ศพ – ตอนที่ 236 ตี้หลงเฉียน

ศพ ตอนที่ 236 ตี้หลงเฉียน

 

ผมกรอกตา พูดกับอาจารย์ด้วยน้ําเสียงประชดนิดหน่อย “ อาจารย์ ยากลิ่นเหม็นขนาดนี้ อาจารย์จมูกอักเสบรีไง?”

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินคําพูดของผม ทันใดนั้นเขาก็ทําสีหน้าเคร่งขรึม “ ไอ้เด็กนี่ ทําไมพูดแบบนั้นฮะ ?

 

แกจะไปรู้อะไร นี่มันล้ําค่าสุดๆ ไม่รู้ว่าต้องรวยขนาดไหนถึงจะซื้อเจ้านี่ได้ มันหายากมากเลยนะ !”

 

“ พูดเล่นพูดจริงเนี่ยอาจารย์ ของเน่าๆแบบนี้มีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ? 

 

” ผมถามต่อ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ แต่เมื่อดูจากท่าที่ของอาจารย์ มันกลับไม่เหมือนคนกําลังโม้

 

อาจารย์ดมกลิ่นอีกแป๊บหนึ่ง หลังจากนั้นก็เทยากลับเข้าไปในขวดอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากนั้นถึงได้คุยกับผมต่อ “ ไอ้เด็กนี่ ตอนเรียนหนังสือฉันบอกให้ตั้งใจเรียน! สุดท้ายแกก็สอบได้ที่โหล่ โง่ดักดาน อาจารย์จะบอกให้นะ เจ้านี้เรียกว่าที่หลงเฉียน แกรู้ไหมว่าทําไมมันถึงเรียกแบบนั้น ?”

 

เมื่อถูกอาจารย์ด่า ผมก็อดอายไม่ได้ แต่ตอนเรียนที่โรงเรียนผมก็ทําได้ห่วยจริงๆ

 

แต่เมื่อพูดถึงเจ้าตี้หลงเฉียนนี่ ผมเองก็รู้สึกสงสัยนิดหน่อย จึงถามเขาว่า “ ทําไมเหรอครับ ?”

 

“ หลงเฉียนคืออะไร ? มันก็คือน้ําลายของมังกร ถ้าคนกินเจ้าสิ่งนี้เข้าไป ก็จะสามารถพัฒนาก้าวกระโดดจนกลายเป็นเซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ทันที……….”

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสติหลุด

 

เจ้าของเน่าๆเนี่ยนะ? เป็นน้ําลายมังกรจริงเหรอ? อาจารย์ขี้โม้ละซิ!

 

แต่ผมไม่ได้ขัดจังหวะอาจารย์ ยังคงนั่งฟังเขาต่อ

 

อาจารย์ก็พูดต่อไปเรื่อยๆ “ แน่นอนว่าฉันยังไม่เคยเห็นน้ําลายมังกรจริงๆ แต่ตี้หลงเฉียน กลับมีมาตั้งแต่โบราณ และในตําราแพทย์จีน เจ้าสิ่งนี้เป็นตัวยาที่ล้ําค่าที่สุด แม้แต่จิ๋นซีฮ่องเต้ที่โคนล้มทั้งหกประเทศได้

 

ก็ยังไปหาเจ้านี่ในภูเขา ก็เพราะอยากให้ตัวเองกลายเป็นเซียน ”

 

อาจารย์เล่าต่อไปอย่างช้าๆ ตอนแรกผมยังไม่ได้สนใจมากนัก มังกรบ้าบออะไร? กลายเป็นเซียน

 

แม้แต่จิ๋นซีฮ่องเต้ก็ยังมี ใครจะไปเชื่อเรื่องพวกนี้ละ?

 

แต่หลังจากนั้น ผมถึงได้รู้ว่า

 

ทําไมเจ้าสิ่งนี้ถึงถูกเรียกว่าน้ําลายมังกร เพราะมันไม่ใช่น้ําลายของมังกรจริงๆ แต่เป็นน้ําจากพืชถูกสารพิเศษชนิดหนึ่งในเชื้อราสร้างขึ้นจนมีรูปร่างคลายน้ําลาย

 

น้ําจากพืชก็เหมือนน้ําลายอยู่แล้ว แต่มันมีสรรพคุณทางยาดีมาก แม้จะทําให้คนตาย ฟื้นขึ้นมามีเลือดเนื้อไม่ได้ แต่ฤทธิ์ของมันดีกว่าเห็ดหลินจือไม่รู้กี่เท่าตัว มีคุณค่าทางยามหาศาล มันเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมพิเศษ และเชื้อราชนิดนี้ยังหายากสุดๆ

 

เพราะเจ้านี่เหมือนน้ําลาย นอกจากนี้ยังมีตํานาน ก็คือถ้ากินน้ําลายมังกรเข้าไป ใครคนนั้นก็จะสามารถกลายเป็นเซียนได้

 

หลังจากนั้นผู้คนก็เรียกน้ําพืชจากเชื้อราชนิดพิเศษนี้ว่า “ ตี้หลงเฉียน ” หมายถึงยาที่ทรงพลังจนเปรียบได้กับน้ําลายมังกร

 

เมื่อฟังเรื่องพวกนี้จบ ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองยาขวดนั้นอย่างจริงจัง

 

“ อาจารย์ เจ้านี่ดีขนาดนั้นจริงๆเหรอ? ” ผมเผยท่าทางไม่อยากเชื่อ

 

แต่อาจารย์กลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ ดีจริงซิ เจ้านี่สามารถบํารุงร่างกายทําให้อายุยืน สําหรับพวกรอยฟกช้ําทั่วไป จะรักษาให้หายขาดในไม่กี่นาที ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม และยาสามเม็ดนี้ของแกไม่ได้มีแค่ตี้หลงเฉียน นางพญาจิ้งจอกจะต้องเพิ่มสมุนไพรหายากจากบนเขาให้อีกแน่ๆ เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ยา

 

เมื่อทําแบบนี้แล้ว ฤทธิ์ยาตี้หลงเฉียนก็จะอัพเกรดถึงขั้นสูงสุด กลายเป็นยาวิเศษที่สามารถช่วยชีวิตได้

 

“ อาจารย์ไม่ได้โม้! ยากลิ่นเหม็นๆดําๆนี่ แค่เม็ดเดียวก็มีค่ายิ่งกว่าโสมป่า 500 ปีที่แกมอบให้อีกนะ !”

 

เมื่ออาจารย์พูดแบบนั้น ในสมองผมก็มีเสียงระเบิดดัง “ตูม”

 

พระเจ้า! เราจะได้พัฒนาพลังแล้ว

 

โสมป่า 500 ปี มันมีคุณค่าขนาดไหนนะ? ถึงได้มีราคาขายถึง 7 หลัก แต่ยาตี้หลงเฉียนในมือของผมทุกเม็ดยังมีค่ามากกว่าโสมป่าซะอีก

 

ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า ถ้าขายไป 2 เม็ด ตอนนั้นผมจะไม่กลายเป็นเศรษฐีเลยเหรอ ? แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว

 

ดูเหมือนอาจารย์จะอ่านใจผมออก เขาทําเสียงเข้มทันที “ เจ้านี่นิ แกห้ามคิดอะไรบ้าๆเชียวนะ ทํางานในสายงานแบบพวกเรา อย่าหวังจะเอาแต่ได้ ในอนาคตยาตี้หลงเฉียนสามเม็ดนี้อาจช่วยชีวิตแกได้สามครั้ง

 

เก็บเอาไว้ให้ดีๆ ถ้าไม่จําเป็นก็ไม่ต้องเอามาใช้พร่ําเพรื่อ! ยิ่งไปกว่านั้นห้ามเอาไปขายเด็ดขาด”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็เศร้าทันที แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก

 

หลังจากนั้น อาจารย์ก็ให้ผมเก็บยาตี้หลงเฉียนไว้ให้ดี และบอกให้ผมออกไปกินข้าว

 

เมื่อคืนอาจารย์กลับมาค่อนข้างดึก และดื่มไปไม่น้อย หลังจากกินข้าวเข้าไปนิดหน่อยเขาก็กลับไปพักในห้อง

 

บอกว่าอีกเดี่ยวให้ผมทําป้ายวิญญาณให้ตระกูลหูเอง เขียนแค่ตระกูลหู ส่วนเรื่องร้าน ก็ยกให้ผมเป็นคนดูแล

 

ผมตอบรับ “ อือ ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

 

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มทําป้ายอันที่สอง ตระกูลหู

 

ในเวลาเดียวกันก็จุดธูปให้มู่หลงเหยียนและตระกูลหู แต่ธูปของมู่หลงเหยียนยังเป็นเหมือนเดิม

 

หลังจากจุดไปได้แป็บนึงมันก็ดับลง

 

ดูเหมือนยัยผีเมียยังโกรธผมอยู่ ผมเองก็ทําอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น

 

ผมคิดว่ารอให้ผ่านไปอีกหน่อย ผมจะไปให้เธอระบายอารมณ์

 

หลังจากนั้นเดือนกว่าๆ ดูเหมือนชีวิตของผมจะกลับมาสงบอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่มีอะไรทํา

 

ในทุกๆวันนอกจากจุดธูป ขายเงินกระดาษ ผมก็ได้แต่เล่นเกมกับหยางเฉ่วและเพิ่งเฉ่วหาน

 

จนกระทั่งถึงวันนี้ ตอนเที่ยงอาจารย์ได้รับโทรศัพท์ คุณเหวินเป็นคนโทรมา เขาก็คือคนที่หาคนไปทําพิธีให้กับศพลูกสาว

 

ครั้งนี้ที่เขาโทรมาหาอาจารย์เพื่อเป็นคนกลาง แนะนําธุรกิจให้กับร้านของพวกเรา

 

เขาบอกว่าเถ้าแก่คนหนึ่งคิดว่าฮวงจุ้ยหลุมศพบ้านตัวเองไม่ดี วางแผนที่จะย้ายหลุมศพ จึงบอกให้อาจารย์มาดูให้เขาหน่อย

 

หลายเดือนมานี้พวกเราไม่ได้ออกไปทํางานข้างนอกเลย ยึดการขายเงินกระดาษประทังชีวิตไปวันๆ

 

แม้แต่เงินเดือนของผมก็ยังถูกอาจารย์หักออกไป 1,200 หยวน

 

โชคดีที่พวกเรายังมีกินมีบ้าน ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว

 

ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าต้องออกไปทํางานข้างนอก และคนกลางยังเป็นคุณเหวิน ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

 

ครั้งแรกก็ได้เงินมามากมาย จากการทํางานข้างนอก ครั้งที่สองก็คงได้ลาภก้อนโตแน่ๆ

 

อยู่ในร้านมาเดือนกว่าๆแล้ว บางครั้งออกไปทํางานข้างนอกบ้าง ก็ฟังดูไม่เลวเลยนะ

 

และเรื่องย้ายหลุมศพ ผมเองก็เรียนไปได้เยอะแล้ว

 

อาจารย์บอกให้ผมไปเก็บของ พวกเราจะออกเดินทางตอนบ่าย

 

ผมเองก็ไม่รอช้า รีบเก็บข้าวของที่ใช้ในงานศพและของที่อาจต้องใช้ในการย้ายหลุมศพลงในกระเป๋า หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปที่ขนส่ง

 

แต่หลังจากที่พวกเรามาถึงขนส่ง กลับพบว่าท่านนักพรตตู้และเหล่าเพิ่งก็อยู่ด้วย

 

และพวกเขาสองคนยังเอาอาวุธมาด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็จะออกไปทํางานเหมือนกัน

 

เมื่อท่านนักพรตตู้เห็นพวกเรา เขาก็ทําหน้าแปลกใจ จึงเดินเข้าไปถามไถ่

 

สุดท้ายเมื่อคุยกันถึงได้รู้ว่า ครั้งนี้พวกเราทั้งคู่ออกไปย้ายสุสานเหมือนกัน ได้รับสายจากคุณเหวิน

 

และไปทํางานให้นายจ้างคนเดียวกัน

 

ทุกคนมีความสุขมาก เมื่อทํางานด้วยกัน ก็จะสามารถดูแลกันได้ แล้วพวกเราจะไม่มีความสุขได้ยังไง ?

 

ตลอดทางทุกคนต่างค่อยข้างผ่อนคลาย เพราะเรื่องย้ายหลุมศพเป็นเรื่องที่คนมักทํากันบ่อยๆ ตาเฒ่าสองคนก็ไม่รู้ว่าทํามาตั้งเท่าไหร่แล้ว ประสบการณ์หลากหลาย พวกเขาจึงทําได้อย่างสบายๆ

 

ดังนั้นทุกคนจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ยิ้มหัวเราะกันตลอดทาง

 

หลังจากลงรถ ก็โทรศัพท์หาคนที่จะมารับ

 

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็ได้เจอชายหนุ่มใส่สูทสองคน

 

หลังจากมั่นใจแล้ว ชายหนุ่มสองคนนั้นก็แยกพวกเราให้นั่งรถเบนซ์คนละคัน หลังจากนั้นก็ขับตรงไปที่บ้านเจ้านายทันที

 

คนขับรถไม่ชอบพูด ระหว่างทางจึงพูดออกมาไม่กี่คํา

 

บ้านของเจ้านายอยู่ไม่ไกล เขาอยู่ในบ้านโครงการฮัวเทียนหูจิ่งวิลล์ คนที่อยู่ได้ล้วนเป็นพวกมหาเศรษฐี

 

เมื่อรู้ว่านายจ้างอยู่ที่ไหน ผมก็อดไม่ได้ที่ตื่นเต้น นายจ้างเป็นมหาเศรษฐี ธุรกิจครั้งนี้จะต้องได้เงินก้อนโตแน่ๆ

 

แต่ผมจะไปรู้อะไร ธุรกิจครั้งนี้จะง่ายเหมือนที่ผมจินตนาการได้ยังไง?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราดวงดี ทุกคนก็คงถูกดึงเข้าไปหมดแล้ว……

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset