ศพ – ตอนที่ 237 พุ่งพรวด

 

ตอนที่ 237 พุ่งพรวด

 

ฮัวเทียนหูจิ่งวิลล์ อยู่ใกล้กับย่านใจกลางเมือง ที่ดินของที่นี่มีรางคาแพงสุดๆ

 

คนที่สามารถซื้อคฤหาสน์ที่นี่ได้ ส่วนใหญ่เป็นพวกมหาเศรษฐีทั้งนั้น

 

แต่สิ่งที่ทําผมคาดไม่ถึงจริงๆคือ ครั้งนี้คุณเหวินจะแนะนําให้พวกเรามาทํางานกับคนรวยขนาดนี้

 

รถขับตรงเข้ามาในลานบ้าน พวกเราเพิ่งลงรถก็มีผู้ชายวัยกลางคนเข้ามาต้อนรับ

 

ผู้ชายคนนี้ค่อนข้างอ้วน มีพุงใหญ่มาก สวมสร้อยทองเส้นใหญ่ ที่ข้อมือสวมนาฬิกาทองเรือนโต

 

ที่นิ้วยังมีแหวนทองอีกหลายวง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนรวย

 

ท่านนักพรตตู๋ทุกท่านเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ข้าน้อยแซ่ฉี ชื่อเหลย”

 

ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาจับมือพวกเราทีละคน

 

อาจารย์ตอนรับด้วยรอยยิ้ม “ ข้านักพรตติงโย่วซาน !”

 

เมื่อคุณได้ยินชื่อของอาจารย์ เขาก็ตกใจ “ ท่านนักพรตติง ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน ท่านนี้ก็คงเป็น ท่านนักพรตตู๋ตู๋อ่าวใช่ไหมครับ ? ”

 

ขณะที่พูดคุณฉีก็หันมามองท่านนักพรตต์ ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าให้เล็กน้อย พร้อมกับจับมือกับคุณ

 

ส่วนผมและเพิ่งเฉวหาน คุณฉีเองก็จับมือด้วยความกระตือรือร้น บอกว่าวีรบุรุษมักอายุน้อย !

 

เด็กหนุ่มสาวมักถูกเรียกแบบนี้ทั้งนั้น

 

เมื่อรู้ว่าชายคนนี้ก็คือเจ้าของแบรน์แป้งทอดเก่าแก่ในห้างสรรพสินค้า ผมก็คิดว่าตอนฟังก็ดูดีอยู่นะ

 

แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นว่ามันจะมีสารอาหารตรงไหน

 

ท่านนักพรตตู๋เองก็ไม่ได้พูดอ้อมค้อม เขาเปิดประเด็นทันที “ คุณฉี ได้ยินคุณเหวินบอกว่า คุณจะย้ายหลุมศพ ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมายังไงเหรอครับ !”

 

เมื่อคุณได้ยินท่านนักพรตตู๋ถาม เขาก็ยิ้มแบบอึดอัดใจ “ อ่อ ! เรื่องนั้น พวกเราไปคุยกันข้างใน

 

ไปคุยกันข้างในเถอะครับ !”

 

ขณะที่พูด คุณฉีก็ผายมือเชิญพวกเราเข้าไปในบ้าน 

 

คฤหาสน์หลังโต ตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ สีหลักคือสีทอง และยังมีแม่บ้านหลายคน

 

พวกเราแยกกันนั่ง แม่บ้านยกน้ำชามาเสิร์ฟ

 

หลังจากนั้นคุณฉีก็ให้บอดี้การ์ดและแม่บ้านทุกคนออกไป เขาก็ไม่ได้เล่าให้ฟังทันที เขาหันไปหยิบกล่องออกมาจากโซฟา

 

พวกเราไม่รู้ว่าคุณจะทําอะไร จึงทําได้เพียงมองดูเขาเท่านั้น

 

คุณฉีดํากล่องวางลง จากนั้นก็ใช้มือเปิดล็อคที่แน่นหนา “ ปึกๆ ” สุดท้ายกล่องก็เปิดออก

 

วินาทีที่คุณฉีเปิดกล่องออก ผมและเหล่าเพิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่ทําตาโต สูดหายใจเข้าอย่างเผลอตัว

 

พวกเราเห็นในกล่อง เต็มด้วยไปเงิน ทําให้ตาลุกวาวเลยทีเดียว

 

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หลังจากคุณฉีเปิดกล่องเสร็จ เขาก็นําเงินวางตรงหน้าของอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ หลังจากนั้นก็พูดว่า “ ท่านนักพรตทั้งสอง ในนี้มีเงินอยู่หนึ่งล้าน ขอให้ท่านนักพรตทั้งสองโปรดรับเอาไว้ด้วย !”

 

คือ ? นี่มันหมายความว่ายังไง ? คนรวยมาถึงจุดๆนี้แล้วเหรอ ? เพิ่งเจอหน้าก็ให้เงินหนึ่งล้านแล้ว ?

 

ผมติดตามอาจารย์มา 20 ปี เพิ่งเคยเห็นคนรวยที่อวดดีแบบนี้เป็นครั้งแรก

 

แต่อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เคยผ่านประสบการณ์จากคนพวกนี้มาก่อน พวกเขาเพียงเหลือบตามอง

 

พร้อมกับแสดงท่าทางไม่สนใจออกมา

 

เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แค่มาถึงก็ให้หนึ่งล้าน เรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

ทันใดนั้นก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “ คุณฉี คุณกําลังทําอะไร”

 

คุณฉียิ้มอ่อน เขาไม่ได้รีบตอบทันที เขาหยิบซิการ์อันใหญ่ออกมา จุดด้วยตัวเอง หลังจากสูบเข้าไปหนึ่งครั้ง เขาถึงคุยกับพวกเราต่อ “ ท่านนักพรตทั้งสอง เงินหนึ่งล้านนี้ เป็นเงินค่าตอบแทนของพวกคุณ

 

ถ้าเสร็จงานแล้ว ผมยังมีรางวัลให้อีกส่วนนึ่ง”

 

“ คุณฉี พวกเราเป็นนักพรต เรื่องอะไรที่ช่วยได้พวกเราจะพยายามทําสุดความสามารถ เงินเป็นเรื่องรอง

 

ที่คุณเรียกพวกเรามา คงไม่ใช่เรื่องการย้ายหลุมศพธรรมดาๆซินะครับ ” ท่านนักพรตตู๋ก็รู้ทัน แค่ย้ายหลุมศพก็ให้เงินหนึ่งล้าน และยังเป็นแค่ค่าตอบแทน

 

แม้แต่ผมและเฟิงเฉวหานที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังรู้สึกสงสัย

 

เมื่อคุณได้ยินแบบนั้น เขากวางซิการ์ยังที่เขี่ยบุหรี่ หลังจากนั้นถึงคุยกับพวกเราต่อ “ ที่จริงแล้ว ! งานหลักคือย้ายหลุมศพให้พ่อและปู่ของผม แต่มันมีปัญหานิดหน่อย….”

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ คุณฉีก็เริ่มทําท่ากระอักกระอ่วน

 

“ มีปัญานิดหน่อย คุณพูดมาตรงๆเถอะครับ.” อาจารย์กระตุ้น

 

คุณฉีถอนหายใจออกมา “ พูดแบบนี้ก็แล้วกัน ! ที่ผมสามารถมีได้อย่างทุกวันนี้ ทั้งคฤหาสน์

 

รถหรู สร้อยทองเส้นโต นาฬิกาทองเรือนใหญ่ และเปิดบริษัทได้ ก็เป็นเพราะสร้างหลุมศพให้พ่อและปู่อย่างดี ! และฮวงจุ้ยก็ได้เสริมดวงของผม”

 

“ คุณฉี ในเมื่อฮวงจุ้ยดีอยู่แล้ว แล้วคุณจะย้ายทําไม ?” ท่านนักพรตตู๋ไม่เข้าใจ

 

เมื่อคุณได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ ท่านนักพรต พวกคุณไม่รู้เมื่อ 10 กว่าปีก่อนบ้านผมจนมาก พ่อและปู่ต้องเผาถ่านเพื่อสร้างความอบอุ่นให้บ้าน สุดท้ายกลับเป็นการวางยาพิษตัวเอง

 

ตอนนั้นมีนักพรตคนหนึ่งเดินผ่านบ้านผม ผมจึงเชิญเขามาทําพิธีให้พ่อกับปู่..”

 

หลังจากนั้น คุณฉีก็เล่าเหตุการณ์เมื่อ 10 ก่อน ให้เราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

คุณฉีบอกว่า นักพรตคนนั้นเก่งมาก เขาเป็นคนมีวิชาอาคมจริงๆ

 

ไม่เพียงสามารถทําพิธีออกมาได้ดี ด้านการดูฮวงจุ้ยยังสุดยอด ตอนนั้นเขาเลือกฮวงจุ้ยให้พ่อและปู่ของคุณฉีอย่างดี

 

และยังบอกคุณฉีว่า ที่นี่เรียกว่า “ ชวงเลิ้นไป๋โช่ว” เมื่อคนตายได้ฝังอยู่ที่นี่ คนรุ่นหลังจะมีเงินทองไหลมาเทมา ได้โชคลาภมหาศาล แต่อยู่ภายในระยะเวลาที่กําหนด

 

นี่ก็คือ “ ชวงเลิ่น” แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ นั่นก็คือความมั่งคั่งของที่นี่จะอยู่ได้มากที่สุด 10 ปี

 

และภายในระยะเวลา 10 ปีนี้แล้ว คนรุ่นหลังจะต้องค ยทําความดี เพื่อให้โชคลาภอยู่ไปได้อีกนานๆ

 

เมื่อโชคหมดแล้ว คนรุ่นหลังก็จะไม่ได้รับผลที่ตามมามากนัก

 

ถ้าไม่ทําแบบนั้น หลัง 10 ปีฮวงจุ้ยพังแล้ว โชคที่มีจะต้องลดลงอย่างแน่นอน หรือแม้แต่ต้องล้มละลายจนหมดตัว และคนตายก็จะอยู่อย่างไม่เป็นสุข

 

หลังจากนั้น ชีวิตของคุณฉีก็เริ่มดีขึ้น ภายในระยะเวลาแค่ 10ปี จากผู้รับเหมาธรรมดาคนหนึ่ง ก็ไต่เต้ามาถึงมหาเศรษฐีร้อยล้าน

 

สองปีแรก คุณฉีก็ทําตามที่นักพรตคนนั้นบอก เขาทําบุญสะสมความดี บริจาคเงินและของต่างๆให้กับสภากาชาดเป็นครั้งคราว หรือช่วยสนับสนุนบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ

 

แต่หลังจากนั้น ชีวิตของคุณฉีก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ อย่าว่าแต่ทําดีเลย แม้แต่เรื่องที่ไม่ดี เช่นบีบให้รื้อและขาย แอบมุบมิบวัสดุตอนสร้าง หรือใช้วัสดุคุณภาพแย่เพื่อให้งานสําเร็จไปวันๆ

 

เมื่อคุณฉีมีเงินแล้ว ก็ลืมคําพูดของนักพรตคนนั้นไปจนหมด

 

จนกระทั่งเมื่อ 1 ปีก่อน ธุรกิจและโชคลาภของคุณฉีก็เริ่มตกต่ำ

 

ดูเหมือนหลังจากเงินที่หามาได้จากโครงการมาอยู่ในมือได้แล้ว เขาก็มักฝันเห็นพ่อและปู่ของเขาร้องโหยหวนด้วยความทรมาน

 

พักนี้ ธุรกิจของเขายังได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เงินทุนจากธนาคารก็เกือบหยุดชะงัก

 

จนกระทั่งตอนนี้ คุณฉีถึงได้นึกถึงคําพูดที่นักพรตคนนั้นพูดเอาไว้เมื่อ 10 ก่อนได้ “ จะต้องทําดี โชคลาภถึงจะอยู่ได้ตลอดไป แต่ถ้าไม่ทํา มันก็จะย้อนกลับมาทําลายเงินทองของเขาเอง”

 

เขาย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้น เขาได้ทําดีที่ไหนละ ? ล้วนทําแต่เรื่องเห็นแก่ตัว แม้แต่สถานที่ก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุ มีคนงานล้มตายแล้ว เขาก็ยังไม่ให้ค่ารักษาเลยแม้แต่แดงเดียว

 

ดังนั้นคุณจึงเริ่มเฟ้นหานักพรตมาดูฮวงจุ้ย เพื่อตามหาฮวงจุ้ยแห่งขุนทรัพย์อีกสักแห่ง รักษาแสงสว่าง 10 ปี ของเขาเอาไว้ และเปลี่ยนโชคลาภของเขาให้ดีขึ้น

 

แต่หลังจากที่นักพรตหลายคนมาดูฮวงจุ้ยให้หลุมศพครอบครัวคุณฉีแล้ว ทุกคนก็ต่างส่ายหัว บอกว่าย้ายหลุมศพนี้ ไม่ได้ หรือก็คือไม่กล้าย้าย

 

แต่คุณยังไม่ยอมแพ้ในที่สุดเขาก็หานักพรตที่กล้าทําพบ

 

ผลลัพธ์นักพรตคนนั้นกลับโกหก เป็นพวกสิบแปดมงกุฏ

 

ตอนแรกก็คุยกันดิบดี รับรองว่าอยู่ไปได้อีก 20 ปีก็ยังได้

 

แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าสิบปีมงกุฎทําแต่เรื่องชั่วร้าย ก่อนที่จะขุดหลุมได้สองสามวัน นักพรตคนนั้นก็หอบเงินของคุณฉีหนี ไป

 

คุณโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เริ่มคิดว่าจะชะลอเรื่องย้าย หลุมศพเอาไว้ก่อน

 

แต่หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรือครอบครัว ก็เริ่มเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นทีละอย่างและเริ่มเสียเงินก้อนโต

 

คุณนั่งไม่ติด คิดว่ากําหนดเวลา 10 ปีใกล้มาถึงแล้ว เขาจะต้องย้ายหลุมศพเพื่อรักษาโชคลาภของตัวเองเอาไว้

 

นี่เป็นเหตุให้เขาไปถามจากกลุ่มเพื่อน และในที่สุดก็ติดต่อพวกเราผ่านคุณเหวินได้..

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset