ศพ – ตอนที่ 240 ปากดี

 

ตอนที่ 240 ปากดี

 

เดินบนเขามาทั้งวัน ท้องก็หิวจนแทบเขมือบควายได้ทั้งตัว

 

ผมเพิ่งนั่งลง ก็เริ่มกินเริ่มดื่มทันที

 

หมู่บ้านบนเขาเล็กๆแห่งนี้ไม่มีของดีมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นผักพื้นบ้าน เนื้อแดดเดียว กุนเชียง กระต่าย

 

ไก่ป่า และของที่มาจากธรรมชาติทั้งนั้น เป็นของที่คนเมืองหาซื้อไม่ได้

 

ผมและเฟิงเฉวหานกินกันอย่างสุขสําราญ บวกกับไวน์เบอรี่ของหมู่บ้าน จึงทําให้รสชาติอาหารยอดเยี่ยมไปอีก

 

แต่หลังจากกินข้าวไปได้พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆไก่ที่อยู่ในเล้านอกบ้านก็ร้อง “ กระต๊าก ”

 

ตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้ว ท้องฟ้าเพิ่งมืด จู่ๆไก่ก็ร้องออกมา จึงทําให้ตาแก่คนหนึ่งร้องทักทันที

 

“ เฒ่าเหยา ฟ้าเพิ่งมืด ทําไมไก่บ้านแกร้องละ มันถามฟ้าให้แกรึเปล่า ”

 

“ ถามฟ้า ” เป็นภาษาชาวบ้าน หมายถึงมีคนกําลังจะตาย

 

เมื่อตาแก่ที่ถูกเรียกว่าเฒ่าเหยาได้ยินคําพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตา “ ร่างกายข้ายังแข็งแรงดีอยู่ พี่ชาย

 

ข้าว่าเป็นท่านมากกว่านะ มันอาจเรียกพวกเราสักคนไปก็ได้!”

 

หลังจากพูดจบ ตาเฒ่าคนนั้นก็ยกแก้วขึ้นเตรียมชนกับตาเฒ่าอีกคน

 

พวกเรานั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขากําลังเล่นอะไรอยู่ แถมไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเห็นตาแก่สองคนกําลังจะชนแก้ว ทุกคนก็หัวเราะ “ ฮ่าๆ ” ออกมาทันที

 

แต่ วินาทีที่ตาเฒ่าสองคนยกแก้วขึ้นชน ผมกลับรู้สึกว่ารอบๆเย็นขึ้น

 

ฉีเสี่ยวเทียนลูกชายของคุณฉี ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆกัน กลับไม่รู้เป็นอะไรขึ้นมา จู่ๆเขาก็ตาเหลือก ตัวสั่น “ ปึก” และทันใดนั้นเองตัวของเขาก็ตกลงมาจากเก้าอี้

 

พ่อแม่ที่กินข้าวอยู่โต๊ะเดียวกันเห็นภาพแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับร้อง

 

“ เฮ้ย/อร้าย ” ออกมา

 

ภรรยาคุณฉีเห็นลูกชายตกลงไปอย่างกระทันหัน เธอจึงตกใจมาก “ เสี่ยวเทียน เสี่ยวเทียน ”

 

เงียบขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเรา

 

พวกเราหันไปมองทันที ทันใดนั้นพวกเราก็เห็นท่าทางของลูกชายคุณไร้กระดูก นอนชักอยู่กับพื้น ตาเหลือกและพ่นน้ำลายสีขาวออกมาไม่หยุด

 

“ ลูก ลูก !”

 

คุณฉีกระวนกระวายมาก เขาแต่งงานช้า เลยมีลูกช้า 

 

ฉีเสี่ยวเทียนคนนี้ อายุยังไม่ถึง 9 ขวบด้วยซ้ำ เพิ่งเรียนอยู่ชั้นประถม คุณฉีจึงรักและทะนุถนอมเขามาก

 

ตอนนี้เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้อย่างกระทันหัน เขาจึงตกใจจนทําอะไรไม่ถูก

 

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนจะมีอารมณ์กินข้าวต่อได้ยังไง ทั้งหมดต่างเข้ามาล้อมทันที

 

“ เสี่ยวเทียนเป็นอะไร ตะกี้ยังดีๆอยู่เลย นี่เขาเป็นลมชักรึเปล่า ? ”

 

แต่คุณฉียังมีสติอยู่ เขาหันไปพูดกับคนขับรถข้างๆ “ เสี่ยวหวาง รีบไปขับรถ ฉันจะพาเสี่ยวเทียนไปโรงพยาบาล”

 

เสี่ยวหวางไม่รอช้า เขารีบวิ่งออกไปทันที

 

ส่วนท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ กลับขมวดคิ้ว ผมหันไปเห็นท่านนักพรตตู๋กําลังป้ายน้ำตาวัว เพื่อเปิดตา

 

หลังจากท่านนักพรตตู๋เปิดตา เขาก็มองหน้าเสี่ยวเทียน ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากวาดสายตามองรอบๆห้อง และสุดท้ายก็พูดกับอาจารย์เบาๆ “ ไม่ผิดแน่ ลงมือเถอะ !”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

 

ท่านนักพรตตู๋หมายความว่ายังไง ? และยังต้องมองด้วยตาสวรรค์ หรือว่ามีบางอย่างทําร้ายฉีเสี่ยวเทียน

 

ขณะที่ผมกําลังสงสัย อาจารย์ก็เข้าไปแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดว่า “ คุณนายฉี ส่งตัวเด็กมาให้ผม

 

ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว !”

 

เมื่อภรรยาคุณได้ยินคําพูดนี้ เธอก็อึ้งในทันที คุณผีที่อยู่ข้างๆกลับพูดว่า “ ท่านนักพรตติง คุณ คุณเป็นหมอเหรอ ?

 

อาจารย์พยักหน้า “ คงใช่มั้ง ! ตอนนี้ยังรักษาได้ ถ้าช้ากว่านี้โรคของฉีเสี่ยวเทียนจะแย่กว่าเดิม”

 

คุณฉีและภรรยาสติหลุดไปนานแล้ว เมื่อได้ยินว่าอาจารย์สามารถรักษาลูกของเขาได้ เขาก็ไม่คิดอะไรสักนิด

 

คุณนี่รีบเปิดทาง อาจารย์ก็ไม่รอช้า รีบเข้ามาตรงหน้าฉีเสี่ยวเทียน

 

ทุกคนจ้องตาไม่กระพริบ ต่างอยากรู้ว่าอาจารย์จะรักษาฉีเสี่ยวเทียนยังไง

 

แต่อาจารย์ก็ไม่รีบร้อน เขาหยิบส้มโอออกมา พูดกับผม และเฟิงเฉ่วหานว่า “ เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง ตอนฉันรักษา ห้ามให้ใครมารบกวนเด็ดขาด !”

 

ผมและเฟิงเฉวหานมองหน้ากัน แล้วขานรับทันที “ ครับ”

 

อาจารย์ได้ยินผมและเฟิงเฉวหานขานรับแล้ว เขาก็ไม่รอช้า ยกฝ่ามือขึ้นอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่ระหว่างคิ้วของฉีเสี่ยวเทียน “ เพี๊ยะ ” และตบลงไปทันที

 

เสียงดังมาก หลังจากฝ่ามือตบลงไป ที่หน้าของฉีเสี่ยวเทียนก็มีรอยนิ้วห้านิ้วติดอยู่

 

เมื่อทุกคนเห็นการกระทํานี้ ก็แสดงสีหน้าตื่นตกใจ

 

ใครจะไปคิด แม้แต่ผมและเหล่าเฟิง ก็ยังคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะรักษาแบบนี้

 

“ แก แกทําอะไร” ภรรยาคุณฉีระเบิดออกมาคนแรก เธอตะโกนใส่อาจารย์ และเข้ามาปกป้องฉีเสี่ยวเทียนทันที

 

แต่อาจารย์กลับปัดมือเธอออก “ เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง !”

 

ผมสองคนเพิ่งได้สติกลับมา แม้จะไม่เข้าใจว่าทําไมอาจารย์ถึงทําแบบนั้น แต่พวกเราก็เลือกที่จะเชื่อเขา

 

ผมไม่ลังเล เดินเข้าไป ดึงตัวภรรยาคุณฉีออกมาทันที

 

อาจารย์ไม่รอให้คนอื่นตอบโต้แต่อย่างใด เขากลับตบลงไปอีกครั้ง “ เพี้ยะ”

 

“ หยุดเดี๋ยวนี้ คุณตบลูกผมทําไม ? ” ดวงตาของคุณฉีเบิกกว้าง ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาเองก็ตกใจเช่นกัน

 

พวกป้าๆ และคนแก่ที่อยู่ข้างๆ ต่างทนดูไม่ไหว พวกเขารีบเข้ามา ดึงตัวอาจารย์ออกไป

 

“ ตบคนมันเรียกรักษาที่ไหนละ ? ”

 

“ รีบหยุดเดี๋ยวนี้ !”

 

นั่นเด็กนะ คุณจะตบเขาทําไม ?”

 

“…..”

 

ขณะที่พูด คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาล้อมรอบ

 

ผมและเฟิงเฉวหานเห็นทุกคนเข้ามา จึงรีบห้ามเอาไว้ และพูดออกมาไม่หยุด “ อย่าเพิ่งใจร้อน อย่างเพิ่งใจร้อน นี่เป็นการรักษา เป็นการรักษา….”

 

ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่คิดว่าอาจารย์ไม่ใช่คนบ้าบิ่น เขาทําถึงขนาดนี้ ยังไงเขาก็ต้องมีเหตุผลแน่ ดังนั้นผมจึงพยายามห้ามทุกคนอย่างสุดความสามารถ

 

แต่คนพวกนี้ทั้งดึงและกระชากพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะข้างๆมีโต๊ะขวางเอาไว้ พวกเราคงหยุดพวกเขาไม่ได้แล้ว

 

ส่วนอาจารย์ ยังคงง้างมือตบต่อไป “ เพี้ยะ”

 

“ ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะลงมือหนักกว่านี้ ! ”

 

หลังจากตะโกนออกมา อาจารย์ก็ง้างมือขึ้นสูง

 

ส่วนหน้าของฉีเสี่ยวเทียน ทั้งบวมและแดง

 

แต่มันก็แปลก ตอนที่อาจารย์ง้างมือขึ้น ทันใดนั้นฉีเสี่ยวเทียนที่ตาเหลือกอยู่ ก็ร้อง “ ฮือ ” ออกมา หลังจากนั้นก็ไอสองสามครั้ง และไม่รู้เป็นอะไรจู่ๆเขาก็ร้องไห้ “ ฮือฮือฮือ “

 

ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงสายลมเย็นๆ ที่พุ่งออกไปนอกบ้าน

 

ส่วนท่านนักพรตตู๋ ตอนนี้กําลังยืนอยู่หน้าประตู

 

และในมือของเขา กําลังถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่

 

ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อย เปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปจับอะไรสักอย่าง ที่อยู่ในอากาศอันว่างเปล่า

 

“ ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็อย่าเพิ่งกลับเลย !” หลังจากพูดจบท่านนักพรตตู๋ก็รีบปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

 

เพราะการกระทําแปลกประหลาดของอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ดึงดูดความสนใจของทุกคน

 

และฉีเสี่ยวเทียนที่นอนดิ้นอยู่ ก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่ร้องไห้ออกมาเท่านั้น

 

ตอนนี้ทุกคนจึงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ คิดว่ามันค่อนข้างแปลก และคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องปกติ

 

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ลุกขึ้น “ โอเคแล้ว เสี่ยวเทียนไม่เป็นไรแล้ว ! เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง ไม่ต้องห้ามคุณกับภรรยาแล้ว”

 

ภรรยาของคุณไม่ถามอะไรมาก เมื่อเห็นผมเอามือลง เธอก็รีบพุ่งเข้าไปทันที กอดฉีเสี่ยวเทียนที่กําลังร้องไห้ขี้มูกโป่งเอาไว้ พร้อมถามว่าลูกเป็นอะไรไหมเจ็บตรงไหนรึเปล่า

 

แต่คุณฉีกลับมองไปรอบๆ เขากลืนน้ำลาย หลังจากนั้นก็พูดด้วยความสงสัย “ ท่าน ท่านนักพรตติง

 

ลูก ลูกผม เป็น เป็นอะไรไปเหรอครับ ? ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset