ่วเป็นคนสั่งให้เธอพาผมกลับบ้านพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

เพราะผมกลายเป็นชูหมาของสํานักหูแล้ว มีจิ้งจอกคอยดูและอยู่รอบๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ตลอดทางที่ผ่านมาผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะ เพราะง่วงอยากนอนเต็มแก่แล้ว จึงทําได้เพียงหายใจอย่างเหนื่อยล้า

สุดท้ายเหล่าเฟิงก็เห็นขาผมเดินโซซัดโซเซ เดินไปสั่นไปเขาถึงเข้ามาประคองผมเดินไปพร้อมกัน

เมื่อมาถึงร้าน หูเหมยก็พูดกับผมว่า “ คุณชาย คุณถึงบ้านแล้วเสี่ยวเหมยขอตัวก่อนนะคะ !”

หลังจากพูดจบ หูเหมยยังทํามือคารวะผม และไม่รอให้ผมได้พูดอะไร ทันใดนั้นเธอก็หมุนตัวกลายร่างเป็นจิ้งจอกจากนั้นก็วิ่งไปทางศาลเจ้าหลักเมืองทันที

 

เมื่อผมเห็นหูเหมยจากไป มุมปากของผมก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอย ยิ้มที่ขมขื่น

 

เมื่อเดือนก่อนพวกเรายังหันดาบเข้าหากันอยู่เลยแต่วันนี้ผมกลับกลายเป็นชูหม่าของสํานักหู กลายเป็น “ คุณชาย ” ที่หูเหมยเรียก

โชคชะตาสร้างคน และทําให้คนยากที่จะรับมือ

หลังจากหูเหมยออกไป หยางเฉ่วกลับพูดเหน็บผม “ ติงฝาน ไม่เลวนิ ! ต่อไปนายจะมีสาวใช้แสนสวยคอยดูแลแล้วนิ ชีวิตคงสุขสบายขึ้นเยอะ !”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็กรอกตาใส่เธอทันที “ พอได้แล้วน่า ! ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ !”

แต่หยางเฉ้วกลับหัวเราะ “ คิคิคิ ”

ทันใดนั้นเหล่าเพิ่งก็พูดว่า “ เหล่าติง ถึงท่าทางของจิ้งจอกตัวนี้จะดูเคารพนายมาก แต่ฉันเห็นสายตาของเธอ เธอยังแค้นนายอยู่ยังไงนายก็ต้องระวังตัวด้วยนะ !”

ผมฉีกยิ้มเล็กน้อย “ เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว แต่ไม่เป็นไร ฉันเป็นชูหม่า แล้วจะมีเรื่องอะไรได้ ! ไม่อยากนั้นเจ้าแม่ต้องถลกหนังพวกเขาแน่ๆ ! ”

“ โอเค ฉันถึงบ้านแล้ว พวกนายก็กลับไปพักผ่อนเร็วๆเถอะ ! ห ยางเฉ่วถ้าเธอกลับช้ากว่านี้ จะไม่มีรถเอานะ ” ผมพูดออกมาต

รงๆ

เฟิงเฉิวหานเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้ผมเท่านั้น

หยางเฉวหาว “ โอเค ! พวกเราไปกันเถอะ !”

ขณะที่พูด ทั้งสองคนก็หมุนตัวเดินออกไป

 

เมื่อเห็นเหล่าเพิ่งและหยางเฉิวจากไปแล้ว ผมก็กลับเข้า มาในบ้านรีบแปรงฟันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนทันที 4

คายเชี่ยววันนี้ทรมานมาก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองออกไปวิ่งมา 10 กิโลเมตร

 

เมื่อนอนลงบนเตียง ผมก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว มันทั้งสบายและผ่อนคลายสุดๆ

 

หลังจากหลับตาไม่นาน ผมก็นอนหลับสนิท

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลา 12.10 น. ของอีกวันแล้ว

ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง

เมื่อเห็นขวดยาเล็กๆที่นางพญาจิ้งจอกให้ไว้เมื่อคืนวางอยู่บนหัวเตียงผมก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที

นางพญาจิ้งจอกพูดว่าอะไรนะยา “ ตี้หลงเฉียน ” สามารถช่วยชีวิตได้

 

ตี้หลงเฉียนอะไร ? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเมื่อ คืนง่วงแทบล้มทั้งยืนผมจึงไม่ได้ตั้งใจฟัง

แต่ดูจากท่าทางและน้ําเสียงที่ตื่นตกใจของอาจารย์กับท่าน นักพรตต์เมื่อคืนเจ้าสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นของดี

และต้องดีกว่าเห็ดหลินจือแน่ๆ

 

ตอนนี้ผมหยิบมันขึ้นมา มองสํารวจรอบๆ อยากเปิดดูว่าข้างในมีอะไรอยู่

 

แต่ผมเพิ่งเปิดขวด จู่ๆกลิ่นเหม็นเน่าของอะไรบางอย่างก็ลอยออกมา มันฉุนมาก เหมือนกับตกลงในบ่อขี้

“ ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรเนี่ย ทําไมเหม็นขนาดนี้มันไม่ได้เน่าแล้วใช่ไหม !” ผมบ่นทันที ที่จริงผมคิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะเหม็นขนาดนี้กลิ่นเต้าหูเหม็นยังหอมกว่ามันซะอีก

 

ผมรีบปิดฝา โยนมันเอาไว้ข้างๆ นั้นมันยาล้ําค่าบ้าบออะไร ? อย่างกับลูกอม

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆประตูห้องของผมก็ถูกเปิดออก

อาจารย์เดินเข้ามา เขาเพิ่งเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นเหม็นทันที “ นี่มันกลิ่นอะไร ? ”

เมื่อเห็นอาจารย์ ผมก็รีบชี้ไปที่ขวดยานั้น “ จะอะไรได้อีกละก็ยาสุดแสนล้ําค่าที่นางพญาจิ้งจอกให้ผมมานั่นไง เหม็นอย่างกับขี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นยาอะไรเก็บเอาไว้ไม่ดีรึป่าว มันถึงได้เน่าแบบนี้ !”

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ทําหน้าสงสัยทันที “ ตี้หลงเฉียนรีบเอามาให้ฉันดูหน่อย ! ”

 

“ อาจารย์ เหม็นขนาดนี้ยังอยากดูอีกเหรอ ? ”

 

“ ไอ้เด็กโง่ นี่มันเป็นของล้ําค่าเลยนะ !” ขณะที่พูดอาจารย์ก็เดินเข้ามาสองก้าว

ผมหยิบยาให้อาจารย์อย่างรังเกียจ อาจารย์หยิบไปดู จากนั้นก็เปิดออกกลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาอีกครั้ง ช่วงเวลานี้มันกระจายไปทั่วห้อง

 

เมื่อกี้อาจารย์ยังบ่นว่าเหม็น แต่ตอนนี้กลับใช้จมูกดมไม่หยุดและยังเทยาใส่ฝ่ามือ

 

ยาเป็นสีน้ําตาลอ่อน เหมือนกับสีดินแป๊ะ แถมยังเหม็นมากเรียกได้ว่าเหม็นจนถึงสวรรค์เลยละ

แต่อาจารย์กลับทําเหมือนมันเป็นสมบัติล้ําค่า เขาพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ ของดีเป็นของดีอย่างที่คิด !

 

ช่างเป็นกลิ่นยาที่ยอดเยี่ยม ไม่น่าแปลกที่ถูกยกย่องว่าเป็นสมบัติล้ําค่า… ”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็แทบจะกระอักเลือดออกมาผมคิดในใจอาจารย์นะอาจารย์ ! นี่อาจารย์ไม่ได้เป็นไซนัสใช่ไหมเนี่ย ยังกล้าบอกว่าเป็นกลิ่นยาที่ยอดเยี่ยมนี่มันกลิ่นขี้ชัดๆ

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset