ศพ – ตอนที่ 245 ยกโลง

ตอนที่ 245 ยกโลง

 

ผมและเพิ่งเฉ้วหานเดาว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ ในเวลานี้เมื่อท่านนักพรตติพูดออกมาจากปากตัวเองว่าโลงมีปัญหา และยังทําท่าทางลึกลับขนาดนี้ ผมสองคนจึงสงสัยหนักกว่าเดิม

 

เหล่าเพิ่งพูดออกมาตรงๆ “ อาจารย์ พูดให้ชัดกว่านี้ได้ไหม ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

เมื่อท่านนักพรตตูได้ยิน เขาก็กวาดสายตามองรอบๆ หนึ่งครั้งเมื่อเห็นคุณและคนอื่นๆไม่ได้อยู่ใกล้ๆ

 

เขาก็พูดกับผมสองคนว่า “ ในโลงนี้ น่าจะมีผีดิบอยู่ !”

 

เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา ผมและเพิ่งเน่วหานก็ทําหน้าตื่นกลัว ไม่กล้าเชื่อคําพูดของเขาเลยสักนิด

 

ผีดิบ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ ?

 

ครั้งก่อนตอนศพของคุณหนูเหวินกลายเป็นผีดิบ ผมและ เหล่าเพิ่งก็เกือบตาย

 

ตอนนี้ ตอนนี้ทั้งสองโลงยังมีปัญหา ถ้ามันเป็นผีดิบหมดละก็ แล้วผมสองคนจะรับมือได้ยังไงละ ?

 

“ ผี ผีดิบ อาจารย์ ท่านลุงตู๋ ทั้ง ทั้งสองคนนี้ตายมา 10ปี แล้วนะ ศพคงเหลือแต่กระดูกแล้ว แล้วเมื่อวานพวกเรายังได้เจอผู้อาวุโสฉีอยู่เลย เขาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แล้วเขาจะกลายเป็น จะกลายเป็นผีดิบได้ยังไง ?” ผมไม่ค่อยอยากเชื่อ

 

เพราะการกลายเป็นผีดิบเป็นสิ่งที่ยากมาก พวกเขาไม่ใช่ศพตายโหงอะไรด้วย และยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง ถึงจะทําให้ศพกลายสภาพได้

 

ไม่อย่างนั้นคนตายโหงจํานวนมหาศาลบนโลก คงได้ลุกออกมาเป็นผีดิบกันหมดแล้ว

 

เสียงของผมเพิ่งเงียบ ทันใดนั้นเหล่าเฟิงก็พูดด้วยความสงสัย “ ใช่อาจารย์ ฮวงจุ้ยของที่นี่ดีขนาดนี้ ไม่ได้เป็นสถานที่ชั่วร้าย ไม่น่าจะกลายเป็นผีดิบได้นะครับ ”

 

ท่านนักพรตต์และอาจารย์ได้ยินผมสองคนถามถึงขนาดนั้น พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น

 

อาจารย์อธิบาย “ อย่าว่าแต่พวกแกไม่เชื่อเลย แม้แต่ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อฉันกับเหล่าตู้ลองคิดดูแล้วมันมีสัญญาณว่าศพในโลงมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เชื่อพวกแกดูนี่ซิ !”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ชี้ไปที่โลงที่ยังไม่ได้ถูกยก

 

ผมและเพิ่งเฉ่วหานมองตาม ในเวลาเดียวกันก็เปิดไฟฉายส่อง

 

เมื่อส่องเข้าไป พวกเราก็เห็นโลงโลงนั้น มีเม็ดสีดําๆติดอยู่

 

เมื่อผมและเหล่าเพิ่งเห็นสิ่งนี้ ก็คิดออกทันทีว่ามันคืออะไร

 

พวกมันคือข้าวเหนียว เมื่อเจ้าสิ่งนี้สัมผัสกับพลังชั่วร้ายของศพ มันถึงจะเปลี่ยนเป็นสีดํา

 

หรือพูดได้ว่า ในโลงนี้มีพลังศพที่ชั่วร้ายไหลเวียนอยู่เพียงแค่ไม่ได้มีเยอะจนล้นออกมา ตามระดับพลังของพวกเราในตอนนี้ พวกเรายังไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างชัดเจน

 

ดวงตาของผมและเหล่าเพิ่งเบิกกว้าง หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม

 

พระเจ้า ศพในหลุมก็เปลี่ยนเป็นผีดิบได้เหรอ ? ทําไมพวกเราถึงโชคดีขนาดนี้

 

ขณะที่ผมและเหล่าเพิ่งกําลังตกตะลึง ท่านนักพรตตู๋ก็พูด ว่า “ พวกเธอสองคนไม่ต้องกังวลเกินไปถึงศพในโลงอาจมี การเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเปลี่ยนไปแล้ว ขอแค่คืนนี้เขายังไม่ลืมตา หลังย้ายหลุมศพแล้ว เปลี่ยนฮวงจุ้ย ของที่นี่ อีกเดี๋ยวก็ใช้ด้ายดําพันอีกสองสามชั้น ย้ายลงไปไว้ในหลุมใหม่ ผ่านไปไม่กี่เดือนเขาก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”

 

เมื่อได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

หลังจากนั้น ผมก็พูดออกมาแบบไม่คิด “ อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ ฮวงจุ้ยของที่นี่ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?

 

แล้วทําไมยังต้องเปลี่ยนด้วยละ”

 

อาจารย์ส่ายหัว “ เรื่องนี้พวกเราเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ดีกมากแล้ว พวกเรารีบย้ายหลุมศพก่อนเถอะ”

 

แม้จะยังรู้สึกสงสัย แต่เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็ตอบตกลงทันที

 

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาสาเหตุ แต่ควรคิดหาวิธีแก้ปัญหามากกว่า

 

หลังจากพูดกันมาสักพักพวกเราก็ได้ข้อสรุป มีเพียงการย้ายหลุมศพเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนตําแหน่งฮวงจุ้ยใหม่แล้ว ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกแก้ไข

 

หลังจากย้ายโลงเสร็จ มันก็ไม่สายเกินไปที่พวกเราจะสาเหตุกันอีกรอบ

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ อาจารย์ก็ส่งสัญญาณให้ผมเรียกคุณและคนอื่นๆเข้ามายกโลง

 

เพราะการยกโลงและฝังโลงมีกฏเป็นของตัวเอง ดังนั้นหลังจากคุณและคนอื่นมาถึง อาจารย์ก็อธิบายให้ฟังว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาต้องใส่ใจตรงจุดไหนบ้าง และเรื่องข้อห้า มต่างๆ

 

เช่นตอนยกโลง จะเดินถอยหลังไม่ได้ ถึงแม้จะเจอโค้ง ก็ห้ามถอยหลังเด็ดขาด

 

แล้วก็ คนที่ยกหัวโลงจะต้องเป็นคนที่แต่งงานแล้ว เรียกว่าหัวมังกร

 

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทํา แต่สิ่งที่สําคัญที่สุดกลับมีแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือตอนยกโลง ห้ามทําโลงหล่นลงพื้นเด็ดขาด มีเพียงตอนที่วางโลงลงหลุมเท่านั้น ถึงจะให้โลงสัมผัสพื้นได้

 

ถ้าโลงเกิดล่วงลงไป ศพที่อยู่ข้างในก็จะสัมผัสกับพลังบนพื้นโลก อาจทําให้คนตายหนาว และอาจเกิดปัญหาไม่จําเป็นตามมา

 

และศพในโลงนี้ก็ผิดปกติอยู่แล้ว ถ้ามันตกลงพื้นจริงๆ ก็อาจทําให้ศพเปลี่ยนแปลงได้

 

แม้คุณฉีและคนขับรถทั้งสามคนจะทําเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่พวกเราก็ตั้งใจฟัง เพราะทุกคนอยากให้ทุกอย่างออกมาราบรื่น ไม่อยากมีเรื่องอัปมงคลติดตัว

 

เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ทุกคนจึงหาเชือก มาผูกกับโลงศพทั้งสองให้เรียบร้อย

 

ในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเราทุกคนพร้อมแล้ว และเตรียมตัวยกโลงขึ้น

 

เพราะคนไม่พอ ดังนั้นโลงหนึ่งโลงจึงทํา “ ที่แบกโลง 3 อัน” หรือก็คือหัวมังกรสองคนและหางมังกรหนึ่ง

 

ใช้ท่อนไม้ที่ค่อนข้างยาวหนึ่งท่อน กดท่อนไม้ของหัวมังกรเอาไว้เรียกว่าสันมังกร แบบนี้ทั้งสามคนก็สามารถยกโลงขึ้นได้แล้ว แต่ว่าหางมังกรจะค่อนข้างลําบาก

 

และหน้าที่เป็นหางมังกรนี้ อาจารย์ก็มอบให้ผม เป็นคนยกโลงของฉีโย่วฉาย ส่วนหัวมังกรคือคุณฉีและคนขับรถของเขาแซ่ซู

 

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง หัวมังกรคือคนขับรถสองคน หางมังกรคือท่านนักพรตตู้และเหล่าเฟิง

 

อาจารย์ของผม เป็นคนถือกระดิ่ง เดินนาขบวน

 

ตอนนี้ทุกคนประจําที่ของตัวเองแล้ว และพร้อมทําหน้าที่ของตัวเอง

 

ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงอาจารย์สั่นกระดิ่ง “ กริ้ง กริ้ง กริ้ง” และพูดเสียงดัง “ ฤกษ์ดีมาถึงแล้ว

 

คุณฉีโย่วฉาย คุณฉีเต้อหวาง จะย้ายบ้านใหม่…”

 

เสียงของอาจารย์ลากยาวมาก หลังจากพูดจบ เขาก็สั่นกระดิ่งอีกครั้ง “ กริ้งกริ้งกริ้ง”

 

ขณะเดียวกันยังโยนเงินกระดาษหนึ่งกํามือ และตะโกนว่า “ ยกโลง…”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง อาจารย์ก็หยิบเงินกระดาษออกมาอีกหนึ่งกํามือ แล้วโยนออกไปอีกครั้ง

 

พวกเราเองก็พร้อมแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนที่ยืนอยู่ขนาบข้าง ก็ออกแรกทันที “ ฮึบ !”

 

โลงศพหนักมาก ถึงทุกคนจะร่วมมือกัน แต่มันก็ยังหนักจนแทบยกไม่ขึ้น

 

ผมลําบากมากที่สุด ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเอวของตัวเองกําลังจะหัก

 

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ผมก็กัดฟัน ออกแรงยกสุดฤทธิ์

 

“ อาจารย์ โลงนี้หนักสุดๆไปเลย !” ผมพยายามพูด พร้อมกับใบหน้าสีแดง

 

อาจารย์แสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ หนักก็ต้องยก ห้ามปล่อย มือเด็ดขาด”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หันไปสั่นกระดิ่งต่อ “ กริ๊งกริ๊งกริ๊ง”

 

เท้าสองข้างของผมสั่นไปหมด แต่ผมก็ยังกัดฟัน ฝืนยกโลงต่อไป

 

แต่ตอนยกโลงขึ้น ช่องว่างระหว่างฝาโลง ทําให้น้ําไหลลงมาไม่หยุด ติ๋งติ๋งติ๋งติ๋ง หยดลงมาอย่างกับสายฝน

 

ผมแอบพูดในใจ ในโลงนี้มีน้ําอยู่เท่าไหร่กันแน่ ถึงว่ามันถึงได้หนักขนาดนี้

 

ด้านของเหล่าเฟิง กลับดูเบากว่าของผมมาก

 

เมื่อฝั่งนั้นเห็นผมยกโลงขึ้น พวกเขาก็ยกตาม

 

เมื่อโลงถูกยกขึ้นแล้ว อาจารย์ก็สั่นกระดิ่งในมือ เริ่มเดินไปข้างหน้า พาพวกเราลงเขาไปยังหลุมศพใหม่

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset