ตอนที่ 240 ปากดี
เดินบนเขามาทั้งวัน ท้องก็หิวจนแทบเขมือบควายได้ทั้งตัว
ผมเพิ่งนั่งลง ก็เริ่มกินเริ่มดื่มทันที
หมู่บ้านบนเขาเล็กๆแห่งนี้ไม่มีของดีมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นผักพื้นบ้าน เนื้อแดดเดียว กุนเชียง กระต่าย
ไก่ป่า และของที่มาจากธรรมชาติทั้งนั้น เป็นของที่คนเมืองหาซื้อไม่ได้
ผมและเฟิงเฉวหานกินกันอย่างสุขสําราญ บวกกับไวน์เบอรี่ของหมู่บ้าน จึงทําให้รสชาติอาหารยอดเยี่ยมไปอีก
แต่หลังจากกินข้าวไปได้พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆไก่ที่อยู่ในเล้านอกบ้านก็ร้อง “ กระต๊าก ”
ตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้ว ท้องฟ้าเพิ่งมืด จู่ๆไก่ก็ร้องออกมา จึงทําให้ตาแก่คนหนึ่งร้องทักทันที
“ เฒ่าเหยา ฟ้าเพิ่งมืด ทําไมไก่บ้านแกร้องละ มันถามฟ้าให้แกรึเปล่า ”
“ ถามฟ้า ” เป็นภาษาชาวบ้าน หมายถึงมีคนกําลังจะตาย
เมื่อตาแก่ที่ถูกเรียกว่าเฒ่าเหยาได้ยินคําพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตา “ ร่างกายข้ายังแข็งแรงดีอยู่ พี่ชาย
ข้าว่าเป็นท่านมากกว่านะ มันอาจเรียกพวกเราสักคนไปก็ได้!”
หลังจากพูดจบ ตาเฒ่าคนนั้นก็ยกแก้วขึ้นเตรียมชนกับตาเฒ่าอีกคน
พวกเรานั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขากําลังเล่นอะไรอยู่ แถมไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเห็นตาแก่สองคนกําลังจะชนแก้ว ทุกคนก็หัวเราะ “ ฮ่าๆ ” ออกมาทันที
แต่ วินาทีที่ตาเฒ่าสองคนยกแก้วขึ้นชน ผมกลับรู้สึกว่ารอบๆเย็นขึ้น
ฉีเสี่ยวเทียนลูกชายของคุณฉี ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆกัน กลับไม่รู้เป็นอะไรขึ้นมา จู่ๆเขาก็ตาเหลือก ตัวสั่น “ ปึก” และทันใดนั้นเองตัวของเขาก็ตกลงมาจากเก้าอี้
พ่อแม่ที่กินข้าวอยู่โต๊ะเดียวกันเห็นภาพแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับร้อง
“ เฮ้ย/อร้าย ” ออกมา
ภรรยาคุณฉีเห็นลูกชายตกลงไปอย่างกระทันหัน เธอจึงตกใจมาก “ เสี่ยวเทียน เสี่ยวเทียน ”
เงียบขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเรา
พวกเราหันไปมองทันที ทันใดนั้นพวกเราก็เห็นท่าทางของลูกชายคุณไร้กระดูก นอนชักอยู่กับพื้น ตาเหลือกและพ่นน้ำลายสีขาวออกมาไม่หยุด
“ ลูก ลูก !”
คุณฉีกระวนกระวายมาก เขาแต่งงานช้า เลยมีลูกช้า
ฉีเสี่ยวเทียนคนนี้ อายุยังไม่ถึง 9 ขวบด้วยซ้ำ เพิ่งเรียนอยู่ชั้นประถม คุณฉีจึงรักและทะนุถนอมเขามาก
ตอนนี้เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้อย่างกระทันหัน เขาจึงตกใจจนทําอะไรไม่ถูก
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนจะมีอารมณ์กินข้าวต่อได้ยังไง ทั้งหมดต่างเข้ามาล้อมทันที
“ เสี่ยวเทียนเป็นอะไร ตะกี้ยังดีๆอยู่เลย นี่เขาเป็นลมชักรึเปล่า ? ”
แต่คุณฉียังมีสติอยู่ เขาหันไปพูดกับคนขับรถข้างๆ “ เสี่ยวหวาง รีบไปขับรถ ฉันจะพาเสี่ยวเทียนไปโรงพยาบาล”
เสี่ยวหวางไม่รอช้า เขารีบวิ่งออกไปทันที
ส่วนท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ กลับขมวดคิ้ว ผมหันไปเห็นท่านนักพรตตู๋กําลังป้ายน้ำตาวัว เพื่อเปิดตา
หลังจากท่านนักพรตตู๋เปิดตา เขาก็มองหน้าเสี่ยวเทียน ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากวาดสายตามองรอบๆห้อง และสุดท้ายก็พูดกับอาจารย์เบาๆ “ ไม่ผิดแน่ ลงมือเถอะ !”
เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”
ท่านนักพรตตู๋หมายความว่ายังไง ? และยังต้องมองด้วยตาสวรรค์ หรือว่ามีบางอย่างทําร้ายฉีเสี่ยวเทียน
ขณะที่ผมกําลังสงสัย อาจารย์ก็เข้าไปแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดว่า “ คุณนายฉี ส่งตัวเด็กมาให้ผม
ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว !”
เมื่อภรรยาคุณได้ยินคําพูดนี้ เธอก็อึ้งในทันที คุณผีที่อยู่ข้างๆกลับพูดว่า “ ท่านนักพรตติง คุณ คุณเป็นหมอเหรอ ?
อาจารย์พยักหน้า “ คงใช่มั้ง ! ตอนนี้ยังรักษาได้ ถ้าช้ากว่านี้โรคของฉีเสี่ยวเทียนจะแย่กว่าเดิม”
คุณฉีและภรรยาสติหลุดไปนานแล้ว เมื่อได้ยินว่าอาจารย์สามารถรักษาลูกของเขาได้ เขาก็ไม่คิดอะไรสักนิด
คุณนี่รีบเปิดทาง อาจารย์ก็ไม่รอช้า รีบเข้ามาตรงหน้าฉีเสี่ยวเทียน
ทุกคนจ้องตาไม่กระพริบ ต่างอยากรู้ว่าอาจารย์จะรักษาฉีเสี่ยวเทียนยังไง
แต่อาจารย์ก็ไม่รีบร้อน เขาหยิบส้มโอออกมา พูดกับผม และเฟิงเฉ่วหานว่า “ เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง ตอนฉันรักษา ห้ามให้ใครมารบกวนเด็ดขาด !”
ผมและเฟิงเฉวหานมองหน้ากัน แล้วขานรับทันที “ ครับ”
อาจารย์ได้ยินผมและเฟิงเฉวหานขานรับแล้ว เขาก็ไม่รอช้า ยกฝ่ามือขึ้นอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่ระหว่างคิ้วของฉีเสี่ยวเทียน “ เพี๊ยะ ” และตบลงไปทันที
เสียงดังมาก หลังจากฝ่ามือตบลงไป ที่หน้าของฉีเสี่ยวเทียนก็มีรอยนิ้วห้านิ้วติดอยู่
เมื่อทุกคนเห็นการกระทํานี้ ก็แสดงสีหน้าตื่นตกใจ
ใครจะไปคิด แม้แต่ผมและเหล่าเฟิง ก็ยังคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะรักษาแบบนี้
“ แก แกทําอะไร” ภรรยาคุณฉีระเบิดออกมาคนแรก เธอตะโกนใส่อาจารย์ และเข้ามาปกป้องฉีเสี่ยวเทียนทันที
แต่อาจารย์กลับปัดมือเธอออก “ เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง !”
ผมสองคนเพิ่งได้สติกลับมา แม้จะไม่เข้าใจว่าทําไมอาจารย์ถึงทําแบบนั้น แต่พวกเราก็เลือกที่จะเชื่อเขา
ผมไม่ลังเล เดินเข้าไป ดึงตัวภรรยาคุณฉีออกมาทันที
อาจารย์ไม่รอให้คนอื่นตอบโต้แต่อย่างใด เขากลับตบลงไปอีกครั้ง “ เพี้ยะ”
“ หยุดเดี๋ยวนี้ คุณตบลูกผมทําไม ? ” ดวงตาของคุณฉีเบิกกว้าง ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาเองก็ตกใจเช่นกัน
พวกป้าๆ และคนแก่ที่อยู่ข้างๆ ต่างทนดูไม่ไหว พวกเขารีบเข้ามา ดึงตัวอาจารย์ออกไป
“ ตบคนมันเรียกรักษาที่ไหนละ ? ”
“ รีบหยุดเดี๋ยวนี้ !”
นั่นเด็กนะ คุณจะตบเขาทําไม ?”
“…..”
ขณะที่พูด คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาล้อมรอบ
ผมและเฟิงเฉวหานเห็นทุกคนเข้ามา จึงรีบห้ามเอาไว้ และพูดออกมาไม่หยุด “ อย่าเพิ่งใจร้อน อย่างเพิ่งใจร้อน นี่เป็นการรักษา เป็นการรักษา….”
ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่คิดว่าอาจารย์ไม่ใช่คนบ้าบิ่น เขาทําถึงขนาดนี้ ยังไงเขาก็ต้องมีเหตุผลแน่ ดังนั้นผมจึงพยายามห้ามทุกคนอย่างสุดความสามารถ
แต่คนพวกนี้ทั้งดึงและกระชากพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะข้างๆมีโต๊ะขวางเอาไว้ พวกเราคงหยุดพวกเขาไม่ได้แล้ว
ส่วนอาจารย์ ยังคงง้างมือตบต่อไป “ เพี้ยะ”
“ ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะลงมือหนักกว่านี้ ! ”
หลังจากตะโกนออกมา อาจารย์ก็ง้างมือขึ้นสูง
ส่วนหน้าของฉีเสี่ยวเทียน ทั้งบวมและแดง
แต่มันก็แปลก ตอนที่อาจารย์ง้างมือขึ้น ทันใดนั้นฉีเสี่ยวเทียนที่ตาเหลือกอยู่ ก็ร้อง “ ฮือ ” ออกมา หลังจากนั้นก็ไอสองสามครั้ง และไม่รู้เป็นอะไรจู่ๆเขาก็ร้องไห้ “ ฮือฮือฮือ “
ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงสายลมเย็นๆ ที่พุ่งออกไปนอกบ้าน
ส่วนท่านนักพรตตู๋ ตอนนี้กําลังยืนอยู่หน้าประตู
และในมือของเขา กําลังถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่
ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อย เปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปจับอะไรสักอย่าง ที่อยู่ในอากาศอันว่างเปล่า
“ ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็อย่าเพิ่งกลับเลย !” หลังจากพูดจบท่านนักพรตตู๋ก็รีบปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
เพราะการกระทําแปลกประหลาดของอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ดึงดูดความสนใจของทุกคน
และฉีเสี่ยวเทียนที่นอนดิ้นอยู่ ก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่ร้องไห้ออกมาเท่านั้น
ตอนนี้ทุกคนจึงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ คิดว่ามันค่อนข้างแปลก และคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องปกติ
ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ลุกขึ้น “ โอเคแล้ว เสี่ยวเทียนไม่เป็นไรแล้ว ! เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง ไม่ต้องห้ามคุณกับภรรยาแล้ว”
ภรรยาของคุณไม่ถามอะไรมาก เมื่อเห็นผมเอามือลง เธอก็รีบพุ่งเข้าไปทันที กอดฉีเสี่ยวเทียนที่กําลังร้องไห้ขี้มูกโป่งเอาไว้ พร้อมถามว่าลูกเป็นอะไรไหมเจ็บตรงไหนรึเปล่า
แต่คุณฉีกลับมองไปรอบๆ เขากลืนน้ำลาย หลังจากนั้นก็พูดด้วยความสงสัย “ ท่าน ท่านนักพรตติง
ลูก ลูกผม เป็น เป็นอะไรไปเหรอครับ ? ”